มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2020 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                        2 ซมอ 12:1-7ก,10-17
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งประกาศกนาธันไปพบกษัตริย์ดาวิด ประกาศกนาธันจึงเข้าเฝ้าทูลกษัตริย์ว่า “ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งร่ำรวย อีกคนหนึ่งยากจน คนร่ำรวยมีฝูงแกะและโคจำนวนมาก ส่วนคนยากจนมีลูกแกะเพศเมียเพียงตัวเดียว เป็นลูกแกะที่เขาซื้อมาและเลี้ยงดูอย่างดี แกะตัวนั้นเติบโตขึ้นในบ้านกับเขาและลูกๆ กินอาหารกับเขา และดื่มจากถ้วยของเขา นอนซบอกของเขา เขารักแกะตัวนั้นเหมือนบุตรสาว วันหนึ่ง มีคนเดินทางมาแวะที่บ้านของคนร่ำรวย ซึ่งไม่อยากฆ่าแกะหรือโคของตนนำมาทำอาหารให้คนเดินทางที่บังเอิญมาเยี่ยม เขาจึงเอาลูกแกะของคนยากจนมาทำอาหารให้แขกแทน”
     กษัตริย์ดาวิดกริ้วชายผู้นั้นมาก ตรัสกับนาธันว่า “ตราบใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ผู้ที่ทำเช่นนี้จะต้องถูกประหารชีวิต เขาต้องชดใช้ราคาลูกแกะนั้นสี่เท่า เพราะเขามีใจร้ายกระทำเช่นนี้”
ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น จะมีคนในวงศ์ตระกูลของท่านถูกฆ่าอยู่เรื่อยๆ เพราะท่านได้ลบหลู่เรา เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของท่าน”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอีกว่า “เราจะให้คนในครอบครัวของท่านนำเหตุร้ายมาให้ท่าน เราจะพรากภรรยาของท่านต่อหน้าท่าน ไปให้แก่ผู้ใกล้ชิดของท่าน เขาจะหลับนอนกับภรรยาของท่านอย่างเปิดเผย ท่านได้ทำการนี้อย่างลับๆ แต่เราจะทำการนี้อย่างเปิดเผยให้อิสราเอลทุกคนได้เห็น”
     กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยกระทำการนี้ พระโอรสที่จะเกิดมาจะต้องตาย” แล้วนาธันก็กลับบ้าน
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดที่เกิดจากภรรยาของอุรียาห์ป่วยหนัก กษัตริย์ดาวิดทูลอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ทารกนั้นหายป่วย ไม่ยอมเสวยอะไรเลย บรรทมบนพื้นทุกคืน บรรดาข้าราชบริพารผู้อาวุโสทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพื้น แต่พระองค์ไม่ทรงยอม ทั้งไม่ยอมเสวยพระกระยาหารกับเขา

 

สดด 51:11-13,14-15,16-17

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 4:35-41
     เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด” บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่นๆ ติดตามไปด้วย ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้วหรือ” พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

 

ข้อคิด
     บุคคลที่พระรักเป็นพิเศษ เช่น กษัตริย์ดาวิด พระองค์ทรงโปรดให้ท่านเปี่ยมด้วยพละกำลังฝ่ายกายเอาชนะศัตรูทุกชนิด ประทานตำแหน่งสูงสุดเหนือกษัตริย์ทั้งหลาย...หรือศิษย์ 12 คนที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูเจ้าเสมอทุกวัน แต่อันตรายก็อยู่รอบตัว พายุจากท้องทะเล ตัณหาอารมณ์ทางเพศก็อยู่ในตัวเราพระวรสารให้แนวทางคือ เรียกขานพระนามของพระองค์ ถ้าผิดพลาดไปให้กลับใจ และยอมรับโทษทัณฑ์ที่ตามมา

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2020 ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี                            มลค 3:1-4
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะส่งผู้ถือสารของเราเพื่อเตรียมทางไว้ต่อหน้าเรา ทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาซึ่งท่านปรารถนา ดูซิ กำลังมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส ใครจะทนวันที่เขามาได้ และใครจะยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเขาปรากฏ เพราะเขาจะเป็นเหมือนไฟของช่างถลุงโลหะ และเหมือนสบู่ของคนซักฟอก เขาจะนั่งลงเหมือนช่างหลอมและช่างถลุงเงิน เขาจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ จะถลุงเขาเหมือนถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชอบธรรม เครื่องบูชาของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนในสมัยโบราณ เหมือนในปีก่อนๆ โน้น

 

สดด 24:7-8,9-10

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                     ฮบ 2:14-18
     พี่น้อง บุตรทุกคนมีเลือดเนื้อร่วมกันฉันใด พระองค์ก็ทรงมีเลือดเนื้อร่วมกับมนุษย์ทุกคนด้วยฉันนั้น เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจเหนือความตายลงได้ เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้ โดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่บรรดาทูตสวรรค์ แต่เอาพระทัยใส่เชื้อสายของอับราฮัม จึงจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุกประการ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่เพียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงน่าเชื่อถือในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้ ในฐานะที่พระองค์ทรงรับการทรมานและทรงผ่านการผจญมาแล้ว พระองค์จึงทรงช่วยเหลือผู้ที่ถูกผจญได้ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 2:22-32
     เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทินตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบสองตัวตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตกับเขา และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์”

 

ข้อคิด
     วิถีชีวิตของพระผู้ไถ่ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ คือมอบถวายตัวทั้งครบแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อมวลชน.. ชีวิตเช่นนี้เปรียบเสมือนไฟ เสมือนสบู่ ที่จะช่วยชำระคนอื่นได้ เป็นประดุจเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2020 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                        2 ซมอ 18:9-10,14ข,24-25ก,30 ถึง 19:3
     ในครั้งนั้น อับซาโลมทรงมาพบกับทหารรักษาพระองค์ของกษัตริย์ดาวิดโดยบังเอิญ อับซาโลมกำลังทรงล่อลอดใต้กิ่งต้นโอ๊กใหญ่ พระเกศาของอับซาโลมไปติดอยู่กับกิ่งต้นโอ๊กนั้น ล่อที่ทรงอยู่วิ่งเลยไป พระวรกายจึงห้อยอยู่กลางอากาศ ทหารคนหนึ่งเห็นเข้าก็ไปรายงานโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่กับต้นโอ๊ก”
     โยอาบจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เสียเวลากับท่านอีกต่อไป” แล้วนำหลาวสามอันพุ่งเข้าปักอกอับซาโลมซึ่งยังมีชีวิต ห้อยอยู่บนต้นโอ๊ก
     กษัตริย์ดาวิดกำลังประทับอยู่ที่ลานระหว่างประตูเมืองชั้นในกับชั้นนอก ทหารยามขึ้นไปยืนบนกำแพงตรงซุ้มประตูเมือง มองออกไปก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมาคนเดียว ทหารยามจึงร้องทูลกษัตริย์ กษัตริย์จึงตรัสว่า “จงไปยืนรอที่นั่นเถิด” อาคิมาอัสก็เดินไปยืนรออยู่ตรงนั้น
     กษัตริย์จึงเสด็จไปประทับอยู่ที่ประตูเมือง เมื่อบรรดาทหารรู้ว่ากษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเมือง ก็เข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์โดยพร้อมเพรียงกัน

 

สดด 86:1-2,3-4,5-7

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 5:21-43
     เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฟากอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนชุมนุมกันเนืองแน่นรอบพระองค์ขณะที่ยังทรงอยู่ริมทะเลสาบ หัวหน้าศาลาธรรมคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา เมื่อเห็นพระองค์ เขากราบลงที่พระบาท พร่ำวิงวอนว่า “บุตรหญิงเล็กๆ ของข้าพเจ้าจวนจะสิ้นใจอยู่แล้ว เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้หายจากโรค กลับมีชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับเขา ประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามไปและเบียดเสียดพระองค์
     ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้รับความทรมานมากจากการรักษาของแพทย์หลายคน เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคก็มิได้บรรเทา ตรงกันข้ามกลับทรุดหนัก นางได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระเยซูเจ้า จึงเดินปะปนกับประชาชนเข้ามาเบื้องหลัง และสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงได้สัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” ทันใดนั้น เลือดก็หยุด นางรู้สึกว่าร่างกายหายจากโรคแล้ว ขณะเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกว่ามีอิทธิฤทธิ์ออกจากพระองค์ไป จึงทรงหันมายังกลุ่มชน ตรัสว่า “ใครสัมผัสเสื้อของเรา” บรรดาศิษย์ทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าผู้คนเบียดเสียดกันเช่นนี้ แล้วยังทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครสัมผัสเรา’” พระองค์ทรงหันไปรอบๆ เพื่อทอดพระเนตรผู้ที่ทำเช่นนั้น หญิงคนนั้นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น เพราะรู้ดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นแก่ตน จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ พระองค์จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุข หายจากโรคเถิด”
     ขณะกำลังตรัสอยู่นั้น มีคนมาจากบ้านหัวหน้าศาลาธรรม บอกเขาว่า “บุตรหญิงของท่านตายแล้ว ไปรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม” แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินเขาพูดดังนั้น จึงตรัสแก่หัวหน้าศาลาธรรมว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิด” พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไปนอกจากเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อทุกคนมาถึงบ้านหัวหน้าศาลาธรรม พระเยซูเจ้าทรงเห็นความวุ่นวาย และเห็นผู้คนร่ำไห้พิลาปรำพันเป็นอันมาก พระองค์เสด็จเข้าไป ตรัสแก่คนเหล่านั้นว่า “วุ่นวายและร้องไห้ไปทำไม เด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” เขาต่างหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์ทรงไล่เขาออกไปข้างนอก ทรงนำบิดามารดาของเด็กและศิษย์ที่ติดตามเข้าไปยังที่ที่เด็กนอนอยู่ ทรงจับมือเด็ก ตรัสว่า “ทาลิธาคูม” แปลว่า “หนูเอ๋ย เราสั่งให้หนูลุกขึ้น” เด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นทันที และเดินไปมา เด็กนั้นอายุสิบสองขวบแล้ว คนทั้งหลายต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด และทรงสั่งให้เขานำอาหารมาให้เด็กนั้นกิน

 

ข้อคิด
     ความทะเยอทะยานของสมาชิกในครอบครัว ทำให้เกิดความขัดแย้ง การสงครามและความตาย ดังเช่นครอบครัวของกษัตริย์ดาวิด... ส่วนความรัก ความเมตตาสงสารทำให้เกิดการรักษาโรคและให้ชีวิตใหม่แก่เด็กน้อยของหัวหน้าศาลาธรรม...ความรักจึงเป็นหัวใจของศาสนา เป็นคำสอนของพระเจ้า

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020 น.บลาซีโอ พระสังฆราชและมรณสักขี น.อันสการ์ พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                         2 ซมอ 15:13-14,30 และ 16:5-13ก
     มีผู้มากราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “ชาวอิสราเอลมีใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว” กษัตริย์ดาวิดจึงตรัสกับข้าราชบริพารทั้งหลายที่อยู่กับพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มว่า “จงรีบหนีกันเถิด มิฉะนั้น พวกเราจะไม่มีใครหนีรอดพ้นอับซาโลมได้ จงรีบไปเถิด เขากำลังมาอย่างรวดเร็วและจะทันเรา นำหายนะมาให้เราและใช้ดาบฆ่าทุกคนในเมือง”
กษัตริย์ดาวิดเสด็จขึ้นบนภูเขามะกอกเทศ ทรงกันแสงตลอดทาง เสด็จโดยพระบาทเปล่า มีผ้าคลุมพระเศียร ทุกคนที่ตามเสด็จต่างคลุมศีรษะและเดินร้องไห้
     เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมาถึงบาหุริม ชายคนหนึ่งชื่อชิเมอีบุตรของเกราออกมาแช่งด่าพระองค์ พลางเดินตามไป เขามาจากตระกูลเดียวกันกับครอบครัวของกษัตริย์ซาอูล เขาขว้างหินใส่กษัตริย์ดาวิดและบรรดาข้าราชบริพาร ทั้งๆ ที่กษัตริย์ทรงมีผู้คนและองครักษ์ห้อมล้อมอยู่ทุกด้าน ชิเมอีตะโกนด่ากษัตริย์ดาวิดว่า “ไปให้พ้น ไปให้พ้น เจ้าฆาตกร เจ้าคนสารเลว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเจ้าแล้วที่ได้หลั่งเลือดผู้คนในครอบครัวของกษัตริย์ซาอูล และแย่งชิงราชสมบัติไป บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบราชสมบัตินั้นให้อับซาโลม ลูกของเจ้า สมควรแล้วที่เจ้าจะรับโทษนี้ เพราะเจ้าเป็นฆาตกร” อาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมไอ้หมาตายตัวนี้จะต้องแช่งด่าพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปตัดหัวของมันเถิด” แต่กษัตริย์ตรัสตอบว่า “บุตรของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ถ้าเขาแช่งด่าเราเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเขาว่า ‘จงไปแช่งด่าดาวิดเถิด’ ใครจะมีสิทธิ์ถามเขาว่า ‘ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้’”
     กษัตริย์ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชบริพารทั้งหลายว่า “ดูซิ แม้กระทั่งลูกที่เกิดจากเรายังพยายามจะฆ่าเรา แล้วสาอะไรกับชาวเบนยามินผู้นี้ ปล่อยเขาเถอะ ปล่อยให้เขาแช่งด่าเรา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำ บางที องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเรา แล้วประทานพรให้เราแทนคำแช่งด่าในวันนี้” กษัตริย์ดาวิดทรงพระดำเนินต่อไปพร้อมกับคนของพระองค์

 

สดด 3:1-3,4-5,6-7

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 5:1-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้ามาเฝ้าพระองค์ทันที ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพ ไม่มีใครล่ามเขาไว้ได้ แม้จะใช้โซ่ล่ามก็ตาม มีผู้ใช้โซ่ตรวนล่ามเขาหลายครั้ง เขาก็หักโซ่ตรวน ไม่มีใครทำให้เขาสยบได้ เขาอยู่ตามหลุมศพและตามภูเขาตลอดวันตลอดคืน ส่งเสียงร้องเอ็ดอึงและใช้หินทุบตีตนเอง เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ทั้งนี้เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า “เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผู้นี้” แล้วพระองค์ทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำนวนมาก” และมันพร่ำวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้น หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมน้ำตายทั้งหมด คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคนที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟัง ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วย แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “จงกลับบ้าน ไปหาญาติพี่น้องของท่าน เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำและแสดงพระเมตตาต่อท่าน” ชายนั้นจากไป เริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำต่อตน ทุกคนที่ได้ฟังต่างประหลาดใจ

 

ข้อคิด
     ภัยอันตรายอยู่ใกล้ชิดตัวเรา บางที่เป็นญาติของเรา เป็นเพื่อนของเรา ปัจจุบันในโทรศัพท์มือถือของเรา หลายกรณีมันยิ่งใหญ่เกินกว่าพละกำลังของเราจะชนะได้... พระเป็นเจ้าผู้เดียวช่วยเราให้มีจิตสำนึก รู้จักแยกความดีจากความชั่วการคิดถึงพระองค์และพระบัญญัติของพระองค์จะช่วยให้มีสติดีขึ้น...ส่วนความผิดที่เกิดจากคนใกล้ชิดนั้น หนทางดีที่สุดคือการให้อภัย

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2020 ระลึกถึง น.อากาทา พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                         2 ซมอ 24:2,9-17
     กษัตริย์จึงรับสั่งแก่โยอาบและบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพ ซึ่งอยู่กับเขาว่า “จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาเพื่อสำรวจจำนวนประชากร เราอยากจะรู้ว่ามีคนเท่าไร”
     โยอาบทูลรายงานกษัตริย์ถึงจำนวนประชากร ชายที่ออกศึกได้ในอิสราเอลมีจำนวนแปดแสนคน ส่วนในยูดาห์มีห้าแสนคน
หลังจากสำรวจจำนวนประชากรแล้ว กษัตริย์ดาวิดทรงรู้สึกผิดจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาปมากที่ได้ทำเช่นนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอภัยความผิดของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าทำไปโดยโง่เขลา” เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกษัตริย์ดาวิดตื่นบรรทมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ประกาศกกาด ผู้ทำนายของกษัตริย์ดาวิดว่า “จงไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลือกการลงโทษจากสามประการนี้ เราจะทำตามที่ท่านเลือก’” ประกาศกกาดจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิดทูลตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์จะทรงเลือกอย่างไหน ให้แผ่นดินของพระองค์กันดารอาหารเป็นเวลาสามปี หรือให้พระองค์ต้องทรงหนีศัตรูเป็นเวลาสามเดือน หรือให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินเป็นเวลาสามวัน ขอทรงใคร่ครวญให้ดี แล้วตัดสินพระทัยบอกข้าพเจ้า เพื่อจะนำคำตอบไปทูลผู้ทรงส่งข้าพเจ้ามา” กษัตริย์ดาวิดตรัสตอบประกาศกกาดว่า “เรารู้สึกลำบากใจมาก ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเราดีกว่าจะให้มนุษย์ลงโทษ เพราะพระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่” ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาที่ทรงกำหนด มีผู้คนล้มตาย ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาถึงเจ็ดหมื่นคน เมื่อทูตสวรรค์กำลังจะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงปรารถนาให้ภัยพิบัติลุกลามต่อไป จึงตรัสห้ามทูตสวรรค์ที่กำลังจะคร่าชีวิตผู้คนว่า “พอแล้ว หยุดเถิด” ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์ ชาวเยบุส
     กษัตริย์ดาวิดทอดพระเนตรเห็นทูตสวรรค์กำลังจะฆ่าผู้คน ก็ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาป ข้าพเจ้าผู้เดียวกระทำผิด แต่คนใต้ปกครองของข้าพเจ้าเหล่านี้ได้ทำผิดอะไร พระองค์น่าจะทรงลงโทษข้าพเจ้ากับครอบครัวมากกว่า”

 

สดด 32:1-2,5,6-7

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 6:1-6
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วย ครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังจำนวนมากต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อพระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่างๆ ในบริเวณนั้น

 

ข้อคิด
     ปลายรัชกาลกษัตริย์ดาวิด เขาภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตน สั่งให้นับจำนวนประชากรว่ามีเท่าไหร่ พฤติกรรมเช่นนี้ขัดแย้งกับแนวทางพระวรสารที่สอนว่า ผู้ต้องการติดตามพระเจ้าต้องเสียสละตนเอง ผู้ยอมเสียชีวิตจึงจะได้ชีวิตนั้น หมายความว่า...ผู้ยิ่งใหญ่ตามสายพระเนตรพระเจ้าคือ ไม่แสวงหาความมั่นคงให้กับตนเอง แต่ให้ถวายชีวิต อนาคตทั้งหมดแด่พระผู้เป็นเจ้า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown