มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                             ยนา 4:1-11

     โยนาห์ไม่พอใจอย่างมากและมีความโกรธเคือง เขาอธิษฐานภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในแผ่นดินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดแล้วมิใช่หรือว่าจะเป็นไปเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงรีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และกลับพระทัยไม่ลงโทษ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเถิด เพราะข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านต้องโกรธขนาดนี้เทียวหรือ”
โยนาห์จึงออกจากเมืองไปนั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง เขาสร้างเพิงแล้วไปนั่งในร่มที่นั่น คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงจัดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์เพื่อให้ร่มบังศีรษะของเขา ทำให้เขาคลายความกลัดกลุ้ม โยนาห์จึงยินดียิ่งนักเพราะต้นละหุ่งต้นนี้ แต่วันต่อมาเมื่อตะวันขึ้น พระเจ้าทรงจัดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้นจนเหี่ยวไป เมื่อตะวันขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงจัดให้ลมตะวันออกที่ร้อนจัดพัดมา แสงแดดก็แผดเผาศีรษะของโยนาห์จนเป็นลม เขาจึงทูลขอให้ตาย พูดว่า “ข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโยนาห์ว่า “ท่านต้องโกรธขนาดนี้เพราะต้นละหุ่งต้นนั้นเทียวหรือ” โยนาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าโกรธมากจนอยากตาย” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านสงสารต้นละหุ่งต้นนั้นที่ท่านไม่ได้ลงแรงปลูกหรือทำให้มันงอกขึ้น มันโตขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว แล้วเราจะไม่ต้องสงสารกรุงนีนะเวห์นครยิ่งใหญ่นั้น ซึ่งมีประชาชนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคนที่แยกไม่ออกว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วยละหรือ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 11:1-4
     วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า
‘ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง
โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น
โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ’”

 

ข้อคิด
     โยนาห์ได้รับการเลือกและส่งไปแม้เขาต้องการให้พระเจ้าเลือกคนอื่น เขาประสบความสำเร็จในการเทศน์สอนและชาวเมืองนีนะเวห์ทั้งหมดก็กลับใจ แต่เขากลับชอบที่จะเห็นตัวเองล้มเหลวในการเทศน์ และชาวเมืองทั้งหมดพินาศ พระเจ้าไม่ได้ทำดังที่โยนาห์ต้องการ โยนาห์จึงบอกว่าเขาเลือกที่จะตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่ การลงโทษและการให้อภัยเป็นสิทธิ์ของพระเจ้าและไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามที่เราคิดหรือตัดสิน
พระวรสารเตือนเราให้ขอในสิ่งที่เราจำเป็นและต้องการ แต่ยึดพระประสงค์ของพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด เพราะพระหรรษทานของพระเจ้า เราจึงสามารถหลีกหนีความชั่วและตระหนักถึงพระพรที่เราได้รับจากความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา

วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี                              มลค 3:13-20ข
     “ท่านทั้งหลายได้พูดใส่ร้ายเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “แล้วยังมาพูดว่า ‘พวกเราได้พูดใส่ร้ายพระองค์อย่างไร’ ท่านพูดว่า ‘รับใช้พระเจ้าก็เปล่าประโยชน์ ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์หรือเดินไว้ทุกข์เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมีประโยชน์อะไร บัดนี้ พวกเราเรียกคนอวดดีว่าเป็นสุข แม้เขาทำการชั่วร้าย แต่ก็ยังเจริญรุ่งเรือง แม้เขาได้ทดลองพระเจ้า แต่เขาก็ไม่ได้รับโทษใดๆ’”
     เวลานั้น ผู้ที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าพูดกันถึงเรื่องนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเงี่ยพระกรรณและทรงฟัง มีผู้เขียนหนังสือบันทึกความจำเฉพาะพระพักตร์ บันทึกชื่อของผู้ยำเกรงพระองค์และเคารพพระนามพระองค์ ในวันนั้น เมื่อเราจะทำ องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส เขาทั้งหลายจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา และเราจะไม่ลงโทษเขาเหมือนคนหนึ่งไม่ลงโทษบุตรที่รับใช้ตน แล้วท่านจะเห็นอีกว่าผู้ชอบธรรมแตกต่างจากคนอธรรมอย่างไร ผู้รับใช้พระเจ้าแตกต่างจากผู้ไม่รับใช้พระองค์อย่างไร
     “ดูซิ วันนั้นกำลังมาถึง คือวันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ แล้วคนอวดดีทั้งหลายและคนทำความชั่วร้ายทุกคนจะเป็นเหมือนซังข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส จนไม่มีรากหรือกิ่งก้านเหลืออยู่เลย แต่สำหรับท่านทั้งหลายที่ยำเกรงนามของเรา ความเที่ยงธรรมของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์ซึ่งส่องรัศมีรักษาโรคให้หายได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 11:5-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า”
     “เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”

 

ข้อคิด
     ประกาศกมาลาคีประกาศว่าผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า เชื่อฟังและวางใจในพระองค์ จะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า “เขาทั้งหลายจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเราและเราจะไม่ลงโทษเขาเหมือนคนหนึ่งไม่ลงโทษบุตรที่รับใช้ตน”
พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์และเราทุกคนว่าพระเจ้าเป็นบิดาและสอนเราสวดถึงพระบิดา พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงห่วงใยต่อความกินดีอยู่ดีของเรา และไม่เคยมอบสิ่งใดที่ทำร้ายเรา พระองค์มอบพระจิตของพระองค์ ผู้ใดดำรงอยู่ในพระจิต ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า (รม 8:14, 16) ดังนั้นเราต้องเชื่อมั่นในพระบิดาและวางใจว่าพระองค์จะฟังคำภาวนาของเรา ความพากเพียรอดทนจะนำเราสู่สันติและพระพรของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2017 น.กัลลิสตัสที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล                                ยอล 4:12-21
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “นานาชาติจงรีบขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัทเถิด เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษานานาชาติที่อยู่โดยรอบ จงใช้เคียวเกี่ยวเถิด เพราะข้าวที่จะต้องเกี่ยวสุกแล้ว จงมาเถิด จงเหยียบย่ำ เพราะบ่อย่ำองุ่นเต็มแล้ว ถังเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายมีมาก ชนจำนวนมาก ชนจำนวนมาก อยู่ในหุบเขาการตัดสิน เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว ในหุบเขาการตัดสิน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป ดวงดาวก็อับแสง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงจากศิโยน ทรงร้องตะโกนจากกรุงเยรูซาเล็ม ท้องฟ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยสำหรับประชากรของพระองค์ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งสำหรับชาวอิสราเอล แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เราพำนักอยู่ในศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา กรุงเยรูซาเล็มจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่มีคนต่างด้าวยึดครองเมืองนี้อีกเลย
     เมื่อวันนั้นมาถึง ภูเขาจะหลั่งเหล้าองุ่นใหม่ น้ำนมจะไหลตามเนินเขา ห้วยต่างๆ ของยูดาห์จะมีน้ำไหล น้ำจะไหลออกมาจากพุน้ำในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะรดหุบเขาชิทธีม อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง เอโดมจะกลายเป็นถิ่นทุรกันดารแห้งแล้ง เพราะความทารุณที่เขาทั้งหลายเคยทำแก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ เขาได้หลั่งโลหิตของผู้บริสุทธิ์ในแผ่นดินของตน แต่ยูดาห์จะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดไป กรุงเยรูซาเล็มจะมีผู้อาศัยอยู่ทุกชั่วอายุคน เราจะแก้แค้นแทนโลหิตของเขา จะไม่ปล่อยผู้ทำผิดให้พ้นโทษ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพำนักในศิโยน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 11:27-28
     ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า “หญิงที่ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”

 

ข้อคิด
    พระวรสารวันนี้สะท้อนแก่นแท้ของการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นั่นคือการฟังและปฏิบัติตามพระวาจา คำสรรเสริญของสตรีในพระวรสารเกิดขึ้นเพราะคำสอนของพระเยซูเจ้า ซึ่งจริง ๆ แล้วหมายถึงพระนางมารีย์ ไม่ใช่เพราะความเป็นมารดาของพระนาง แต่เพราะพระนางเป็นผู้ที่ฟังพระวาจาและนำไปปฏิบัติ พระนางอุทิศทั้งชีวิตเพื่อฟังพระวาจาด้วยจิตและวิญญาณ และปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เราในฐานะผู้ติดตามพระเยซูเจ้าก็ต้องทำเช่นเดียวกัน และเมื่อเราฟังพระวาจาของพระเจ้า เราก็จะทราบพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อเราเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล                              ยอล 1:13-15,2:1-2
     บรรดาสมณะเอ๋ย จงใช้ผ้ากระสอบคาดสะเอว และร้องโอดครวญเถิด ท่านทั้งหลายผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระแท่นบูชา จงร้องคร่ำครวญ ท่านผู้รับใช้พระเจ้าของข้าพเจ้า จงมาเถิด จงสวมผ้ากระสอบตื่นเฝ้าทั้งคืน เพราะธัญบูชาและการเทเหล้าองุ่นถวาย หายไปจากพระวิหารของพระเจ้าของท่าน จงประกาศให้มีการจำศีลอดอาหาร จงเรียกประชาชนมาชุมนุมกัน จงรวบรวมบรรดาผู้อาวุโสและผู้อาศัยทุกคนในแผ่นดิน ให้มายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และจงร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “อนิจจาเอ๋ย วันนั้น วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว วันนั้นจะมาถึง เป็นการทำลายจากพระผู้ทรงสรรพานุภาพ จงเป่าแตรเขาสัตว์ในศิโยน จงส่งสัญญาณเตือนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินตัวสั่น เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมา วันนั้นอยู่ใกล้แล้ว
     เป็นวันแห่งความมืดและความมืดมิด เป็นวันที่มีเมฆและความมืดทึบ ประชาชนจำนวนมากและทรงพลัง แผ่กระจายอยู่บนภูเขาต่างๆ เหมือนรุ่งอรุณ อย่างที่ไม่เคยมีมาในอดีต และจะไม่มีอีกในอนาคต จากชั่วอายุคนหนึ่งถึงอีกชั่วอายุคนหนึ่ง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 11:15-26
     เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจออกไปแล้ว ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้”
“ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป”
     “เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ มันจึงคิดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ เมื่อกลับมาถึง มันพบว่าบ้านนั้นปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม”

 

ข้อคิด
     จากบทสนทนาของพระเยซูเจ้ากับชาวยิวแสดงให้เห็นว่าพระองค์นั้นโจมตีเหตุแห่งบาป ถ้าพวกเขาสาละวนกับการทำความดี พวกเขาจะอยู่กับพระเยซูเจ้าและสามารถทำลายบาปและความชั่วร้ายทั้งหมดได้ บาปเป็นสิ่งล่อตาล่อใจ แต่เราต้องตัดสินใจเลือก ว่าจะอยู่ฝ่ายพระเยซูหรือฝ่ายตรงข้าม ไม่มีใครสามารถอยู่ร่วมกับบาปและเป็นคริสตชนที่แท้จริงในเวลาเดียวกันได้ คนที่ทำบาปก็จะหลีกหนีไม่ยอมแบกกางเขน การต่อสู้กับบาปก็คือการแบกกางเขนกับพระเยซูเจ้าเพื่อไปสู่ชีวิตนิรันดร

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 25:6-10ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลอง สำหรับประชากรทุกชาติบนภูเขานี้ เป็นงานเลี้ยงที่มีอาหารนานาชนิด เป็นงานเลี้ยงที่มีเหล้าองุ่นชั้นดี มีอาหารเลิศรสและเหล้าองุ่นที่เลือกสรรแล้ว บนภูเขานี้ พระองค์จะทรงทำลายผ้าคลุม ที่คลุมหน้าประชากรทั้งหลาย และจะทรงทำลายม่านซึ่งกางอยู่เหนือนานาชาติ พระองค์จะทรงทำลายความตายตลอดไป องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของทุกคน จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ ให้พ้นจากการถูกลบหลู่ทั่วแผ่นดิน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว
วันนั้น เขาจะพูดกันว่า “นี่คือพระเจ้าของเรา เราเคยหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้น นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเคยมีความหวังในพระองค์ เราจงชื่นชมยินดีที่พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นเถิด” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะพักอยู่บนภูเขานี้

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี     ฟป 4:12-14,19-20
     พี่น้อง ข้าพเจ้ารู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอดออม และรู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและความหิวโหย เผชิญกับความมั่งคั่งและความขัดสน ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทานพละกำลังแก่ข้าพเจ้า แต่ท่านทำดีแล้วที่มาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า
    พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงตอบแทน โดยประทานทุกสิ่งที่ท่านต้องการอย่างสมศักดิ์ศรีกับความมั่งคั่งของพระองค์ในพระคริสตเยซู ดังนั้น ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้า พระบิดาของเรา ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 22:1-14
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ 6คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’”

 

ข้อคิด
    ฉากงานเลี้ยง งานฉลอง และมื้ออาหาร พบบ่อยมากในพระวรสารและในพระคัมภีร์ทั้งหมด ซึ่งเป็นเครื่องหมายสำคัญบ่งบอกถึงชีวิตของพระเยซูเจ้า คำสอนของพระองค์อยู่ในบริบทของมื้ออาหาร และที่สำคัญที่สุดคืออาหารค่ำมื้อสุดท้าย เรื่องเล่าและอุปมาต่าง ๆ ดังเช่นพระวรสารวันนี้ ก็เป็นฉากเกี่ยวกับมื้ออาหารและงานเลี้ยงที่ประชาชนมาทานเลี้ยงด้วยกัน การกินเลี้ยงด้วยอาหารอันอุดมสมบูรณ์และบรรยากาศอันน่ายินดี เป็นเครื่องหมายเด่นชัดแสดงถึงบรรยากาศครอบครัว ซึ่งก็คือครอบครัวของพระเจ้าและยังหมายถึงอาณาจักรของพระองค์อีกด้วย

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown