มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง      1 ธส 4:1-8
     พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดเราวอนขอและเตือนสติท่านในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียนรู้จากเราว่า จะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ท่านก็ดำเนินชีวิตเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ขอให้ท่านมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีก ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วถึงคำสั่งสอนที่เราให้ท่านเดชะพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า
     นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ละเว้นจากการผิดประเวณี แต่ละคนรู้จักใช้ร่างกายของตนด้วยความศักดิ์สิทธิ์และด้วยความเคารพ โดยไม่ปล่อยตัวตามราคตัณหาอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า อย่าให้ผู้ใดล่วงเกินหรือหลอกลวงพี่น้องของตนในเรื่องนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษในเรื่องความผิดเหล่านี้ทั้งหมดดังที่เราเคยบอกและกำชับท่าน พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเราให้มาเป็นคนสกปรกลามก แต่ให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ผู้ที่ดูถูกคำเตือนนี้ ก็มิใช่ดูถูกเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ดูถูกพระเจ้าผู้ประทานพระจิตของพระองค์ให้แก่ท่านด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 25:1-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด
     หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่มิได้นำน้ำมันไปด้วย 4ส่วนหญิงฉลาด นำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง ทุกคนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด’
หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’
หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน้ำมันอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขายแล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’ ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”

 

ข้อคิด
     ท่านนักบุญเปาโลพูดถึงเจตจำนงของพระเจ้าอย่างชัดเจนที่อยากให้เราคริสตชนเป็นคนดี และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพนับถือ การฝึกจิตใจให้เข้มแข็งไม่ตกเป็นทาสความอ่อนแอของเนื้อหนังและราคตัณหาของตนเอง พร้อมกันนั้นก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมในทุกขณะจิตที่จะนำชีวิตของตนไปพบกับพระเจ้าที่เผยแสดงพระองค์ในรูปแบบต่างๆ จิตที่แสวงหาพระเจ้าและแผนการของพระองค์คือคุณสมบัติจิตของคนดีและผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ให้เราเตรียมพร้อมเสมอดั่งเช่นหญิงสาวที่ถือตะเกียงน้ำมันรอเจ้าบ่าว....

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง     1 ธส 4:9-11
     พี่น้อง ส่วนเรื่องความรักฉันพี่น้องนั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนบอกอะไรท่านอีก เพราะท่านได้รับคำสอนจากพระเจ้าให้รักกัน และท่านก็ปฏิบัติเช่นนี้ต่อพี่น้องทุกคนทั่วแคว้นมาซิโดเนียอยู่แล้ว พี่น้องทั้งหลาย เราขอร้องท่านให้รักกันยิ่งๆ ขึ้น เอาใจใส่ที่จะดำเนินชีวิตอย่างสงบ ต่างคนต่างทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ดังที่เราเคยกำชับท่าน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 25:14-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป
คนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
     หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’
คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’”

 

ข้อคิด
     คำเปรียบเทียบที่ว่าชีวิตเปรียบเหมือนการเดินทางนั้นถูกต้องแต่จะครบถ้วนมากยิ่งขึ้นหากการเดินทางนั้นเป็นการแสวงหาความดีงามของพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ท่านนักบุญเปาโลสอนเราว่าในแต่ละวันให้เราดำเนินชีวิตอย่างสงบ ไม่ก่อความวุ่นวายกับใคร พึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เพราะแต่ละคนก็มีพระพรที่พระให้มาอย่างพอเพียง ดังเช่นคำเปรียบเทียบของพระเยซูเจ้าที่อยากให้ใช้พระพรที่มีให้ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด แต่คำว่าใช้อย่างดีที่สุดหมายถึงอะไร? คำตอบคือใช้พระพรที่มีนั้นๆตามลำดับคือเพื่อพระ เพื่อความดีส่วนรวมและเพื่อความดีงามของตนเอง นี่คือคำสอนของพระอาจารย์

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง      1 ธส 4:13-18
     พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องผู้ล่วงหลับคือผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง เราเชื่อว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำบรรดาผู้ที่หลับอยู่มากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผู้ยังมีชีวิตและรออยู่จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าทูตสวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป จงใช้ถ้อยคำเช่นนี้ปลอบใจกันเถิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 4:16-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์ มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ
คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส
เขากล่าวกันว่า “นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า ‘หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด’ แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน
เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น’”
เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป

 

ข้อคิด
     ท่านนักบุญเปาโลได้ให้ความหมายของการมีชีวิตและความตายว่าเกี่ยวพันกับความใกล้ชิดสนิทกับพระเยซูเจ้าที่เรารัก คงไม่ได้เป็นเพียงแค่การปลอบใจตัวเองหรือคิดเข้าข้างตัวเองเพราะชาวคริสต์เรามีชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้า การได้ชิดสนิทกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพคือการมีชีวิตใหม่ในโลกนี้ เมื่อใดที่เราต้องละสังขารในขณะที่จิตของเราชิดสนิทกับพระองค์ก็เป็นการได้ชีวิตนิรันดร์ ชาวคริสต์จึงอยู่ในโลก ในสังคมที่หลายหลากทางความคิดนี้ด้วยความเชื่อซึ่งมีรากฐานในองค์พระคริสต์ผู้กลับคืนชีพ พระองค์คือหนทาง พระองค์คือความจริงและพระองค์คือชีวิต เป็นชีวิตทั้งในปัจจุบันและชีวิตเมื่อความตายมาเยือน จิตของเราจะไม่พรากจากพระองค์เลย

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                              ยรม 20:7-9
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงล่อลวงข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ยอมให้ถูกล่อลวง พระองค์ทรงพลังเหนือข้าพเจ้า และทรงมีชัยชนะ ข้าพเจ้าเป็นที่น่าหัวเราะวันยังค่ำ ทุกคนเยาะเย้ยข้าพเจ้า ทุกครั้งที่พูด ข้าพเจ้าต้องร้องขอความช่วยเหลือ ตะโกนว่า “แย่แล้ว ตายแน่ๆ” เพราะพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องอับอายและถูกเยาะเย้ยอยู่ตลอดวัน แม้ข้าพเจ้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่คิดถึงพระองค์ และจะไม่พูดในพระนามของพระองค์อีก” แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีไฟเผาอยู่ในใจ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามควบคุมไฟนี้ไว้จนอ่อนเปลี้ย แต่ก็ควบคุมไว้ไม่ไหว

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 12:1-2
     พี่น้อง เพราะเห็นแก่พระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า นี่เป็นคารวกิจด้วยจิตใจของท่าน อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี สิ่งใดเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 16:21-27
     ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม
เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา
บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา”


ข้อคิด
     ท่านนักบุญเปาโลได้สอนเราถึงคำว่าแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า คือการเป็นผู้ที่มีจุดยืนตรงข้ามกับค่านิยมของโลก ท่านเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูอุดมการณ์ของชาวคริสต์เสมอ กล่าวคือทำทุกอย่างเพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมเช่นไรเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า? คำตอบมีในพระวรสารของวันนี้คือ ให้เราพยายามลืมตัวเองแล้วยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราด้วยใจสงบถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไม้กางเขนที่เราร่วมแบกกับพระเยซูเจ้าเพื่อให้แผนการของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปในชีวิตของเรา ที่ต้องจำไว้เสมอคือ....แผนการของเรามักไม่เหมือนแผนการของพระ ความคิดของเรามักไม่เหมือนความคิดของพระ

วันอังคารที่ 5 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง     1 ธส 5:1-6,9-11
     พี่น้องทั้งหลาย ไม่จำเป็นที่จะเขียนบอกท่านเรื่องวันเวลาที่กำหนด ท่านรู้อยู่แล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน เมื่อใดที่กล่าวกันว่า “มีสันติและความปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นความพินาศจะอุบัติแก่เขาโดยฉับพลันเหมือนความเจ็บปวดของหญิงมีครรภ์ แล้วเขาจะหนีไม่พ้น
     ส่วนท่าน พี่น้องทั้งหลาย อย่าดำรงชีวิตในความมืด เพราะวันนั้นจะมาถึงโดยไม่รู้ตัวเหมือนขโมย ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอและจงรู้จักประมาณตน เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้เราต้องรับโทษ แต่ทรงกำหนดให้เราได้รับความรอดพ้นเดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เราจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์ ไม่ว่าเราจะตื่นหรือหลับ ดังนั้น จงให้กำลังใจกัน และจงช่วยเสริมสร้างกันและกัน ดังที่ท่านกำลังทำอยู่แล้วนี้เถิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 4:31-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอำนาจ
ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปีศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านมายุ่งกับพวกเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายพวกเราใช่ไหม ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” ปีศาจผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน แล้วออกไปจากเขาโดยมิได้ทำร้ายแต่ประการใด ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า “วาจานี้คือสิ่งใด จึงมีอำนาจและอานุภาพบังคับปีศาจร้าย และมันก็ออกไป” กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น

 

ข้อคิด
     คริสตชนคือผู้ที่มีความหวังในสิ่งที่ดีอยู่เสมอ ชีวิตของเราเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน แน่นอนคำเตือนใจของท่านนักบุญเปาโลไม่ให้ประมาทในชีวิตนั้นหมายถึงการอย่าปล่อยให้จิตใจหลงไปกับความสุขที่โลกมอบให้เพราะเวลาของเราจะหมดไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทางที่ดีที่สุดคือให้เตือนกันเองเสมอว่าพระคริสต์คือเป้าหมายในใจของเรา เวลาที่มีต้องบริหารให้ดี แบ่งเวลาให้พระและแบ่งเวลาให้มนุษย์อย่างสมดุลย์ การให้เสียงของพระเยซูคริสตเจ้าดังก้องเสมอในจิตใจเรานั้นคือชีวิตประจำวันของคริสตชน เป็นต้นเสียงที่พระองค์ตรัสเมื่อจิตของเราถูกครอบงำด้วยความชั่วร้ายว่า...จงเงียบและออกไป...

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown