มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                           อสค 18:25-28
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรมเปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติความชอบธรรมมาทำผิด เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขาได้ทำ ถ้าคนชั่วร้ายเลิกทำความชั่วร้ายที่เขาได้ทำ มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวิตของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดที่เคยทำ เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี      ฟป 2:1-11
     พี่น้อง ถ้าท่านได้รับกำลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ถ้าท่านได้รับกำลังใจจากความรัก ถ้าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในพระจิตเจ้า ถ้าท่านเห็นอกเห็นใจสงสารกัน ท่านจงทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความรักแบบเดียวกัน มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกัน อย่ากระทำการใดเพื่อชิงดีกันหรือเพื่อโอ้อวด แต่จงถ่อมตนคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จงเห็นแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วย จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด
     แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดินรวมทั้งใต้พื้นพิภพจะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 21:28-32
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” บุตรตอบว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไป สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรม ท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของพวกฟารีสีกับบุคคลที่ถูกเรียกว่าเป็นคนบาปและคนชายขอบ ธรรมาจารย์และฟารีสีคิดว่าตัวเองรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างดีผ่านทางธรรมบัญญัติ แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับพระเยซูเจ้า พวกเขาปฏิเสธพระองค์ ตรงกันข้ามพวกคนบาปที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอยู่บ่อยครั้ง เมื่อพบกับพระเยซูเจ้า พวกเขากลับใจ ดังนั้นพระเยซูเจ้าจึงพูดกับพวกฟารีสีว่า “คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน” เมื่อยอห์น บัสติสต์ เทศน์สอน พวกคนบาปกลุ่มนี้ก็กลับใจ แต่ฟารีสีไม่ได้สนใจสิ่งที่ยอห์นสอนเลย และพวกเขาก็ไม่ได้สนใจคำสอนของพระเยซูเจ้าเฉกเช่นกัน
สิ่งสำคัญสำหรับเราคริสตชนก็คือ “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระเจ้าและพระเยซูเจ้าในที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถือว่าสำคัญที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นอดีตหรือจะเป็นในอนาคต

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2017 ระลึกถึงทูตสวรรค์ผู้อารักขา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 23:20-23ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้“เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำท่านไปถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพเชื่อฟังถ้อยคำของทูตสวรรค์นั้น อย่าต่อต้าน เพราะเขาทำไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ถ้าท่านเชื่อฟังเขาและทำตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำท่าน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 18:1-5,10
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์
    ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”

 

ข้อคิด
     ทูตสวรรค์ผู้อารักขาเป็นสิ่งสร้างจากสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อปกป้องเราทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ในพระคัมภีร์ระบุไว้ว่าบางครั้งทูตสวรรค์ก็ทำภารกิจในนามของพระเจ้า และพูดในนามของพระเจ้า ทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งสารที่คอยกระตุ้นเราให้มีความเพียรในการอุทิศตนทั้งความคิดและการกระทำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความห่วงใยของพระเจ้าต่อมนุษย์ พระเจ้าทรงมอบทูตสวรรค์ผู้อารักขาให้แก่เราแต่ละคน
แต่เราก็ยังมีเสรีภาพ ทูตสวรรค์ไม่สามารถบังคับเราให้เลือกทำความดีได้ อย่างไรก็ตามเรายังสามารถวอนขอต่อพระคริสตเจ้าให้ช่วยเราให้เปิดตัวเองยอมรับความช่วยเหลือของทูตสวรรค์ในชีวิต ทูตสวรรค์ผู้อารักขาเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่เราได้มาฟรี ๆ เมื่อเราเชื่อฟังผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราจะค้นพบเป้าหมายของชีวิตนี้ และเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น

วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์                                         นหม 2:1-8
     เดือนนิสาน ปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์ต้องเสวยเหล้าองุ่น ข้าพเจ้าก็นำเหล้าองุ่นมาถวายพระองค์ ข้าพเจ้าไม่เคยเศร้าโศกเฉพาะพระพักตร์พระองค์ กษัตริย์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านจึงมีใบหน้าเศร้าหมอง ท่านไม่ได้เจ็บป่วย ท่านคงจะเป็นทุกข์ใจแน่ๆ” ข้าพเจ้ามีความกลัวยิ่งนัก ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญตลอดไปเถิด ใบหน้าของข้าพเจ้าจะไม่เศร้าหมองได้อย่างไรในเมื่อเมืองที่บรรพบุรุษของข้าพเจ้าถูกฝังไว้ยังเป็นซากปรักหักพัง และประตูเมืองก็ถูกไฟเผาทำลาย” กษัตริย์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “ท่านอยากจะขออะไร” ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าแห่งสวรรค์ แล้วทูลกษัตริย์ว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย และถ้าผู้รับใช้ของพระองค์เป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์ ขอทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปยังแคว้นยูดาห์ ในเมืองที่มีหลุมศพของบรรพบุรุษ เพื่อข้าพเจ้าจะได้สร้างเมืองขึ้นใหม่” กษัตริย์กับพระราชินีซึ่งประทับอยู่เคียงข้างตรัสถามข้าพเจ้าว่า “ท่านจะไปนานสักเท่าใด และจะกลับมาเมื่อใด” ข้าพเจ้าก็ทูลกำหนดเวลาให้ทรงทราบ พระองค์ก็พอพระทัย จึงทรงอนุญาต
     ข้าพเจ้าทูลขอกษัตริย์อีกว่า “ถ้าพระราชาพอพระทัย ขอประทานพระราชสาสน์ให้ข้าพเจ้านำไปถึงผู้ว่าราชการแคว้นตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าผ่านไปจนถึงแคว้นยูดาห์ และขอพระองค์ประทานพระราชสาสน์ถึงอาสาฟเจ้าพนักงานป่าไม้หลวง เพื่อเขาจะได้จัดหาไม้ให้ข้าพเจ้าสำหรับทำประตูป้อมของพระวิหาร ทำประตูที่กำแพงเมือง และสร้างบ้านที่ข้าพเจ้าจะเข้าพักอาศัย” กษัตริย์ประทานให้ตามที่ข้าพเจ้าทูลขอ เพราะพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงพระกรุณาช่วยเหลือข้าพเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 9:57-62
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”
พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่า “ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า”
     อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า”


ข้อคิด
     ทุก ๆ การเลือก เราต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งเป็นทางเลือกที่ยิ่งใหญ่ การเสียสละของเราก็ต้องมีมากขึ้น การติดตามพระเยซูเจ้าก็เป็นทางเลือกที่ยิ่งใหญ่และเรียกร้องการเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อจะประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การติดตามพระเยซูเจ้าไม่ใช่เรื่องของการเลียนแบบพระองค์ แต่เป็นการเลือกที่จะเข้ามามีประสบการณ์ชีวิต มีภารกิจ และมีชะตากรรมแบบพระเยซูเจ้า แค่ความกระตือรือร้นอย่างเดียวไม่พอ ความตั้งใจดีนี้เรียกร้องการเสียสละ ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องเตรียมเสียสละความมั่นคงในชีวิต ครอบครัว และความต้องการของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องการตัดขาดความสัมพันธ์จากครอบครัว แต่มากกว่านั้นคือความซื่อสัตย์ต่อเสียงเรียกสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศคาริยาห์                         ศคย 8:20-23
     องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ “บรรดาประชาชนและผู้อาศัยในหลายเมืองจะมาด้วย ชาวเมืองหนึ่งจะไปหาชาวเมืองอีกเมืองหนึ่ง พูดว่า ‘พวกเราจงรีบไปทูลขอพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไปแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลกันเถิด ข้าพเจ้าจะไปด้วย’ ประชาชนจำนวนมากและชนหลายชาติที่มีอำนาจจะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลที่กรุงเยรูซาเล็ม และทูลขอพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ “ในวันเหล่านั้น ชายสิบคนจากชนชาติทุกภาษาจะยึดชายเสื้อคลุมของชาวยิวคนหนึ่งไว้ พูดว่า ‘ขอให้พวกเราไปกับท่านทั้งหลายเถิด เพราะพวกเราได้ยินว่าพระเจ้าสถิตกับท่าน’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 9:51-56
     เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคน แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าพบการต่อต้านโดยทันทีที่พระองค์เริ่มการเดินทางสู่เยรูซาเล็ม บรรดาศิษย์ถามพระเยซูเจ้าว่าจะให้พวกเขาใช้ไฟจากฟ้าลงมาลงโทษพวกที่ต่อต้านพระองค์หรือไม่ แต่พระเยซูเจ้าทราบว่าวิธีเช่นนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ความรุนแรงไม่สามารถทำให้พระเจ้าชนะใจคนเหล่านี้ได้ ความสัมพันธ์ต่างหากที่เที่ยงแท้และยั่งยืน ประชาชนต้องเลือกอย่างอิสระที่จะเข้ามาหาพระเจ้า
มีใครหรือสถานที่ใดในชีวิตเราหรือไม่ที่ทำให้เราตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา? เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะใกล้ชิดพระเจ้าหรือไม่?

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์                                         นหม 8:1-4ก,5-6,7ข-12
     ประชาชนทั้งปวงมาชุมนุมพร้อมกันที่ลานหน้าประตูน้ำ ขอให้เอสราธรรมาจารย์นำหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่อิสราเอลมาด้วย วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด เอสราสมณะนำธรรมบัญญัติออกมาต่อหน้าชุมชนทั้งชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ เอสราอ่านหนังสือที่ลานหน้าประตูน้ำตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง ต่อหน้าชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ ประชากรทั้งปวงตั้งใจฟังข้อความที่อ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติ
    เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนยกพื้นไม้ที่ทำขึ้นเพื่อการนี้ เอสรายืนอยู่สูงกว่าประชากรทั้งปวง ทุกคนจึงเห็นเขาได้ เมื่อเขาเปิดหนังสือ ประชากรทุกคนก็ยืนขึ้น เอสราถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชากรทั้งปวงก็ชูมือขึ้นพูดว่า “อาเมน อาเมน” และก้มลงหน้าจรดพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า
ชนเลวีคือ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด คานัน เปไลยาห์ ช่วยอธิบายธรรมบัญญัติให้ประชากรเข้าใจ เขาทั้งหลายแปลข้อความจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และอธิบายความหมายให้ประชากรเข้าใจ
     ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยคำของธรรมบัญญัติก็ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวีผู้สอนประชากรจึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือร่ำไห้เลย จงกลับไปบ้าน เลี้ยงอาหารเลิศรส ดื่มเหล้าองุ่นอย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนที่ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพละกำลังของท่าน” บรรดาชนเลวีจึงให้ประชากรทั้งปวงสงบลง พูดว่า “อย่าร่ำไห้เลย เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ อย่าโศกเศร้าไปเลย” ประชากรทุกคนจึงกลับบ้านไป กินและดื่ม แล้วแบ่งปันอาหารแก่ผู้อื่น เขาทั้งหลายมีความยินดีเพราะเข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ได้ฟัง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 10:1-12
     ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์เป็นคู่ๆ ไปทุกตำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้ จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า ‘แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้กล่าวโทษท่าน จงรู้เถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมืองโสโดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น”

 

ข้อคิด
    ในพระวรสารศิษย์เจ็ดสิบสองคนที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังและทัศนคติที่ดีถูกส่งไปในงานประกาศข่าวดีครั้งแรก พวกเขาขับไล่ความชั่วร้ายมากมายในนามของพระเยซูเจ้าภายใต้การสนับสนุนของพระองค์ พลังแห่งการอุทิศตนของพวกเขาได้รับการยอมรับจากพระเยซูเจ้าเมื่อพวกเขากลับมา พระเยซูเจ้าร่วมยินดีกับพวกเขาโดยกล่าวว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” พระองค์ยกความสำเร็จนี้ให้กับพยายามของพวกเขา บางครั้งพวกเราเองก็สามารถร่วมส่วนในงานขจัดความชั่วร้ายกับพระเยซูเจ้าได้ และเมื่อนั้นเราก็จะร่วมยินดีกับบรรดาศิษย์เช่นกัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown