มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพุธที่ 11 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม 18:18-20
     ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า“มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะไม่สูญหายไปจากบรรดาสมณะ คำปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผู้มีปรีชา และการประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศก มาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไปสนใจฟังคำพูดของเขาเลย”
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคู่อริของข้าพเจ้าเถิด ความชั่วเป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำลังขุดหลุมไว้ดักข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพื่อทูลขอความดีให้เขา เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์ไปจากเขา

 

สดด 31:4-5,13,14-15

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 20:17-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต และจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำไปตรึงกางเขน แต่ในวันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ”
     มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
     เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด

     ยากอบและยอห์นในพระวรสารวันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้คนที่อยู่ในภาษิตที่ว่า "ได้ยินเฉพาะสิ่งที่ต้องการได้ยิน" คือเอาแต่อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจของตน ทั้งๆ ที่พระเยซูเจ้าเพิ่งตรัสถึงความตายของพระองค์ที่จะเกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มในอีกไม่ช้า พวกเขาทั้งสองยังไม่ข้าใจและยังหวังถึงความยิ่งใหญ่ของตน อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงเตือนพวกเขาว่าไม่ว่าจะอย่างไรมีเงื่อนไขที่พวกเขาต้องยอมรับคือ "การดื่มถ้วย" ซึ่งในพันธสัญญาเดิมจะหมายถึงความทุกข์ทรมานและความตาย และเป็นถ้วยที่พระองค์เองกำลังจะดื่มด้วย ในตอนท้ายพระวรสารวันนี้ พระองค์ให้คำตอบว่าความตายของพระองค์เพื่ออะไร นั่นคือ เพื่อ "เป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์"

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                              ยรม 17:5-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งของถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย”
     “คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”
“จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า สำรวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของเขา”

 

สดด 1:1-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 16:19-31
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า“เศรษฐีผู้หนึ่งแต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”

 

ข้อคิด
     "ชีวิตหลังความตายเป็นผลของชีวิตในปัจจุบัน" นี่คงเป็นข้อสรุปเตือนใจที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการนำเสนอ โดยเล่าเรื่องเศรษฐีกับลาชารัสขณะที่ยังมีชีวิต แม้ลาชารัสจะอยู่ใกล้แค่ "นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐี" แต่เศรษฐีก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนอยู่ไกลคือ ไม่รู้จัก ไม่สนใจ น่าสังเกตว่า หลังความตายมี"เหวใหญ่" ขวางอยู่ระหว่างเขาทั้งสอง สอดคล้องกับความห่างเหินความไม่สนใจของเศรษฐีนั่นเองในโลกนี้ เราห่างจากเพื่อนมนุษย์เพียงใด ในโลกหน้าเราก็พบความเลวร้ายจากการห่างไกลมากเพียงนั้น อันที่จริงเรื่องนี้ พระเยซูเจ้ามิได้พูดถึงความร่ำรวยว่าดีหรือเลว แต่พระองค์พูดถึงโอกาสและความสามารถของมนุษย์ที่จะรับใช้กัน ช่วยเหลีอกัน "ยิ่งได้รับมาก ก็ต้องคืนมาก"

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมีคาห์                             มคา 7:14-15,18-20
     โปรดทรงใช้ไม้ขอของผู้เลี้ยงแกะเลี้ยงดูประชากร คือฝูงแพะแกะที่เป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ โปรดทรงให้เขาหากินอยู่ในแคว้นบาชานและกิเลอาดเหมือนในสมัยก่อน โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนในสมัยที่ทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
     เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการล่วงละเมิดแก่ผู้ที่เหลืออยู่เป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง โปรดทรงเหยียบย่ำความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายลงไปในทะเลลึก พระองค์จะทรงแสดงความซื่อสัตย์แก่ยาโคบ ทรงแสดงความรักมั่นคงแก่อับราฮัม ดังที่เคยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่นานมาแล้ว

 

สดด 103:1-2,3-4,9-10,11-12

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 15:1-3,11-32
     เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง
     พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
     เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา
     เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ
     ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก’ แต่พ่อพูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
     ส่วนลูกคนโต อยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป แต่เขาตอบพ่อว่า ‘ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย’
พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’”

 

ข้อคิด
     มหาพรตเป็นเวลาของ "การกลับใจ" เรื่องลูกล้างผลาญในพระวรสาร ในแง่มุมหนึ่งเราเรียนรู้ว่า ลักษณะของการกลับใจมีอะไรบ้าง(1)การสารภาพบาป"ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่าลูกทำบาป"การสารภาพบาปเป็นเงื่อนไขอันจำเป็นเพื่อความสงบในมโนธรรมและเพื่อการได้รับอภัย (2) ตระหนักถึงความร้ายแรงของบาปที่ยังเป็นการขัดสู้กับสวรรค์หรือพระเจ้าด้วย "ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ"(3) ตัดสินและลงโทษตัวเองก่อนแล้ว "ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่เป็นลูกของพ่ออีก" (4) ร้องขอที่จะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหรือหมู่คณะอีก แม้จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุดก็ตาม "โปรดนับลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด" (5) มองดูผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อ ด้วยความรู้สึกว่าเป็น "พ่อ" ของเขา "ฉันจะลุกขึ้น กลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อ"

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                       ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28
     ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย
พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “พี่ๆ ของลูกกำลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน
พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย เขาปรึกษากันว่า “ดูซิ เจ้าคนช่างฝันมาแล้ว มาเถิด เราจงฆ่ามัน โยนศพมันลงไปในบ่อ แล้วบอกว่า สัตว์ป่ากัดกินมันแล้ว เราจะได้เห็นกันว่า ฝันของมันจะเป็นจริงเพียงใด”
รูเบนได้ยินเข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือน้องๆ ของตน จึงพูดว่า “อย่าถึงกับเอาชีวิตกันเลย” รูเบนยังเสริมอีกว่า “อย่าหลั่งเลือดเลย เพียงแต่โยนมันทิ้งไว้ในบ่อ ในถิ่นทุรกันดารก็พอแล้ว อย่าทำร้ายมันเลย” รูเบนแนะนำเช่นนี้เพื่อช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือของพี่ชาย แล้วจะนำไปส่งคืนให้บิดา เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวมอยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีน้ำ แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางมาจากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ยูดาห์จึงแนะนำพี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดี กว่า เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย
เวลานั้น พ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พี่ๆ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายให้แก่ชาวอิชมาเอลเป็นราคาเงินหนักยี่สิบบาท พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์

 

สดด 105:16-18,19,20-22

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 21:33-43,45-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’
     เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’
     ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก


ข้อคิด

     "หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม" โลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ และโดยเฉพาะเราคริสตชนได้เรียนรู้อะไรที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตมากมาย จากการเสียสละชีวิตของพระเยซูเจ้า บุคคลที่ครั้งหนึ่งโลกได้ปฏิเสธอย่างไม่เห็นคุณค่า นี่เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของผู้มั่นคงในการรับใช้พระเและเพื่อนมนุษย์ สิ่งที่ควรเตือนใจเราคริสตชนจากเรื่องอุปมาในพระวรสารวันนี้คือ พระผู้เป็นเจ้าได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่เราแต่ละคน พระองค์ให้พระพรและความสามารถทุกอย่างที่จำเป็นและเพียงพอเหมือนกับการมอบสวนองุ่นให้ พร้อมทั้งทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอฝ้า ทุกอย่างพร้อมแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่ทำงานให้เกิดผล นั่นคือ การสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2020 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                         อพย 17:3-7
     วันหนึ่ง ประชาชนกำลังกระหายน้ำมาก จึงบ่นตำหนิโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกจากอียิปต์ จะให้พวกเรา ลูก ๆ และฝูงสัตว์ของเราอดน้ำตายหรือ” โมเสสก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า “ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรกับประชากรนี้ เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพเจ้าอยู่แล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “จงเดินไปข้างหน้าประชาชน จงนำผู้อาวุโสชาวอิสราเอลบางคนไปกับท่าน เอาไม้เท้าที่ท่านใช้ตีน้ำในแม่น้ำไนล์ไปด้วย เราจะยืนอยู่ต่อหน้าท่านที่หน้าผา บนภูเขาโฮเรบ จงตีหิน จะมีน้ำไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม” โมเสสทำดังนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสชาวอิสราเอล
สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่ามัสสาห์และเมรีบาห์ เพราะชาวอิสราเอลได้ต่อว่าและทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเราหรือไม่”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม     รม 5:1-2,5-8
     พี่น้อง เมื่อได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้ว เราย่อมมีสันติกับพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงเข้าถึงพระหรรษทานและกำลังดำรงอยู่ในพระหรรษทานนี้ เราภูมิใจในความหวังที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
     ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลั่งความรักของพระเจ้า ลงในดวงใจของเรา ขณะที่เรายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำหนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                             ยน 4:5-15,19ข-26,39ก,40-42
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย” เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย
พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า ‘ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’ ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ และผู้นั้นจะให้ ‘น้ำที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน”
     นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิต มาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้ จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”
     หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่าสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม”
พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง”
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์”
     ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอนขอให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน คนที่มีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์มีจำนวนมากขึ้น เขากล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง”

 

ข้อคิด
     การได้พบกับพระเยซูเจ้าในวันนั้น คงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่สำคัญยิ่งของหญิงชาวสะมาเรียคนนั้น ซึ่งควรต้องทำให้เราคนบาปปรารถนาที่จะพบกับพระองค์จริงๆ ในชีวิตคริสตชนของเราด้วย แม้จะไม่ใชในทางกายภาพก็ตาม หญิงชาวสะมาเรียประหลาดใจที่พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นชาวยิวจะสมาคมกับเธอเพราะชาวยิวรังเกียจชาวสะมาเรียในฐานะคนบาป และไม่คบค้าสมาคมด้วย แต่พระเยซูเจ้ากลับยอมรับเธอ ยังเตือนเธอให้กลับใจจากชีวิตที่ผิดพลาด สอนเธอให้รู้จักน้ำทรงชีวิต และการนมัสการพระเจ้าด้วยพระจิตและความจริง แทนที่จะติดยึดอยู่กับสถานที่ใดๆ แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่รังเกียจผู้ใด มีแต่มนุษย์ที่รังเกียจกันเองโดยแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงประณามความผิดบาปของกันด้วย มหาพรตควรเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเราเช่นกัน เป็นเวลาที่เราได้พบกับพระเยซูจ้า โดยผ่านทางคำสอนและความดีงามต่างๆ เป็นเวลาที่เราจะยอมรับเพื่อนมนุษย์ทุกคนของเรา ซึ่งเป็นการนมัสการและรักพระเจ้าอย่างถูกต้อง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown