มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2020 ฉลองนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 66:10-14
     ท่านทั้งหลายจงยินดีกับกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายที่รักกรุงเยรูซาเล็ม จงชื่นชมกับกรุงนี้เถิด ท่านทั้งหลายที่เคยไว้ทุกข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกับกรุงนี้ด้วยความชื่นบานเถิด ท่านจะได้รับการปลอบโยนอย่างเต็มเปี่ยมจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความยินดีเมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความอุดมสมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น
     เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่กรุงนี้เหมือนแม่น้ำ จะนำความมั่งคั่งของนานาชาติมายังกรุงนี้เหมือนสายน้ำที่กำลังล้นฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่านจะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู”

 

สดด 131:1,2-3

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 18:1-5
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา”

 

ข้อคิด
    พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและประกาศพระอาณาจักรสวรรค์ พร้อมทั้งทรงเชื้อเชิญให้มีการกลับใจเพื่อต้อนรับพระอาณาจักรและเริ่มเข้าอยู่ในพระอาณาจักรกลับใจคือเปลี่ยนท่าที เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนตรรกะ เนื่องจากมีความแตกต่างระหว่างพระอาณาจักรและอาณาจักรแห่งโลกนี้ อย่างเช่นเรื่องของการเป็นใหญ่ โลกนี้มองความเป็นใหญ่อยู่ในการมีอำ นาจและมีคนอื่นคอยรับใช้ ในขณะที่ในพระอาณาจักรพระเจ้านั้น ความยิ่งใหญ่คือยิ่งใหญ่เหมือนพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก ความยิ่งใหญ่จึงอยู่ในการรักอย่างที่พระเจ้าทรงรัก ใครที่ดำเนินชีวิตมีความรักเป็นที่ตั้ง ก็เป็นคนยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ยิ่งใหญ่แบบมนุษย์ แต่ยิ่งใหญ่แบบพระเจ้า

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2020 ระลึกถึงทูตสวรรค์ผู้อารักขา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                          อพย 23:20-23ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำท่านไปถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพทูตสวรรค์และเชื่อฟังถ้อยคำของเขา อย่าต่อต้าน เพราะเขาทำไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ถ้าท่านเชื่อฟังเขาและทำตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำท่าน”

 

สดด 91:1-2,3-5,6,9-11

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 18:1-5,10
      ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
     “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”

 

ข้อคิด
     คนเรามักจะมองว่าศักดิ์ศรีและคุณค่าของแต่ละคนมาจากสิ่งที่เขาทำและสิ่งที่เขามี ยิ่งในบริบทแห่งวัตถุนิยมและบริโภคนิยมของทุกวันนี้ด้วย ทว่าในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์แล้ว ศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน ในขณะที่คนให้ความสำคัญแก่ร่างกาย รูปร่าง ฐานะ อาชีพการงาน...พระเจ้าทรงให้ความสำคัญแก่แต่ละคนในแก่นแห่งความเป็นคน...ทรงสร้างแต่ละคนตามพระฉายา ทรงถือว่าทุกคนเป็นบุตร ทรงให้การดูแลเอาใจใส่ถึงขนาดทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์คอยติดตามดูแลเอาใจใส่...นำหน้าและตามหลัง...จึงทรงยอมไม่ได้ที่ลูกของพระองค์คนใดคนหนึ่งถูกดูหมิ่น

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2020 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 5:1-7
     ข้าพเจ้าอยากร้องเพลงถึงเพื่อนรักของข้าพเจ้า เป็นเพลงเกี่ยวกับเพื่อนรักและสวนองุ่นของเขา เพื่อนรักของข้าพเจ้าเคยมีสวนองุ่นแปลงหนึ่ง อยู่บนเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ เขาขุดดิน เก็บก้อนหินออกจนหมด แล้วจึงปลูกองุ่นชนิดดีไว้ เขาสร้างหอเฝ้าไว้กลางสวน สกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ที่นั่นด้วย เขารอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น แต่สวนนั้นผลิตผลองุ่นเปรี้ยว
     เพื่อนรักของข้าพเจ้าพูดว่า “บัดนี้ ชาวกรุงเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์เอ๋ย จงตัดสินระหว่างฉันกับสวนองุ่นของฉันเถิด มีอะไรอีกที่ฉันจะทำได้เพื่อสวนองุ่นของฉัน แต่ยังไม่ได้ทำ ขณะที่ฉันรอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น ทำไมสวนจึงผลิตผลองุ่นเปรี้ยว บัดนี้ ฉันอยากบอกให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ฉันจะทำอะไรกับสวนองุ่นของฉัน ฉันจะรื้อรั้วหนามออก แล้วสวนจะกลับเป็นทุ่งหญ้า ฉันจะพังกำแพงที่ล้อมลง และสวนก็จะถูกเหยียบย่ำ ฉันจะปล่อยให้สวนรกร้าง จะไม่มีใครลิดกิ่งหรือพรวนดิน ต้นหนามและกอหนามจะงอกขึ้น ฉันจะสั่งเมฆไม่ให้โปรยฝนรดสวนนั้น”
     ฟังเถิด สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล ชาวยูดาห์เป็นสวนที่พระองค์โปรดปราน พระองค์ทรงหวังความยุติธรรม แล้วทรงพบแต่การนองเลือด ทรงหวังความชอบธรรม กลับทรงพบเสียงร้องให้ช่วย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี      ฟป 4:6-9
     พี่น้อง อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่านโดยคำอธิษฐาน การวอนขอพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้นจะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใดประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสิ่งใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟังและได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตกับท่าน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 21:33-43
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’
    เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า
‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น
ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’
ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”

 

ข้อคิด
      เมื่อหัวหน้าสมณะ ผู้อาวุโสและฟาริสีถามพระเยซูเจ้าว่าทรงได้รับอำนาจมาจากไหน พระองค์ทรงเล่าอุปมาเรื่องสวนองุ่นเพื่อเผยถึงที่มาของอำ นาจของพระองค์ กล่าวคือทรงเป็นพระบุตร ทรงเป็นทายาทพร้อมกันนั้นก็ตำ หนิการใช้อำ นาจของหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโส ไม่ใช่เพื่อประชากรของพระเจ้า แต่เพื่อผลประโยชน์ของตน ทรงยืนยันอำ นาจของประกาศกที่มาในพระนามพระเจ้า และทรงกระชากหน้ากากผู้มีอำนาจที่ใช้ศาสนาเพื่อฆ่าพระบุตรเพราะไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่ายังคงต่อเนื่องทั้งในระดับพระศาสนจักรและในสังคม ตราบใดที่คนยังใช้อำ นาจเพื่อผลประโยชน์แห่งตนมากกว่าเพื่อรับใช้

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2020 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือโยบ                                               โยบ 42:1-3,5-6,12-17
    โยบจึงทูลตอบองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีผู้ใดขัดขวางพระประสงค์ของพระองค์ได้ พระองค์เคยตรัสถามว่า ‘ผู้นี้เป็นใครที่ใช้ถ้อยคำไร้ความรู้ ทำให้แผนการของเรามืดไป’ ข้าพเจ้าจึงพูดถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และเป็นสิ่งน่าพิศวงเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะรู้ได้ ข้าพเจ้าเคยรู้จักพระองค์เพียงจากคำพูดของผู้อื่น แต่บัดนี้ดวงตาของข้าพเจ้าแลเห็นพระองค์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอถอนคำพูด และเป็นทุกข์เสียใจโปรยฝุ่นดินและขี้เถ้าบนศีรษะ”
     พระเจ้าทรงอวยพระพรชีวิตใหม่ของโยบมากกว่าชีวิตเดิม เขามีแกะหนึ่งหมื่นสี่พันตัว อูฐหกพันตัว โคเพศผู้หนึ่งพันคู่ และลาเพศเมียหนึ่งพันตัว เขามีบุตรชายเจ็ดคน และบุตรหญิงสามคน เขาเรียกชื่อบุตรหญิงคนแรกว่า “เยมีมาห์” คนที่สองว่า “เคสิยาห์” และคนที่สามว่า “เคเรนหัปปุค” ทั่วแผ่นดินไม่มีหญิงใดงดงามเท่ากับบุตรหญิงของโยบ บิดาให้เธอมีสิทธิรับมรดกเหมือนกับพี่ชายและน้องชายของเธอ
     โยบยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี ได้เห็นบุตร หลาน เหลน ถึงสี่ชั่วอายุ 17แล้วโยบก็สิ้นชีวิตในวัยชราอันยาวนานและผาสุก

 

สดด 119:65-66,70-71,75,91,125,129-130

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:17-24
     เวลานั้น ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”
     ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”
แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

 

ข้อคิด
     นักบุญลูกาเน้นจำ นวนศิษย์ 72 คน คงไม่ใช่เรื่องของจำ นวน แต่สะท้อนไปถึงจำนวน 72ชนชาติที่มีกล่าวถึงในพระคัมภีร์ เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่าข่าวดีของพระเจ้าต้องไปถึงทุกคน ทุกชนชาติ ทุกแห่งหน รวมทั้งบริบทไทยที่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ 350 ปีมิสซังสยาม ข่าวดีของพระเยซูเจ้ามาถึงแผ่นดินสยามผ่านทางธรรมทูต คนที่ได้รับข่าวดีแล้วมีจำนวนน้อย ในขณะที่คนยังไม่ได้รับข่าวดีมีจำนวนมาก น่าจะเป็นโอกาสสร้างความสำนึกว่าคนที่ได้รับข่าวดีแล้วมีพันธกิจประกาศข่าวดีต่อ เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของข่าวดี ข่าวดีเป็นพลวัตที่ต้องเลยตัวตนไป และเพื่อประกาศข่าวดีได้ต้องมีข่าวดี ข่าวดีกลายเป็นชีวิต ซึ่งจะทำ ให้สามารถประกาศข่าวดีได้ตลอดเวลา

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2020 ระลึกถึง น.โฟสตินา โควัลสกา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย      กท 1:6-12
      พี่น้อง ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายหันเหอย่างรวดเร็วจากพระบิดาผู้ทรงเรียกท่านด้วยพระหรรษทานของพระคริสตเจ้า ไปเชื่อข่าวดีอื่น อันที่จริงแล้ว ข่าวดีอื่นนั้นไม่มี แต่มีบางคนก่อความวุ่นวายในหมู่ท่านทั้งหลาย และประสงค์จะบิดเบือนข่าวดีของพระคริสตเจ้า แต่ถ้าเรา หรือทูตสวรรค์ประกาศข่าวดีขัดแย้งกับที่เราเคยประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าขอพูดย้ำสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อนอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครประกาศข่าวดีแก่ท่านขัดแย้งกับข่าวดีที่ท่านเคยรับไว้ ก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์หรือพระเจ้า ข้าพเจ้าพยายามเอาใจมนุษย์กระนั้นหรือ หากข้าพเจ้ายังเอาใจมนุษย์ ข้าพเจ้าก็คงไม่เป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า
     พี่น้อง ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศไปแล้วนั้น มิใช่ข่าวที่มาจากมนุษย์ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับมาจากมนุษย์ มิได้เรียนรู้จากมนุษย์ แต่ได้รับจากการเปิดเผยของพระเยซู
คริสตเจ้า

 

สดด 111:1-2,7-8,9-10

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:25-37
     ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”
     ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

ข้อคิด
     นักบุญเปาโลแปลกใจที่คริสตชนของท่านได้รับข่าวดีของพระเยซูเจ้าแล้วหันไปเชื่อข่าวดีอื่นมีการบิดเบือนข่าวดีของพระคริสตเจ้า ซึ่งก็พอเข้าใจได้ ตราบใดที่คนยังเข้าไม่ถึงข่าวดีของพระองค์อย่างแท้จริง ข่าวดีของพระองค์เป็นข่าวดีสำ หรับชีวิตทั้งครบ เข้าถึงความรักแท้อันเป็นแก่นแห่งชีวิต จนกระทั่งชีวิตกลับเป็นข่าวดี เพื่อเป็นเช่นนี้ได้ ต้องยืนหยัดหนักแน่นในท่ามกลางข่าวดีอย่างอื่นที่เน้นความสุขสนุกสนานชั่วครู่ชั่วยาม เน้นความเห็นแก่ตัวเป็นหลัก ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงข่าวดีอย่างแท้จริง ชีวิตคริสตชนก็ขาดความหนักแน่น เปลี่ยนไปมาตามกระแสนิยม แทนที่จะประกาศข่าวดีของพระคริสต์ ชีวิตคริสตชนกลายเป็นความขัดแย้งกับข่าวดีของพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown