มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 1 เมษายน 2020 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                              ดนล 3:14-20,24-25,28
     กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่เราตั้งไว้ บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้าท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง แล้วพระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้”
     ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระหัตถ์พระองค์ได้ ข้าแต่พระราชา แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น”
     กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง
    เขาทั้งสามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ พระวินิจฉัยที่ทรงกระทำต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อกรุงเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษ ก็เที่ยงธรรม พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งกับข้าพเจ้าทั้งหลายอย่างถูกต้องแท้จริงเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย

 

ดนล 3:53-56

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 8:31-42
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”
     คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป ดังนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”
     คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม”
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิด แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยทำเช่นนี้เลย ท่านไม่ทำกิจการของอับราฮัม แต่ทำกิจการของบิดาของท่าน”
คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา”

 

ข้อคิด

     ชาวยิวที่สนทนากับพระเยซูเจ้าในตอนนี้ เป็นชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ โดยพวกเขาสามารถอ้างได้ว่า พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ "รู้" พระวาจาของพระเยซูเจ้าในฐานะผู้ที่เชื่อในพระองค์ด้วย แต่มีบางอย่างที่ขัดขวางมิให้ "พระวาจา" ซึมชาบในชีวิตของพวกเขา... สำหรับเราในขณะนี้ ขอเชิญชวนเราให้วอนขอต่อพระเจ้า เพื่อให้เราซึ่งกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเป็นลูกของพระศาสนจักร และเราพอ "รู้" พระวาจาของพระเยซูเจ้า จะได้มีชีวิตและจิตใจที่ซึมซาบในพระวาจาและความรักของพระ ขอให้เราจะได้พ้นจากความมั่นใจอย่างหลงผิดบางประเภท ที่ปิดบังใจของเราไม่ให้ซึมซาบใน "พระวาจา"

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2020 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                         ปฐก 17:3-9
     ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่าอับราฮัม เพราะเราจะทำให้ท่านเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก เราจะทำให้ท่านมีลูกหลานจำนวนมากยิ่งๆ ขึ้น จะให้ท่านเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูกหลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย”
พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้”

 

สดด 105:4-5,6,7-10

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 8:51-59
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย”
     ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ทีุ่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว”
     ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น”
คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร

 

ข้อคิด
     เราในปัจจุบัน อาจจะได้ยิน ได้ฟัง และได้อ่าน "พระวาจา" เหมือนชาวยิวสมัยโน้น แต่พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เพียงได้ฟัง ได้อ่าน "พระวาจา" แต่ให้เราแต่ละคนได้ก้าวไปสู่การ "ได้มีประสบการณ์" กับพระองค์อย่างตัวต่อตัว เป็นประสบการณ์ที่เอาชีวิตของเราชนิดเต็มร้อยเปอร์เซนต์ไปผูกพันไว้กับชีวิตของพระเยซูเจ้า เป็นความจริงที่ว่า การก้าวสู่ชีวิตเช่นนี้เป็นก้าวที่ไม่ง่ายนัก...ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกปรารถนาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ โปรดช่วยลูกด้วยเถิด

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2020 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                            อสค 37:21-28
     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะนำชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุกแห่ง และจะนำเขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล จะมีกษัตริย์พระองค์เดียวปกครองเขาทั้งหลาย เขาจะไม่เป็นชนสองชาติ และจะไม่แยกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป เขาทั้งหลายจะไม่ทำตนให้เป็นมลทินกับรูปเคารพ โดยการกระทำน่าสะอิดสะเอียน และการล่วงละเมิดทั้งหลายของเขาอีกต่อไป เราจะช่วยเขาให้พ้นจากการทรยศที่เขาได้ทำบาป เราจะชำระเขา แล้วเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์ปกครองเขา จะเป็นผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียวของเขาทุกคน เขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา จะรักษาข้อกำหนดของเราและปฏิบัติตาม เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เป็นแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเขาเคยอาศัยอยู่ เขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป ทั้งตัวเขา ลูก และหลานของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้านายปกครองเขาตลอดไป เราจะทำพันธสัญญาสันติภาพซึ่งจะเป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำนวนขึ้น เราจะตั้งสักการสถานของเราไว้ในหมู่เขาตลอดไป ที่พำนักของเราจะอยู่ในหมู่เขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำให้อิสราเอลศักดิ์สิทธิ์เมื่อสักการสถานของเราจะอยู่ในหมู่เขาตลอดไป’”

 

ยรม 31:10,11-12กขคง,13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 11:45-57
     เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์ แต่บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำอย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา” คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิดหรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำนักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์
     วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำสั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์

 

ข้อคิด
     การที่พระเป็นเจ้าทรงรักและรับเรามนุษย์เป็นบุตรของพระองค์ เป็นบุคคลในครอบครัวของพระองค์ ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงให้การยืนยันนั้น ได้ค่อยๆ นำพระองค์ไปสู่แดนประหาร พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนในยุคนั้น เหมือนดังที่ชาวยิวในสมัยนั้นก็รับรู้ จนพูดกันว่า "ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่"... ในปัจจุบัน ณ ขณะนี้ ในสถานการณ์ชีวิตของเราแต่ละคน คำถามที่ว่า "พระเยซูเจ้าจะมาหรือไม่" คำตอบของพระองค์ยังคงเดิม "พระองค์มาแน่นอน"มาสำหรับเราเฉพาะแต่ละคน

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2020 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                              ยรม 20:10-13
     ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จงกล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และจะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ประสบความสำเร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรงสำรวจใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย

 

สดด 18:1-2กข,2ค-3,4-5,6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 10:31-42
     เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า”
     พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”
     คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำพิธีล้าง พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด
     ภาพที่ขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับพระเยซูเจ้าคือ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า พระเป็นเจ้าทรงรักและรับมนุษย์เป็นบุตรของพระองค์ เป็นลูกในครอบครัวในบ้านของพระองค์ แต่ชาวยิวรับไม่ได้และประกาศว่าการที่พระองค์สอนเช่นนี้นั้น เป็นการ "ตั้งตนเป็นพระเจ้า" แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงยืนยันในความรักของพระเป็นเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ แม้การยืนยันเช่นนี้จะนำความตายมาสู่พระเยซูเจ้า พระองค์ก็ไม่ถอนคำพูด...จากใจของเรา เราอยากจะพูดกับพระว่า "ลูกขอบคุณพระองค์ พระองค์ทรงรักลูกจริงๆ"

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2020 วันอาทิตย์ใบลาน พระทรมานของพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                             อสย 50:4-7
     องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆเช้า พระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มน้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี         ฟป 2:6-11
     แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 27:11-54
     ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ ผู้ว่าราชการถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดเองนะ”
     แต่เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์มิได้ทรงตอบ
ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินหรือว่าเขากล่าวหาท่านหลายประการ” แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด ทำให้ผู้ว่าราชการประหลาดใจมาก
     มีประเพณีที่ผู้ว่าราชการต้องปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามคำขอร้องของประชาชนในวันฉลอง เวลานั้น มีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งชื่อ บารับบัส ดังนั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกัน ปีลาตจึงถามว่า “ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใด ปล่อยบารับบัส หรือเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์” ปีลาตรู้อยู่แล้วว่า เขาจับพระองค์มามอบให้เพราะความอิจฉา
     ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ศาลนั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาบอกว่า “อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชอบธรรมคนนี้เลย เพราะวันนี้ ฉันฝันถึงเรื่องของคนคนนี้ จึงไม่สบายใจมาก”
      แต่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสเสี้ยมสอนยุยงประชาชนเพื่อขอให้ปล่อยบารับบัส และประหารพระเยซูเจ้า ผู้ว่าราชการจึงถามว่า “ในสองคนนี้ ท่านอยากให้ข้าพเจ้าปล่อยคนไหน” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”
ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าทำอะไรกับเยซู ซึ่งมีชื่อว่า พระคริสต์” ทุกคนตอบว่า “ให้เขาถูกตรึงกางเขน” ปีลาตถามอีกว่า “เขาทำผิดอะไร” แต่ประชาชนร้องตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า “ให้เขาถูกตรึงกางเขน”
เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะวุ่นวายยิ่งขึ้น จึงนำน้ำมาล้างมือต่อหน้าประชาชน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลหิตของผู้นี้ เรื่องนี้เป็นธุระของท่าน” ประชาชนทุกคนตอบว่า “ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเราและเหนือลูกหลานของเราเถิด” แล้วปีลาตสั่งให้ปล่อยบารับบัส สั่งให้โบยตีพระเยซูเจ้า แล้วมอบพระองค์ให้เขานำไปตรึงบนไม้กางเขน
     บรรดาทหารของผู้ว่าราชการนำพระเยซูเจ้าเข้าไปในจวนและเรียกทหารทั้งกองมาพร้อมกัน เขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก นำเสื้อคลุมสีม่วงแดงมาคลุมให้ นำหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ถือไม้อ้อในพระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญเทอญ” เขาถ่มน้ำลายรดพระองค์ ฉวยไม้อ้อฟาดพระเศียร เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาก็ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ออก นำฉลองพระองค์สวมให้ดังเดิม แล้วจึงนำพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน
    ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไปนั้น เขาพบชายชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อ ซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกไม้กางเขนของพระองค์ เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กลโกธา แปลว่า เนินหัวกะโหลก ทหารนำเหล้าองุ่นผสมดีมาให้พระองค์ดื่ม พระองค์ทรงชิมแล้ว ไม่ยอมดื่ม เมื่อตรึงพระองค์บนไม้กางเขนแล้ว เขานำฉลองพระองค์มาแบ่งกันโดยจับฉลาก และนั่งเฝ้าดูพระองค์อยู่ที่นั่น
    เขาติดป้ายเหนือพระเศียรของพระองค์ เขียนข้อกล่าวหาพระองค์ไว้ว่า ‘นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว’ เขายังตรึงโจรสองคนพร้อมกับพระองค์ด้วย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย
ผู้คนที่ผ่านไปมา ต่างสบประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ยว่า “ท่านผู้ทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน จงช่วยตนเองให้รอดพ้น ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากไม้กางเขนซิ” บรรดาหัวหน้าสมณะพร้อมกับธรรมาจารย์และผู้อาวุโสต่างเยาะเย้ยพระองค์เช่นเดียวกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ แต่ช่วยตนเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล จงลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเชื่อ เขาไว้วางใจในพระเจ้า หากพระองค์พอพระทัยเขา ขอให้พระองค์ทรงช่วยเขาบัดนี้เถิดเพราะเขาเคยพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า’” โจรที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย
     ตั้งแต่เวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดจนถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า” บางคนที่อยู่ที่นั่นได้ยินจึงพูดว่า “เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์”
ทันใดนั้นชายคนหนึ่งวิ่งไปนำฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอื่นพูดว่า “อย่าเพิ่ง คอยดูซิว่า เอลียาห์จะมาช่วยเขาไหม” แต่พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์
      ทันใดนั้น ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่ด้านบนลงมาถึงด้านล่าง แผ่นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินแตก คูหาที่ฝังศพเปิดออก ร่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายร่างที่ล่วงหลับไปแล้วกลับคืนชีพ และออกมาจากหลุมศพหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เข้าไปในนครศักดิ์สิทธิ์แล้วแสดงตนแก่ผู้คนจำนวนมาก นายร้อยและบรรดาทหารที่เฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว”

 

ข้อคิด
    เมื่อมองและรับรู้ชีวิตของพระเยซูเจ้าในแบบที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระเยซูเจ้าย่อมจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจไม่น้อย ที่"เขาเหล่านี้ที่เป็นชนชาติของพระองค์ กล่าวหาพระองค์" และพระองค์คงจะเศร้าหนักยิ่งขึ้น เมื่อเขาเหล่านั้นลงประชามติเลือกนักโทษผู้ทำผิดอุกฉกรรจ์ แต่กลับไม่แยแส ไม่ให้ราคาแก่พระองค์เลย เขาเหล่านี้ปฏิเสธพระองค์ และส่งพระองค์ให้ไปถูกตรึงแขวนอยู่บนไม้กางเขน แม้พระเยซูเจ้าจะต้องเดินสู่ความทุกข์กายและความเศร้าในจิตใจอย่างมหันต์จนขาดใจแต่พระองค์ก็ไม่ท้อและไม่ถอยในการรักเรามนุษย์...ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกขอบคุณพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown