มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 2:7-9; 3:1-7
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และทรงนำมนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว
     งูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาสัตว์ป่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสร้าง มันถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใด ๆ ในสวนนี้” หญิงจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่าง ๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนเท่านั้น” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” งูบอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผลไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทั้งยังน่าปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตาของทั้งสองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 5:12-19
     พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง
     แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์ ของประทานต่างกับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวที่ทำบาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำความชอบธรรมมาให้ ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำให้ความตายมีอำนาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำนาจปกครองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 4:1-11
     เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงหิว ปีศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
     ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงสั่งทูตสวรรค์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้ มิให้เท้ากระทบหิน”พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าท้าทายองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
อีกครั้งหนึ่ง ปีศาจนำพระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอด
พระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่างๆ ของโลก แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น”
ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์

 

ข้อคิด

     "Devils are not so black as are painted." แปลว่า "ปีศาจไม่ดำอย่างที่เขาวาดไว้ในภาพ"นี่เป็นคำพูดของ ลอด์จ โทมัส ซึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 1558 - 1625 ปีศาจนั้นน่ากลัวมาก ใครๆ ก็รู้) แต่ไม่ใช่น่ากลัวเพราะรูปปรากฏที่น่าเกลียด เพราะถ้าปีศาจมองดูน่าเกลียด มนุษย์เราคงไม่อยากอยู่ใกล้และไว้ใจ แต่ปีศาจน่ากลัวเพราะมั่นจะมาในรูปปรากฏที่น่าเชื่อและยอมรับง่ายปีศาจมักมาหาเราในจังหวะเวลาที่เราอ่อนแอ บ่อยๆ มันไม่มาหาเราโดยตรง แต่ให้การประจญของมันผ่านมาทาง "จินตนาการ" ที่งดงาม เต็มไปด้วยเหตุผลและความหวัง และเพื่อล่อหลอกเรา มันยังสามารถอ้างพระคัมภีร์อีกด้วย หากปราศจาก "การไตร่ตรอง" ที่ดี และ "ความหนักแน่น" ในจิตวิญญาณแล้ว เราอาจพลาดท่าเสียทีได้โดยง่าย ฉะนั้น บางที่อาจจะเป็น "ความมักง่าย" กระมังที่เป็นศัตรูตัวร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของเรามนุษย์เองบางทีอาจมิใช่ปีศาจที่น่ากลัว แต่เป็นความหละหลวมในหลักการที่ดีและถูกต้องของเรามนุษย์ต่างหาก

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                          ลนต 19:1-2,11-18
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดยใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบหรือปล้นเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องไม่ยึดค่าจ้างของลูกจ้างไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ท่านจะต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก เอาของไปวางขวางทางคนตาบอด แต่ท่านจะต้องยำเกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำเอียงเข้าข้างคนยากจนหรือคนมีอำนาจ แต่จงตัดสินคดีของเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม ท่านจะต้องไม่โพนทะนาใส่ร้ายชนชาติเดียวกับท่าน และไม่ซ้ำเติมเพื่อนบ้านของท่านให้ถูกประหารชีวิต เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเขา ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 25:31-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์รุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’
     บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
     แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและบริวารของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”

 

ข้อคิด
     "ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์" เกณฑ์การตัดสินความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งในหนังสือเลวีนิติและพระวรสารประจำวันนี้ คือ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และเป็นความรักมิใช่อยู่แต่เพียงในใจ แต่เป็นกิจการที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ตรงตามสภาพและสถานการณ์ที่เป็นจริงของบุคคลต่งๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตามในพระวรสารใช้คำว่า "บรรดาประชาชาติ" ซึ่งหมายถึง เพื่อนมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาไม่เว้นแม้แต่ "พี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุด" สิ่งที่มนุษย์เราพึงระวังคือความโกรธ เกลียดและรังเกียจผู้คนที่อาจเกิดขึ้นได้ในจิตใจ ซึ่งจะทำให้เราขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และยิ่งที่ยิ่งจะเลวร้ายลง จนเป็นสิ่งที่กฎหมายในเลวีนิติสั่งห้าม ตัวอย่างที่น่าสังเกตคือ "ท่านต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก" นี่เป็นความเลวร้ายตกต่ำของมนุษย์ เพราะเมื่อมีความโกรธกลียดในจิตใจ ถึงขั้นที่ว่า แม้เขาจะไม่ได้ยิน เพราะหูหนวก ก็ยังสะใจที่จะสาปแช่งเขาอยู่ดี

วันพุธที่ 4 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                             ยนา 3:1-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนต่ำต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับข้าราชบริพารชั้นสูงว่า “ทั้งคนและสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากินหญ้าหรือดื่มน้ำเลย ทั้งคนและสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำที่รุนแรง ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา

 

สดด 51:1-2,10-11,16-17

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                              ลก 11:29-32
     เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก”

 

ข้อคิด
     "เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์" ที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงนั้นคืออะไร บางที่เราอาจคิดถึงการที่ประกาศกโยนาห์อยู่ในท้องปลาเป็นเวลาสามวัน ซึ่งเป็นเหมือนคำทำนายถึงการที่พระองค์เองจะสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม แต่คำอธิบายที่มีความหมายมากกว่าคือ หมายถึงการที่พระองค์เสด็จมาเตือนสอนให้กลับใจจากหนทางที่ผิด เหมือนที่ประกาศกโยนาห์เตือนสอนชาวนี่นะเวห์ทั้งนี้เพราะ "คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย" หมายถึง พวกเขามาชุมนุมกันมากขึ้น เพียงเพื่ออยากเห็นสิ่งอัศจรรย์ แต่ใจไม่เปิดกว้างสำหรับการเชื่อฟังคำเตือนสอน พวกเขาไม่ต้องการการกลับใจ ความชั่วร้ายคือพวกเขาไม่ต้องการฟัง พวกเขาจึงจะต้องรับโทษหนักยิ่งกว่าชาวนีนะเวห์ เพราะคำเตือนสอนนั้นมาจาก "บุตรแห่งมนุษย์" หรือจากพระเมสสิยาห์เอง มหาพรตจึงเป็นเวลาที่เราควรต้องฟังคำเดือนสอน และกลับใจในชีวิตของเรานั่นเอง

วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 55:10-11
     พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของเราก็อยู่สูงกว่าทางของท่าน และความคิดของเราก็อยู่เหนือความคิดของท่านฉันนั้น ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

 

สดด 34:4-7,16-18

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                            มธ 6:7-15
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะพระอาณาจักรจงมาถึงพระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่นโปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญแต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน”

 

ข้อคิด
     บทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเต็มไปด้วยความหมายและความรู้สึก ในทุกคำพูด ทุกวลีและทุกประโยคก็ว่าได้ เริ่มต้นด้วยคำพูดที่เลือกสรรเพื่อขานเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "บิดา" อันที่จริงชาวยิวก็ได้รับการสอนให้เรียกขานพระเจ้าว่าบิดาเหมือนกัน แต่เป็นคำเรียกบิดา ในฐานะผู้ให้กำเนิดประชาชาติ ซึ่งยังให้ความรู้สึกถึงบิดาที่ยิ่งใหญ่และยังอยู่ห่างไกล คำพูดที่พระเยชูเจ้าเลือกสรรเพื่อขานเรียกพระเจ้า คือ อับบา (ภาษาไทยใช้คำแปลที่สูงหน่อย คือ พระบิดา เพราะมีข้อจำกัดด้านวัฒนธรรม) กลับให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิด เหมือนลูกๆ เรียกพ่อของตนในครอบครัว และยังสร้างความรู้สึกระหว่างผู้ที่เรียกขานบิดานี้ว่าเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกันอีกด้วย ซึ่งควรส่งผลให้พี่ๆ น้องๆ กัน หากมีอะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ควรอภัยต่อกันไป บทภาวนาบทนี้มีความพิเศษที่ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดแห่งชีวิต หากสวดบทภาวนานี้ด้วยความเชื่อแล้ว เราจะพบคำตอบเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเอสเธอร์                                        อสธ 4:17K-17M,17R-17U
     พระราชินีเอสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงแสวงหาความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้วทรงชุดไว้ทุกข์แสดงความโศกเศร้า ทรงโปรยขี้เถ้าและฝุ่นดินบนพระเศียรแทนเครื่องหอมมีค่า ไม่สนพระทัยที่จะประดับพระกายให้งดงามอย่างที่เคย แต่ทรงสยายพระเกศาให้ยุ่งเหยิง แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้ากำลังเผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคลในครอบครัวเล่าว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขาเป็นมรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด โปรดทรงสำแดงพระองค์ในเวลาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด ข้าแต่กษัตริย์ของบรรดาเทพเจ้า พระองค์ทรงพระอานุภาพเหนือผู้มีอำนาจทุกคน โปรดทรงใส่ถ้อยคำจูงใจไว้ในปากของข้าพเจ้า เมื่อต้องเผชิญกับสิงโต โปรดทรงเปลี่ยนใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ต่อสู้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อเขากับพวกจะพินาศ โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงทราบว่าข้าพเจ้าชังเกียรติยศจากคนอธรรม และรังเกียจการร่วมเตียงกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและคนต่างชาติ

 

สดด 138:1-2ก,2ข-3,7ข-8

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 7:7-12
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านใดที่ลูกขออาหาร แล้วจะให้ก้อนหิน ถ้าลูกขอปลา ท่านจะให้งูหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดีๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”

 

ข้อคิด
     "จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ" คำสอนของพระเยซูเจ้านี้อาจเป็นข้อขัดแย้งของบางคนที่ดูเหมือนว่าขอเท่าไร พระเจ้าไม่เห็นตอบสนอง ลืมคิดไปว่า บางทีเราอาจขอไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ขอไม่เป็นประโยชน์ต่อวิญญาณ และลืมขอให้สิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ ด้วยความไว้ใจว่าพระองค์จะจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เรา หรือเราคาดหวังสิ่งที่จะได้รับการตอบสนองแต่เพียงสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ได้รับภายในจากการสวดภาวนา ซึ่งจะทำให้เรามีพลังในการทำหน้าที่ต่างๆ จนกว่าจะบรรลุความต้องการ การภาวนาเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของเรา "จงสวดภาวนาราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า(ไว้วางใจ) แล้วจงทำหน้าที่ของคุณราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคุณ" (Martin Luther) "จงแสวงหา" คือแสวงหาพระประสงค์ "จงเคาะ" คือการออกแรงและพากเพียร คำภาวนาที่ถูกต้อง ต้องมีความรักอยู่ด้วยเสมอ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown