มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2020 ระลึกถึง น.ปีโอที่ 10 พระสันตะปาปา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                            อสค 37:1-14
     พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำข้าพเจ้าออกมา และวางข้าพเจ้าไว้กลางหุบเขาที่มีกระดูกเต็มไปหมด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าเดินไปโดยรอบใกล้ๆ กระดูกเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีกระดูกมากทีเดียวในหุบเขานั้น เป็นกระดูกแห้งสนิท พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะกลับมีชีวิตได้ไหม” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว” พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงประกาศพระวาจาเหนือกระดูกเหล่านี้ จงกล่าวแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ‘กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูซิ เราจะนำจิตเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอีก เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้า จะทำให้เนื้อขึ้นมา จะเอาหนังมาคลุมไว้ จะใส่จิตในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’” ข้าพเจ้าจึงประกาศพระวาจาตามที่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชา ขณะที่ข้าพเจ้าประกาศพระวาจาอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกรุกกริก และเห็นกระดูกเหล่านั้นเข้ามาต่อติดกัน ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นเส้นเอ็นอยู่เหนือกระดูก มีเนื้อขึ้นมา และหนังก็มาหุ้มไว้ แต่ยังไม่มีจิตในร่างเหล่านั้น แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงประกาศพระวาจาแก่จิตเถิด บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจาและบอกจิตว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ จิตเอ๋ย จงมาจากทิศทั้งสี่และพ่นเข้าไปในผู้ที่ถูกฆ่าเหล่านี้ ให้เขามีชีวิตอีก’” ข้าพเจ้าประกาศพระวาจาตามพระบัญชา จิตก็เข้ามาในร่างเหล่านั้น เขาก็มีชีวิตและยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่มหึมาจริงๆ
     แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหลาย ดูซิ เขาทั้งหลายพูดว่า ‘กระดูกของเราแห้ง ความหวังของเราสูญหายไป พวกเราถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว’ ดังนั้น จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ นำท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย ท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ทำแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”

 

สดด 107:2-3,4-6,7-8ก,8ข-9

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 22:34-40
     เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”

 

ข้อคิด
     แม้ผู้ถามคำถามสำคัญนี้จะมีเจตนาเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า แต่เราก็ได้รับคำตอบที่สำคัญยิ่งจากพระเยซูเจ้าที่ชัดเจนที่สุด พระบัญญัติทั้งสองประการ "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจสุดสติปัญญาของท่าน" และ "จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" ไม่สามารถแยกจากกันได้ ความรักต่อพระเป็นเจ้าจะมีความหมายและเป็นจริงได้ก็ต้องสัมพันธ์กับความรักต่อเพื่อนพี่น้อง จากพระบัญญัตินี้สะท้อนให้เห็นว่า ประการแรกพระเป็นเจ้าต้องมาก่อน พระองค์ต้องเป็นสิ่งแรกในฐานะเป็นพระผู้สร้างและผู้ไถ่ เราต้องมีเวลาสำหรับภาวนาถึงพระองค์ และดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ ประการที่สองเพื่อนพี่น้องต้องเป็นศูนย์กลางของเรา นั่นคือคิดดีกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งเป็นผลมาจากความรักต่อพระเป็นเจ้านั่นเอง

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2020 ระลึกถึงพระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                           อสค 43:1-7ก
     เขานำข้าพเจ้าไปยังประตูซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก มีเสียงดังมากับพระองค์เหมือนเสียงน้ำมาก และแผ่นดินก็ส่องแสงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เหมือนกับนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อข้าพเจ้ามาดูเมืองนี้ถูกทำลาย และเหมือนนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงกราบลงหน้าจรดพื้น
     พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในพระวิหารทางประตูที่หันไปทางทิศตะวันออก พระจิตยกข้าพเจ้าขึ้น นำข้าพเจ้าเข้าไปในลานชั้นใน ข้าพเจ้าเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเต็มพระวิหาร ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งดังออกมาจากพระวิหารพูดกับข้าพเจ้า เสียงนั้นเป็นเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สถานที่นี้เป็นบัลลังก์ของเรา เป็นที่วางเท้าของเรา เราพำนักอยู่ที่นี่ในหมู่ชาวอิสราเอลตลอดไป

 

สดด 85:8-9,10-11,12-13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 23:1-12
     ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้น เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’
     ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้ารู้สึกผิดหวังที่ผู้นำชาวยิวซึ่งได้แก่พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี ที่ใช้อำนาจที่พระเป็นเจ้าประทานให้อย่างผิดๆ คือไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนเองสอน และยังบังคับให้ประชาชนทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระองค์บอกว่าครูที่ดีต้องเป็นแบบอย่างในการสอนและการปฏิบัติ แต่พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีกลับทำตัวเหนือพระเป็นเจ้า คือทำเพื่อให้คนยกย่องสรเสริญพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้นำที่แท้จริงเพราะพระองค์ปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์สอน

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2020 ฉลองนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                            วว 21:9ข-14
     ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ซึ่งถือขันเจ็ดใบบรรจุภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการมาและกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรีที่เป็นเจ้าสาวของลูกแกะ” ทูตสวรรค์นำข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นกรุงเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์ มาจากพระเจ้า นครนี้มีพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยล้ำค่า คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็นผลึกสดใส มีกำแพงสูงใหญ่ ประตูสิบสองประตู แต่ละประตูมีทูตสวรรค์ประจำอยู่และมีชื่อจารึกไว้ คือชื่อตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมีสามประตู ทางทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตูและทางทิศตะวันตกมีสามประตู กำแพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลาสิบสองฐาน บนฐานศิลานั้นมีชื่อของบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะ

 

สดด 145:10-11,12-13ข,16-19

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 1:45-51
     เวลานั้น ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรมบัญญัติและบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซูบุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”

 

ข้อคิด

     ในพันธสัญญใหม่ เราได้ยินชื่อบาร์โธโลมิวเฉพาะในรายชื่อของอัครสาวกทั้ง 12 คนเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ถือว่าท่านเป็นคนเดียวกันกับนาธานาเอลที่พระวรสารกล่าวถึงในวันนี้ ท่านเป็นชาวเมืองคานา แคว้นกาลิลี ฟิลิปเป็นผู้ที่พาท่านมารู้จักพระเยซูเจ้าท่านเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้ายกย่องว่าเป็นคนไม่มีมารยา บาร์โธโลมิวได้เห็นเหตุการณ์สำคัญที่พระเยซูเจ้าพูดถึงคือได้เห็นพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพที่ริมทะเลทีเบเรียส ท่านได้เป็นพยานในการประกาศข่าวดีไม่หยุดหย่อนประกาศข่าวดีแก่ทุกคน ซึ่งเราคริสตชนทุกคนต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันในการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020 สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 22:19-23
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะถอดท่านจากหน้าที่ และจะดึงท่านลงมาจากตำแหน่ง วันนั้น เราจะเรียกผู้รับใช้ของเรา เอลียาคิม บุตรของฮิลคียาห์ เราจะจะให้เขาสวมเสื้อของท่าน ให้เขาคาดผ้าคาดสะเอวของท่าน เราจะมอบอำนาจของท่านไว้ในมือของเขา เขาจะเป็นดังบิดาของชาวกรุงเยรูซาเล็ม และของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เราจะวางกุญแจราชวังของกษัตริย์ดาวิดไว้บนบ่าของเขา ถ้าเขาเปิด จะไม่มีผู้ใดปิด ถ้าเขาปิด จะไม่มีผู้ใดเปิดได้ เราจะทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคง เหมือนตอกหมุดไว้ในที่มั่นคง และเขาจะเป็นเหมือนบัลลังก์มีเกียรติแห่งครอบครัวบิดาของเขา”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม       รม 11:33-36
     พี่น้อง พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ลึกล้ำเพียงใด คำตัดสินของพระองค์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้ ใครเล่าจะล่วงรู้พระดำริขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ ใครเล่าเคยถวายสิ่งใดแด่พระองค์ พระองค์จึงจะต้องประทานตอบแทนเขา เพราะทุกสิ่งล้วนมาจากพระองค์ โดยทางพระองค์และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 16:13-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า”

 

ข้อคิด
     หลังจากที่พระเยซูเจ้าเริ่มประกาศข่าวดีมาได้ระยะหนึ่ง พระองค์ได้ตั้งคำถามว่า "คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร" ก็ได้รับคำตอบต่างๆ นานา แต่คำถามที่สำคัญคือคำถามที่สอง "ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร" คำตอบของนักบุญเปโตร "พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต"ทำให้เราทราบว่า ลำพังมนุษย์ไม่สามารถรู้จักพระองค์ได้อย่างถูกต้องนอกจากเป็นการเปิดเผยของพระเป็นเจ้า คำถามของพระเยซูเจ้ายังเป็นคำถามในโลกปัจจุบัน เรายังถูกถามด้วยคำถามเดียวกัน"พระเยซูเจ้าเป็นใครสำหรับเรา" คำตอบไม่เพียงแต่เป็นพระคริสตเจ้าเท่านั้น พระองค์ยังเป็นเพื่อนของเราเป็นพี่ชายของเราที่เราวางใจได้ทุกเรื่อง พระเยซูเจ้าพอพระทัยในคำตอบของนักบุญเปโตรซึ่งเป็นชาวประมงธรรมดาๆ ไม่มีความรู้ แต่สำหรับเราซึ่งมีการศึกษา มีปริญญา เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นอาจารย์ เป็นทนายความ ฯลฯ เราจะตอบคำถามได้อย่างนักบุญเปโตรหรือไม่

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2020 น.หลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส น.ยอแซฟ กาลาซานส์ พระสงฆ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่สอง      2 ธส 2:1-3ก,14-17
     พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเรื่องการชุมนุมของเราเพื่อพบกับพระองค์นั้น เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวั่นไหวหรือตกใจไม่ว่าเพราะคำพยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะคำพูดหรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ประหนึ่งว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอกลวงท่านโดยวิธีใดเลย
     พระองค์ทรงเรียกท่านมาเพราะข่าวดีที่เราเทศน์สอน เพื่อท่านจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดมั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา ขอพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ทรงรักเรา ประทานกำลังใจนิรันดรและความหวังที่ดีให้เราเดชะพระหรรษทาน โปรดประทานกำลังใจให้ท่านและบันดาลให้ท่านยืนหยัดมั่นคงในกิจการและวาจาที่ดีทุกประการ

 

สดด 96:10-13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 23:23-26
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่สำคัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติเหล่านั้นด้วย”
“ผู้นำทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกน้ำ แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว”
     “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขู่แย่งชิง และราคตัณหา ฟาริสีตาบอดเอ๋ย จงล้างด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าไม่ได้ตำหนิการถวายหนึ่งในสิบของพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี แต่พระองค์ตำหนิการที่พวกเขาไปเน้นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น การล้างถ้วยชามด้านนอกเพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนมองเห็น พระองค์เรียกพวกเขาว่าพวกหน้าซื่อใจคดเพราะพวกเขาละเลยสิ่งที่สำคัญกว่า ได้แก่ ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์และความรักต่อพระเป็นเจ้า พวกเขาวางแอกให้คนอื่น แต่กลับละเลยที่จะแสดงความรักความเมตตา โดยเฉพาะกับผู้ขัดสนและอ่อนแอ สรุปก็คือพระเยซูเจ้าต้องการสอนสาระสำคัญของพระบัญญัติคือ ความรักต่อพระเป็นเจ้าและต่อเพื่อนพี่น้อง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown