มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2017 ฉลองนักบุญมัทธิว อัครสาวก และผู้นิพนธ์พระวรสาร

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 4:1-7,11-13
     พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตในทุกคน
     เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทานตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้ พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไว้สำหรับงานรับใช้ เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 9:9-13
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

 

ข้อคิด
    พระเจ้าทรงเรียกและทรงเลือกเราเป็นรายบุคคล แต่ละคนด้วยวิธีการและรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าเราจะเป็นคนดี ไม่ดี หรือเป็นบุคคลประเภทใด เหมือนดังที่ทรงเรียกนักบุญมัทธิวคนเก็บภาษีคนบาปมาเป็นอัครสาวก ทรงประทานพระหรรษทานให้เราแต่ละคนตามสัดส่วนเพื่อเสริมสร้างกันจนกว่าเราจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อ ในความรู้ เป็นผู้ใหญ่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า เราจึงต้องถ่อมตน อ่อนโยน เพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง     1 ทธ 6:3-12
     ลูกที่รักยิ่ง ถ้าผู้ใดสอนแตกต่างจากนี้ และไม่สอนพระวาจาที่ถูกต้องของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และคำสอนที่สอดคล้องกับความเคารพเลื่อมใสพระเจ้า ผู้นั้นก็เป็นคนจองหองและไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เขาคอยแต่ตั้งปัญหาถามและโต้เถียงเกี่ยวกับถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา การทะเลาะวิวาท การกล่าวร้ายและความไม่ไว้ใจมุ่งร้ายต่อกัน รวมทั้งการถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ทำเช่นนี้เป็นคนไร้ปัญญาและขาดความจริง และคิดว่าความเคารพเลื่อมใสพระเจ้าเป็นทางหากำไร ความเคารพเลื่อมใสพระเจ้านำผลกำไรมหาศาลมาให้เฉพาะแก่ผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนมีเท่านั้น เราไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวเข้ามาในโลก และเราก็นำอะไรออกไปไม่ได้ ตราบใดที่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เราก็พอใจแล้ว คนที่อยากรวยก็ตกเป็นเหยื่อของการถูกผจญ ติดกับดักและตกลงไปในตัณหาชั่วร้ายโง่เขลามากมาย ซึ่งทำให้มนุษย์จมลงสู่ความพินาศย่อยยับ “ความรักเงินตราเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทุกประการ” บางคนเมื่อแสวงหาแต่เงินทองก็พลัดหลงจากความเชื่อ เป็นเหตุให้ตนเองได้รับความทุกข์เป็นอันมาก
ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จงมุ่งหน้าหาความชอบธรรม ความเคารพเลื่อมใสพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความอ่อนโยน จงต่อสู้อย่างดีเพื่อความเชื่อ จงยึดมั่นในชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ดำเนินอยู่ เมื่อท่านได้ประกาศยืนยันความเชื่อต่อหน้าพยานจำนวนมาก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 8:1-3
     หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์ รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากจิตชั่วร้ายและหายจากโรคภัย เช่น มารีย์ ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปีศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง โยอันนาภรรยาของคูซาข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคน หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก

 

ข้อคิด
    มารีย์ ชาวมักดาลา โยอันนาภรรยาของคูซา นางสุสันนา และสตรีอีกหลายคนสละทรัพย์สมบัติของตนช่วยเหลือพระคริสตเจ้าและบรรดาอัครสาวก เมื่อพระองค์เสด็จไปเทศน์สอนและประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระจ้าตามเมืองต่างๆ เพราะสตรีเหล่านี้เคารพเลื่อมใสในพระเจ้า จึงมุ่งหน้าหาความชอบธรรม ไม่ยึดติดกับเงินตราทรัพย์สินรากเหง้าของความชั่วร้าย เพื่อจะไม่พลัดหลงจากความเชื่อ และความรักของพระองค์

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 55:6-9
     จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ทรงยอมให้เราพบ จงทูลขอเมื่อพระองค์ทรงอยู่ใกล้ คนชั่วร้ายจงละทิ้งทางของตน และคนอธรรมจงละทิ้งความคิดของตน เขาจงกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงสงสารเขา และจงกลับมาหาพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์ประทานอภัยให้มากมาย “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของท่าน ทางของท่านก็ไม่ใช่ทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟิลิปปี      ฟป 1:20ค-24,27ก
   พี่น้อง พระคริสตเจ้าจะทรงได้รับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ เหมือนกับในอดีต ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ตาม ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำไร หากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าทำงานได้ผลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใดดี ข้าพเจ้ารู้สึกลังเล คือปรารถนาจะพ้นจากชีวิตนี้ไปเพื่ออยู่กับพระคริสตเจ้าซึ่งจะเป็นการดีกว่ามาก แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 20:1-16
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกเป็นคำอุปมาว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’
     ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อหน้าเจ้าของสวนว่า ‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’
ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”

 

ข้อคิด
    แม้บ่อยครั้ง เราไม่อาจเข้าใจความคิด แผนการ หรือพระประสงค์ของพระเจ้า แต่หากเราประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า มั่นใจในความรัก ความเมตตา ความใจดีของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต ถึงบางครั้งอาจเคยละทิ้งหนทางของพระองค์ไป ในวันที่เรากลับใจหันมาหาพระองค์ พระเจ้าจะทรงให้อภัย เพราะความใจดีของพระเจ้าไม่มีขอบเขต ไม่เลือกว่าเป็นผู้ใด ไม่ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มไหน คนกลุ่มแรกหรือกลุ่มสุดท้าย

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2017 ระลึกถึง น.ปีโอ แห่งปีเอเตรลชีนา พระสงฆ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง      1 ทธ 6:13-16
     ลูกที่รักยิ่ง บัดนี้ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่ทุกสิ่ง และเฉพาะพระพักตร์พระคริสตเยซู ผู้ยืนยันประกาศความเชื่อเป็นอย่างดีไว้ต่อหน้าปอนทิอัสปีลาต ข้าพเจ้าขอกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการโดยไม่บกพร่อง จนกว่าพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงสำแดงพระองค์
     เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระคริสตเยซู พระเจ้าผู้ทรงเป็นความสุขแท้จริงและผู้ทรงสรรพานุภาพแต่พระองค์เดียว ทรงเป็นจอมกษัตริย์และเจ้านายสูงสุด ผู้ทรงเป็นอมตะแต่พระองค์เดียว ประทับอยู่ในแสงสว่างที่ไม่อาจเข้าถึงได้ ไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นหรืออาจเห็นพระองค์ได้ ขอพระองค์ทรงดำรงพระเกียรติและพระพลานุภาพตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 8:4-15
    ขณะนั้น ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าและชุมนุมกัน พระองค์จึงทรงกล่าวเป็นอุปมาว่า
“ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน จึงถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศจิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนหิน พองอกขึ้นมาก็เหี่ยวแห้งเพราะขาดความชุ่มชื้น บางเมล็ดตกกลางกอหนาม ต้นหนามที่งอกขึ้นพร้อมกันก็คลุมไว้จนตาย บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้นและเกิดผลร้อยเท่า” พระองค์ตรัสดังนี้แล้วทรงเปล่งเสียงดังว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
    บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า อุปมาเรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไร พระองค์จึงตรัสว่า “พระเจ้าโปรดให้ท่านรู้ธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างชัดเจน แต่สำหรับคนอื่นพระองค์โปรดให้รู้เป็นอุปมาเท่านั้น เพื่อว่า
เขาจะมองแล้วมองอีก แต่ไม่เห็น
     ฟังแล้วฟังอีก แต่ไม่เข้าใจ”
“อุปมามีความหมายดังนี้ เมล็ดพืชคือพระวาจาของพระเจ้า เมล็ดที่ตกริมทางเดิน หมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา ต่อจากนั้น ปีศาจก็มาช่วงชิงพระวาจาออกไปจากใจของเขา มิให้เขามีความเชื่อและรอดพ้น เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ฟังแล้วรับพระวาจาไว้ด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เขามีความเชื่ออยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาถูกผจญ เขาก็เลิกเชื่อ เมล็ดที่ตกในกอหนาม หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วปล่อยให้ความกังวลถึงทรัพย์สมบัติและความสนุกของชีวิตมาบีบรัด จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่ตกในที่ดินดีหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาด้วยใจดีเลิศ ยึดพระวาจาไว้ด้วยความพากเพียรจนเกิดผล”


ข้อคิด
     ในเวลาที่ใจของเรามีสภาพเป็นเพียงทางเดินที่แห้งแข็ง พระวาจาก็จะถูกปีศาจช่วงชิงไปโดยง่าย หรือวันใดที่ใจของเราแกร่งเป็นหินเมล็ดพระวาจาไม่อาจแทงรากลง ยามถูกผจญความเชื่อก็สั่นคลอน แล้ววันใดที่ใจเป็นกอหนามพระวาจาคงไม่อาจเอาชนะความกังวลถึงทรัพย์สมบัติและความสุขสนุกสบายไปได้ ขอเราภาวนาด้วยพากเพียรให้หัวใจเป็นดินดีในทุกๆวัน เพื่อเมล็ดพระวาจาจะงอกงามเกิดผล

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2017 สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเอสรา                                               อสร 1:1-6
     ปีแรกในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระวาจาที่ตรัสโดยประกาศกเยเรมีย์เป็นความจริง จึงทรงดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้ทรงประกาศทั่วพระราชอาณาจักร และมีพระราชสาสน์เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่า
“กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทานอาณาจักรทั้งสิ้นบนแผ่นดินแก่เรา และพระองค์ทรงบัญชาเราให้สร้างพระวิหารถวายพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ ผู้ใดในหมู่ท่านทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์ ขอพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้นั้น และให้เขากลับขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ และสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลขึ้นใหม่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพำนักอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ขอให้ทุกคนที่เหลือรอดชีวิต ไม่ว่าจะพำนักอยู่ ณ ที่ใด ได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนที่นั่น เป็นเงิน ทองคำ สิ่งของและสัตว์เลี้ยง รวมทั้งเครื่องบูชาตามใจสมัคร สำหรับพระวิหารของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม’”
     หัวหน้าตระกูลยูดาห์และเบนยามินจึงออกเดินทาง พร้อมกับบรรดาสมณะและชนเลวี คือทุกคนที่พระเจ้าทรงดลใจให้กลับขึ้นไปสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นใหม่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อนบ้านทุกคนช่วยเหลือ เขา ให้เงิน ทองคำ ข้าวของ สัตว์เลี้ยง และของมีค่า นอกเหนือจากเครื่องบูชาที่แต่ละคนถวายตามใจสมัคร

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 8:16-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า“ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย”

 

ข้อคิด
     ถามตัวเองว่า พระเจ้าตรัสอะไรในวันนี้ บทอ่านที่หนึ่งหนังสือเอสรา พระเจ้าดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้คืนอิสรภาพแก่ชาวอิสราเอล ให้สร้างพระวิหารสำหรับพระเจ้าขึ้นใหม่ ทั้งยังให้ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ..เพราะพระเจ้าประทานอาณาจักรทั้งสิ้นบนแผ่นดินให้ท่าน...พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนในพระวรสารนักบุญลูกา ตะเกียงเมื่อจุดแล้วต้องวางไว้ให้แสงสว่างปรากฏชัดแจ้ง..เมื่อรับฟังพระวาจาแล้วไม่ว่าจะเกิดผลมากหรือน้อย..ต้องนำไปปฏิบัติ เพื่อพระหรรษทานจะเพิ่มพูน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown