วันอังคารที่ 21 เมษายน 2020 น.อันเซลม์ พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนเมษายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563 07:46
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 887
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 4:32-37
เวลานั้น กลุ่มผู้มีความเชื่อดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม
บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้บรรดาอัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ
ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตรแห่งการให้กำลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำเงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย
สดด 93:1-2กข,2ค-4,5
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:7-15
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์
ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”
ข้อคิด
นิโคเดมัสสงสัยว่า "การเกิดใหม่จากเบื้องบน" จะเป็นไปได้อย่างไร? คำตอบของพระเยซูเจ้าคือ ให้รู้จักผลของมันก็พอแล้ว เราอาจไม่รู้ว่าลมเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะพัดไปไหน แต่เรารู้ว่ามันกิดขึ้นจริงจากเสียงลมพัด เราอาจไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างไร แต่เราก็ได้ประโยชน์จากมันเวลานั่งรถยนต์ ดังนี้เป็นต้นเช่นเดียวกัน เราอาจไม่รู้ว่าพลังอำนาจของพระเยซูเจ้าทำให้เราเกิดใหม่ได้อย่างไร แต่คริสตชนยุคเริ่มแรกที่ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แบ่งปันทรัพย์สินซึ่งกันและกัน คือเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดใหม่จากเบื้องบนแล้ว
วันพุธที่ 22 เมษายน 2020 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนเมษายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563 07:44
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 848
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 5:17-26
ในครั้งนั้น มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำไว้ในคุกสาธารณะ
เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำบรรดาอัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น
เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและบรรดาผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปที่คุกนำตัวบรรดาอัครสาวกออกมา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำบรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน
สดด 34:1-2,3-4,5-6,7-8
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:16-21
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า”
ข้อคิด
สาระสำคัญของพระวรสารที่พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราก็คือ พระบิดามิใช่พระเจ้าที่คอยเฝ้าจับผิดและลงโทษมนุษย์ แต่ธาตุแท้ของพระองค์คือ "ความรัก" พระองค์เป็นผู้ริเริ่มแผนการแห่งความรอดพ้น โดยทรง "ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร"และสิ่งที่พระองค์ทรงรักคือ "โลก" นั่นคือทุกคน ไม่เว้นใครเลย แม้ผู้นั้นจะโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแลเพียงใดก็ตาม ล้วนรวมอยู่ในความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ทั้งสิ้น
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2020 น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์และมรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนเมษายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563 07:40
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 937
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 5:34-42
ขณะนั้น อาจารย์กฎหมายชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ยืนขึ้นในสภาซันเฮดรินและขอให้นำบรรดาอัครสาวกออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาสมาชิกสภาว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ท่านจะทำอะไรกับคนเหล่านี้ ก็จงคิดให้ดีเสียก่อน เมื่อไม่นานมานี้ คนคนหนึ่งชื่อเทวดัสตั้งตนเป็นผู้วิเศษ คนประมาณสี่ร้อยคนติดตามเขา แต่เมื่อเขาถูกฆ่า ทุกคนที่ติดตามเขาก็กระจัดกระจายไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้นในสมัยสำรวจจำนวนประชาชน ก็มียูดาสชาวกาลิลี ชักจูงประชาชนให้มาติดตามตน แต่เขาก็ถูกฆ่าด้วย ทุกคนที่ติดตามเขาก็กระจัดกระจายไป บัดนี้ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงเลิกสนใจคนเหล่านี้และปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าแผนการและกิจการของเขามาจากมนุษย์ แผนการและกิจการนั้นก็จะสลายไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเขาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ท่านจะกลับเป็นผู้ต่อสู้กับพระเจ้าเสียเอง”
ทุกคนเห็นด้วยกับกามาลิเอล จึงส่งคนไปเรียกบรรดาอัครสาวกเข้ามา สั่งให้เฆี่ยนและกำชับมิให้พูดในพระนามพระเยซูเจ้า แล้วปล่อยตัวไป บรรดาอัครสาวกออกจากสภาซันเฮดริน มีความยินดีที่ได้รับเกียรติที่ถูกสบประมาทเพราะพระนามพระเยซูเจ้า
ทุกๆ วัน เขาทั้งหลายสั่งสอนและประกาศข่าวดีอย่างต่อเนื่องทั้งในพระวิหารและตามบ้านว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า
สดด 27:1,4,13-14
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:1-15
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือทีเบเรียส ประชาชนจำนวนมากตามพระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำแก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว
พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำนวนมากที่มาเฝ้า จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน” พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าจะทรงทำประการใด ฟีลิปทูลตอบว่า “ขนมปังราคาสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ยังไม่พอ” ศิษย์อีกคนหนึ่ง คือ อันดรูว์น้องของซีโมนเปโตรทูลว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงบอกประชาชนให้นั่งลงเถิด” ที่นั่นมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำนวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ตามที่เขาต้องการ พระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับปลา เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใดสูญไปเปล่าๆ” บรรดาศิษย์จึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้นได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลายเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นประกาศกแท้ซึ่งจะต้องมาในโลก” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะใช้กำลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง
ข้อคิด
อันดรูว์ต่างจากฟิลิปโดยสิ้นเชิง ฟิลิปคือคนประเภทที่ชอบพูดว่า "หมดหวัง ไม่มีทางทำได้"ส่วนอันดรูว์คือคนที่พาเด็กมาหาพระเยซูเจ้าและทำให้อัศจรรย์ครั้งนี้เป็นไปได้เมื่อเรานำคนคนหนึ่งมาหาพระเยซูเจ้า เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราได้เพิ่ม "ความเป็นไปได้" ที่พระองค์จะกระทำกิจการยิ่งใหญ่อีกมากน้อยเพียงใด! อนึ่ง ขนมปังและปลาที่เด็กคนนี้นำมามอบแด่พระองค์มิได้มีราคาค่างวดมากมายแต่ประการใด แต่หากเขาปฏิเสธที่จะให้สิ่งที่เขามี เราคงต้องลดจำนวนอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ลงไปอีกหนึ่งครั้ง
ทุกวันนี้ โลกไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นอัศจรรย์และเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บ่อยครั้งนัก นั่นเป็นเพราะเราไม่ยอมนำ "สิ่งที่เรามี" และ "สิ่งที่เราเป็น" มามอบถวายแด่พระองค์!
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2020 น.ยอร์จ มรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนเมษายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563 07:43
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 876
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 5:27-33
ในครั้งนั้น เขานำบรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำคำสอนของตนมาแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนี้ตกอยู่กับเรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าที่ท่านทั้งหลายประหารชีวิตโดยตรึงบนไม้กางเขนนั้นกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ท่านขึ้นประทับเบื้องขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ก็ทรงเป็นพยานด้วย” เมื่อได้ฟังดังนี้ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากอยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก
สดด 34:1,8,16-18,19-20
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:31-36
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำพยานยืนยันของเขา ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัด พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว”
ข้อคิด
หากเราต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองใด เราควรต้องไปหาข้อมูลจากชาวเมืองนั้นฉันใด หากเราต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้า เราก็ควรต้องไปหาข้อมูลจากผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาฉันนั้นในอดีต พระเจ้าประทานพระจิตให้แก่บรรดาประกาศกเพียงบางส่วน แต่ทรงประทานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมาอย่างไม่จำกัด บทบาทของพระจิตคือเปิดเผยความจริงของพระเจ้า และทำให้เราเข้าใจความจริงนั้น พระเยซูเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าอย่างไม่จำกัดจึงรู้และเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ จนว่าผู้ใดยอมรับและเชื่อพระองค์ก็ยอมรับว่าเป็นวาจาของพระเจ้าจริง และจะพบกับชีวิตนิรันดร
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2020 ฉลองนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนเมษายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563 07:38
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 868
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 5:5ข-14
ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนอยู่ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำลังดักวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงโตคำราม เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ จงต่อสู้กับมันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ จงรู้ว่าบรรดาพี่น้องผู้มีความเชื่อทั่วโลกก็ประสบความทุกข์ลำบากเช่นเดียวกัน และเมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ประทานพระหรรษทานทุกประการ ผู้ทรงเรียกท่านให้มารับพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรในพระคริสตเจ้า จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้ ขอพระอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน
ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่งข้าพเจ้านับถือว่าเป็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติท่านและยืนยันว่านี่เป็นพระหรรษทานแท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระหรรษทานนี้เถิด
พระศาสนจักรที่กรุงบาบิโลนซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เช่นเดียวกับที่ได้ทรงเลือกสรรท่าน ขอฝากความคิดถึงท่าน มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงท่านด้วย
จงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสุขจงอยู่กับท่านทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่ในพระคริสตเจ้าเทอญ
สดด 89:1-2,5-7,15-16
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 16:15-20
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงองค์แก่อัครสาวกทั้งสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”
เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา
ข้อคิด
แม้พระเยซูเจ้าจะเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แต่ภารกิจในการประกาศข่าวดีและรักษาคนเจ็บป่วยที่พระองค์ทรงกระทำในดินแดนของชาวยิวเมื่อสองพันปีก่อน ยังคงได้รับการสืบสานต่อมาจวบจนถึงทุกวันนี้และยังจะดำเนินต่อไปพร้อมกับแผ่ขยายไปสู่ชนทุกชาติจนสุดปลายพิภพอีกด้วย ทั้งนี้โดยอาศัยพระศาสนจักร บรรดาผู้แพร่ธรรม และเราคริสตชนทุกคน!
อนึ่ง วิธีประกาศข่าวดีที่ได้ผลที่สุดก็คือ การดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างบังเกิดผลจนแลเห็นได้ เพื่อว่าผู้ที่มองเห็นผลดีของการเป็นคริสตชนจะปรารถนาเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา