วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2020 ระลึกถึง น.กลารา พรหมจารี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนสิงหาคม 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 05 พฤษภาคม 2563 06:52
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 891
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 2:8-3:4
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “แต่ท่าน บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิ่งที่เราพูดกับท่าน อย่าเป็นคนกบฏเหมือนพงศ์พันธุ์กบฏ จงอ้าปากและกินสิ่งที่เรากำลังจะให้ท่าน”
เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นพระหัตถ์เหยียดออกมาหาข้าพเจ้า พระหัตถ์นั้นถือหนังสือม้วนหนึ่ง พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีอักษรเขียนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีบทคร่ำครวญ คำไว้ทุกข์ และคำวิบัติเขียนอยู่ในม้วนหนังสือนั้น
พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ท่านเห็น จงกินหนังสือม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเถิด” ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทานหนังสือม้วนนั้นให้ข้าพเจ้ากิน แล้วตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ซึ่งเราให้ท่าน จงกินให้อิ่ม” ข้าพเจ้าจึงกินหนังสือม้วนนั้น ซึ่งมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า
แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงไปพบพงศ์พันธุ์อิสราเอล และประกาศถ้อยคำของเราแก่เขา
สดด 119:13-14,24,72,102-103,111-112,131-132
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 18:1-5,10,12-14
ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
“ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา
“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”
“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ”
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง”
“พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป”
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์" เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คือ มีความถ่อมตน ยอมรับสภาพชีวิตของตน มีทั้งความดีและความชั่ว มีความยินดีวางใจในพระเมตตาและความรักของพระเจ้า เกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้า พระองค์จะช่วยเราให้เติบโตในชีวิตฝ่ายจิต ให้ทำตนเป็นคนสุดท้ายและรับใช้ทุกคนนักบุญกลาราหญิงสาวจากครอบครัวร่ำรวยได้พึ่งเสียงพระเจ้าผ่านการเทศน์ของ นักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี เมื่ออายุ 18 ปีได้ตัดสินใจละทิ้งโลกและอุทิศชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้าในอาราม ต่อมาท่านตั้งคณะนักพรตหญิงคณะกลาริส กาปูชินเพื่อรับใช้พระเจ้า
วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2020 น.ฌาน ฟรังซัวส์ เดอ ชังตาล นักบวช
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนสิงหาคม 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 05 พฤษภาคม 2563 06:44
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 886
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 9:1-7 และ 10:18-22
แล้วพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายผู้มีหน้าที่ลงโทษเมืองนี้ จงเข้ามาใกล้ แต่ละคนจงถืออาวุธทำลายมาด้วย” ข้าพเจ้าเห็นชายหกคนเข้ามาจากทางประตูชั้นบน ซึ่งหันไปทางทิศเหนือ แต่ละคนถืออาวุธทำลายมาด้วย ในหมู่เขามีชายคนหนึ่งสวมผ้าป่าน เหน็บกล่องเครื่องเขียนไว้ที่สะเอว เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึงก็เข้าไปยืนอยู่ข้างพระแท่นทองสัมฤทธิ์ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลขึ้นมาจากเครูบซึ่งเป็นที่ประทับ ไปยังธรณีประตูของพระวิหาร พระองค์ทรงเรียกชายที่สวมผ้าป่านและเหน็บกล่องเครื่องเขียนไว้ที่สะเอว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขาว่า “จงไปทั่วเมือง คือทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และเขียนอักษร ‘เตา’ ไว้ที่หน้าผากของมนุษย์ทุกคนซึ่งถอนใจและคร่ำครวญที่เห็นการกระทำน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายที่ทำกันภายในเมือง” พระองค์ยังตรัสกับผู้อื่นให้ข้าพเจ้าได้ยินว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเขาไปทั่วเมืองและฆ่าให้หมด ดวงตาของท่านอย่าได้สงสาร และท่านอย่าได้ไว้ชีวิตเลย จงฆ่าให้หมด ทั้งคนชรา ชายหนุ่ม หญิงสาว เด็กและผู้หญิง แต่อย่าแตะต้องผู้ที่มีอักษร ‘เตา’ เขียนอยู่ที่หน้าผาก จงเริ่มต้นจากสักการสถานของเรา” เขาเหล่านั้นจึงเริ่มฆ่าคนชราที่อยู่หน้าพระวิหาร พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงทำให้พระวิหารเป็นมลทินเถิด จงทำให้ลานพระวิหารเต็มไปด้วยศพ จงออกไปเถิด” เขาทั้งหลายก็ออกไปและฆ่าผู้คนในเมือง
พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากธรณีประตูพระวิหาร มาประทับเหนือเหล่าเครูบ ข้าพเจ้าเห็นเหล่าเครูบกางปีกออกเหาะขึ้นไปจากพื้นดิน วงล้อก็เหาะขึ้นตามไปข้างๆด้วย และมาหยุด อยู่ที่ทางเข้าประตูด้านตะวันออกของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่เหนือเครูบเหล่านั้น สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเห็นภายใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ริมแม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้าก็รู้ว่าเป็นเครูบ เครูบแต่ละตนมีสี่หน้า สี่ปีก และมีสิ่งที่เหมือนมือมนุษย์อยู่ใต้ปีก ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีลักษณะเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเคยเห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ เครูบแต่ละตนเคลื่อนตรงไปข้างหน้า
สดด 113:1-3,4-6
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 18:15-20
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด” “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
“เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”
ข้อคิด
จากพระวรสารพระเยซูเจ้าได้ให้แนวทางปฏิบัติ วิธีการและขั้นตอนในการช่วยตักเตือนและแก้ไขความผิดฉันพี่น้อง เป็นการแสดงความรัก ความหวังดีต่อเพื่อนพี่น้อง ปกติไม่มีใครอยากพูดหรือยอมรับข้อบกพร่องของตน ต้องเป็นผู้ที่รักและหวังดีต่อกันจริงๆ โดยเฉพาะกลุ่มคริสตชนที่ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร และขอให้คริสตชนเห็นความสำคัญของการอธิษฐานภาวนาร่วมกันในนามของพระเยซูคริสต์เพราะพระองค์จะทรงอยู่ท่ามกลางเรา
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2020 ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์และมรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนสิงหาคม 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 05 พฤษภาคม 2563 06:33
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1022
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 16:59-63
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ทำ เจ้าได้ดูหมิ่นคำสาบานและละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายังเป็นสาว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความประพฤติของเจ้าและจะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขาให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้า เราจะรื้อฟื้นพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจำและมีความละอาย และจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำ” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส
อสย 12:2-3,4-5,6
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 19:3-12
เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้าง แล้วหย่าร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด”
ข้อคิด
ประกาศกเอเสเคียลมองดูความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับชาวอิสราเอลเหมือนการแต่งงานที่แตกแยก ชาวอิสราเอลสมัยนั้นไม่ชื่อสัตย์ มิได้ปฏิบัติตามพันธสัญญากับพระเจ้า แต่พระเจ้ายังทรงเมตตาให้อภัย และจะทำพันธสัญญานิรันดรกับพวกเขา แม้พวกเขาได้ทำบาปผิดต่อพระองค์พระวรสารกล่าวถึงประสบการณ์ที่ยากลำบากเมื่อชีวิตแต่งงานเกิดปัญหาหนัก คริสตชนจะต้องปฏิบัติอย่างไร พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าในพระคัมภีร์ปฐมกาลได้กล่าวถึงจุดประสงค์แรกเริ่มของการแต่งงาน และยืนยันว่าศีลสมรสที่ถูกต้องแล้วจะหย่าร้างมิได้ กระแสเรียกชีวิตครอบครัวเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็มีบางคนได้รับกระแสรียกไม่แต่งงานเพื่ออุทิศตนทั้งครบเพื่ออาณาจักรพระเจ้า
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2020 น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์และมรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนสิงหาคม 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 05 พฤษภาคม 2563 06:41
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 851
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 12:1-12
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะต้องออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งต่อหน้าเขา เขาอาจจะเข้าใจได้ว่าตนเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ จงนำข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย จงเจาะช่องในกำแพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่องนั้น จงยกข้าวของใส่บ่าต่อหน้าเขา แล้วแบกออกไปเมื่อมืดแล้ว ท่านจงคลุมใบหน้าเพื่อจะไม่เห็นพื้นดิน เพราะเราทำให้ท่านเป็นเครื่องหมายสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล”
ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาเวลากลางวัน เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าใช้มือเจาะช่องในกำแพง เมื่อมืดแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกไป แบกข้าวของออกไปต่อหน้าเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอล พงศ์พันธุ์กบฏได้ถามท่านหรือไม่ว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ จงตอบเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ คำพยากรณ์นี้มีไว้สำหรับเจ้านายที่กรุงเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น’ จงพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับท่าน ข้าพเจ้าได้ทำอย่างไร เขาทั้งหลายก็จะถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น เขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย’ เจ้านายซึ่งอยู่ในพวกเขาจะต้องยกข้าวของใส่บ่าเมื่อมืดแล้ว และจะออกไปทางกำแพงที่เขาทั้งหลายเจาะช่องให้ออกไปได้ เขาจะคลุมใบหน้าเพื่อจะมองไม่เห็นแผ่นดินอีก”
สดด 78:56-57,58-59,61-63
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 18:21-19:1
เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน
ข้อคิด
ประกาศกเอเสเคียลได้ทำหน้าที่ที่ยากลำบากและท้าทายคือ การช่วยให้ชาวอิสราเอลที่เป็นเชลยในกรุงบาบิโลนได้รู้จักตนเอง และยอมรับความผิดของตน รู้สาเหตุที่พวกเขาถูกจับเป็นเชลย และช่วยให้พวกเขากลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้เข้าใจถึงพระเมตตาของพระเจ้า พระเจ้าทรงเมตตาและให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิดเสมอ คริสตชนต้องมีใจกว้าง รู้จักให้อภัยเพื่อนพี่น้องเช่นเดียวกัน เพราะเราได้รับพระเมตตา
จากพระเจ้า
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2020 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนสิงหาคม 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 05 พฤษภาคม 2563 06:28
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 906
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 18:1-10,13ข,30-32
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวคำพังเพยนี้ซ้ำซากในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’
เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้คำพังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวิตทั้งหลายเป็นของเรา ชีวิตของพ่อเป็นของเราฉันใด ชีวิตของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดทำบาป ผู้นั้นจะต้องตาย”
“ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรม ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ถ้าเขาไม่กินของถวายตามสักการสถานบนที่สูง ไม่เงยหน้าขึ้นคารวะรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ไม่เข้าหาหญิงที่มีประจำเดือน ไม่ข่มเหงผู้อื่น แต่คืนของประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยหรือหากำไร ยั้งมือไว้ไม่ทำความชั่ว ตัดสินคู่ความอย่างยุติธรรม ดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเราอย่างซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส
“แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และทำความชั่วเหล่านี้ เขาจะไม่มีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะต้องตายแน่ๆ เพราะเขาได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน”
ดังนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้วความผิดของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ท่านพินาศ จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดที่ท่านได้ทำ จงทำตนให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจในความตายของผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้วท่านจะมีชีวิต”
สดด 51:10-12ก,12ข-13,16-17
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 19:13-15
ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็กๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น
ข้อคิด
ประกาศกเอเสเคียลสอนชาวอิสราเอลว่า แต่ละคนต้องไตร่ตรองและมองดูตนเอง ต้องรับผิดชอบยอมรับผลการกระทำของตน เพราะตนได้ทำบาปไม่ปฏิบัติตามพันธสัญญากับพระเจ้า จึงเป็นเหตุให้พวกเขาต้องเป็นเชลยในกรุงบาบิโลน ไม่ควรไปโทษผู้อื่นหรือบรรพบุรุษ ไม่ใช้คำพังเผยว่า "พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน" "จงกลับใจและเลิกการล่วงละมิดทั้งหมด" "จงมีจิตใจใหม่ แล้วท่านจะมีชีวิต"พระเยซูเจ้าทรงอวยพรเด็กๆ อาณาจักรพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ คือ มีความถ่อมตนยอมรับสภาพชีวิตของตน มีทั้งความดีและความชั่ว มีความวางใจในพระเมตตาและความรักของพระเจ้าปรับปรุงชีวิต พระองค์จะช่วยเราให้เติบโตในชีวิตฝ่ายจิตเพื่อเราจะได้รับใช้และประกาศข่าวดีแก่ทุกคน