มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 18:1-15
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเร ขณะนั้นเป็นเวลาแดดร้อนจัด อับราฮัมกำลังนั่งอยู่ที่ประตูกระโจม เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ตน ทันทีที่เห็น อับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไปต้อนรับและกราบลงที่พื้นดิน เขาพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย ข้าพเจ้าจะให้เขาเอาน้ำมาล้างเท้าให้ท่าน เชิญท่านพักใต้ต้นไม้นี้เถิด ขอให้ข้าพเจ้าไปนำอาหารมาให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่น มีกำลังเดินทางต่อไป ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเถิด” เขาทั้งสามคนจึงตอบว่า “จงทำตามที่ท่านพูดนั้นเถิด”
อับราฮัมรีบเข้าไปในกระโจมของนางซาราห์ และบอกว่า “เร็วเข้า ไปเอาแป้งละเอียดสามถังมานวดและทำขนมปังสำหรับแขกสามคนเถิด” แล้วอับราฮัมวิ่งไปที่ฝูงสัตว์ นำลูกโคอ้วนพีตัวหนึ่งให้ผู้รับใช้ฆ่า และรีบปรุงเป็นอาหาร เขาเอานมข้นเปรี้ยว น้ำนมสดและเนื้อลูกโคที่เตรียมแล้ว มาวางต่อหน้าคนทั้งสาม และยืนอยู่ใต้ต้นไม้คอยรับใช้ ขณะที่คนทั้งสามกำลังกินอาหาร
เขาเหล่านั้นถามว่า “นางซาราห์ ภรรยาของท่านอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “นางอยู่ในกระโจม” คนหนึ่งจึงพูดว่า “ปีหน้า เราจะกลับ มาหาท่านอีกอย่างแน่นอน นางซาราห์ภรรยาของท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูกระโจมเบื้องหลังอับราฮัม อับราฮัมและนางซาราห์ชรามากแล้ว ทั้งประจำเดือนของนางซาราห์ก็หมดไปแล้วด้วย นางซาราห์จึงหัวเราะอยู่ในใจ คิดว่า “ฉันแก่เกินกว่าที่จะมีบุตรแล้ว สามีของฉันก็แก่แล้ว ฉันยังจะมีความสนุกในทางประเวณีอีกหรือ” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์จึงหัวเราะ และคิดว่าฉันแก่แล้วจะคลอดบุตรได้หรือ มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ เมื่อถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาท่านในปีหน้า และนางซาราห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ปฏิเสธว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะ” เพราะนางกลัว พระองค์จึงตรัสว่า “ไม่จริง ท่านหัวเราะแน่ๆ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 8:5-17
     เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำนี่’ เขาก็ทำ” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อ มากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ แต่บุตรแห่งอาณาจักรจะถูกขับไล่ออกไปในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” แล้วพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อนั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคในเวลานั้นเอง
     เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้ พระองค์จึงทรงจับมือนาง นางก็หายไข้ ลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์
     เย็นวันนั้น ประชาชนนำผู้ถูกปีศาจสิงจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปีศาจเหล่านี้ออกไปด้วยพระวาจา และทรงบำบัดรักษาผู้ป่วยทุกคน เพื่อให้พระวาจาที่ได้ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า พระองค์ทรงรับเอาความอ่อนแอของเราไว้ และทรงแบกความเจ็บป่วยของเรา

 

ข้อคิด
     “มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ” เป็นคำพูดที่ทูตสวรรค์กล่าวกับอับราฮัม และนางซาราห์ เป็นคำพูดที่ยืนยันมั่นคงว่า พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง แม้อับราฮัม และนางซาราห์จะมีอายุมากแล้ว ตามประสามนุษย์ ก็คงจะไม่มีลูกได้แล้ว แต่พระเจ้าได้มอบลูกให้กับท่านทั้งสอง พระเจ้าได้รักษาผู้รับใช้ ของนายร้อยผู้นั้นให้หายจากการเป็นอัมพาต เพราะความเชื่ออันมากมายที่นายร้อยผู้นั้นมี และมารดาของภรรยาของเปโตรได้หายจากการป่วยไข้ เพียงพระเยซูเจ้าทรงจับมือของนางเท่านั้น ทั้ง 3 กรณีนี้เป็นไปได้ ก็เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อพระเจ้า
วอนขอพระเจ้า ประทานความเชื่อที่มั่นคงให้กับข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2017 สมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 12:1-11
     เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย ขณะนั้น อยู่ในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อทรงจับกุมเปโตรแล้ว ก็ทรงจองจำเขาไว้ในคุก ให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนควบคุมไว้ ตั้งพระทัยว่าเมื่อสิ้นเทศกาลปัสกาแล้วจะทรงนำไปพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชน
     ขณะที่เปโตรถูกจองจำอยู่ในคุก พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อเขาตลอดเวลา
คืนก่อนที่กษัตริย์เฮโรดจะทรงนำเปโตรไปพิจารณาคดี เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีทหารยามเฝ้าหน้าประตูคุก ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาใกล้ มีแสงสว่างจ้าในห้องขัง ทูตสวรรค์สะกิดข้างกายเปโตรปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วสั่งว่า “เร็วเข้า ลุกขึ้นเถอะ” โซ่ก็หลุดไปจากมือของเปโตร
     ทูตสวรรค์สั่งเปโตรว่า “จงคาดสะเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ทำตาม ทูตสวรรค์สั่ง
อีกว่า “จงสวมเสื้อคลุม แล้วตามข้าพเจ้ามาเถิด” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป ไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กำลังทำให้ตนนั้นเกิดขึ้นจริง คิดว่ากำลังเห็นนิมิต ทูตสวรรค์และเปโตรผ่านยามชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง มาถึงประตูเหล็กที่เป็นทางผ่านเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดได้เอง ทูตสวรรค์และเปโตรจึงออกไปเดินตามถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายไปในทันที
เปโตรรู้สึกตัว พูดว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แน่แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรดและจากความมุ่งร้ายทั้งหลายของประชาชนชาวยิว”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง       2 ทธ 4:6-8,17-18
     พี่น้อง ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดี วิ่งมาถึงเส้นชัย และรักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการแสดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
     มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำเร็จไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรงนำข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 16:13-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”


ข้อคิด
     การจะปลูกบ้านสักหลัง ย่อมต้องมีเสาเอก หรือเสาหลัก เพื่อให้บ้านตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง นักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล ก็เปรียบได้กับเสาหลักของพระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้น นักบุญเปโตร เป็นเสาหลักแห่งความเชื่อที่มั่นคงแข็งแรง นักบุญเปาโลเป็นเสาหลักของการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า แม้ท่านทั้งสองจะเคยผิดพลาดในอดีต นักบุญเปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระเจ้าถึง 3 ครั้ง นักบุญเปาโลเคยเบียดเบียนพระองค์และบรรดา คริสตชน แต่เมื่อท่านผิดไปแล้ว ท่านสำนึก และกลับใจ และเปลี่ยนชีวิต ท่านทั้งสองอุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อองค์พระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้าจึงทรงอยู่เคียงท่านทั้งสอง และโปรดให้ท่านทั้งสองอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ชั่วนิรันดร ข้าแต่ท่านนักบุญเปโตรและเปาโล ช่วยวิงวอนเทอญ

วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2017 น.เอลีซาเบ็ธ ราชินีแห่งปอร์ตุเกส

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 19:15-29
     ครั้นรุ่งเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลทว่า “ลุกขึ้นเถิด จงพาภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของท่านที่อยู่ที่นี่ออกไป ท่านจะได้ไม่ถูกทำลายพร้อมกับความพินาศของเมืองนี้” โลทยังรีรอ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อเขา ทูตสวรรค์ทั้งสององค์จึงจูงมือโลท ภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของเขา พาออกไปปล่อยไว้นอกเมือง
     เมื่อพาออกมานอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวว่า “จงหนีให้รอดชีวิต อย่าเหลียวหลังกลับ หรือหยุดในที่ลุ่มแม่น้ำ จงหนีไปที่ภูเขาเถิด มิฉะนั้น ท่านจะถูกทำลายไปด้วย” แต่โลทตอบว่า “อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า เมื่อท่านโปรดปรานผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าจะหนีไปถึงภูเขาไม่ได้ ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึงและข้าพเจ้าจะตาย ท่านเห็นเมืองเล็กๆ เมืองนั้นไหม เมืองนั้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึง ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ และข้าพเจ้าจะรอดชีวิตได้” ทูตสวรรค์ตอบว่า “เรายอมตามคำขอของท่านในเรื่องนี้ เราจะไม่ทำลายเมืองที่ท่านพูดถึง เร็วเข้าเถิด จงหนีไปที่นั่นเพราะเราจะทำสิ่งใดไม่ได้จนกว่าท่านจะไปถึงที่นั่น” ดังนั้น เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมื่อโลทมาถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้า เผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ พระองค์ทรงทำลายสองเมืองนี้ ลุ่มแม่น้ำทั้งหมดพร้อมกับชาวเมือง และพืชต่างๆ ที่นั่น ส่วนภรรยาของโลทเหลียวหลังกลับไปดูจึงกลายเป็นเสาเกลือ
     เช้าวันรุ่งขึ้น อับราฮัมรีบกลับไปยังที่ที่เขาได้ยืนเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มองลงไปทางเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ เห็นควันพลุ่งขึ้นจากพื้นดินเหมือนควันจากเตาไฟ
     เมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองในลุ่มแม่น้ำ พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัม ทรงพาโลทออกไปให้พ้นจากความหายนะ เมื่อทรงทำลายเมืองที่โลทอาศัยอยู่

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 8:23-27
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

 

ข้อคิด
     “ทำไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบรรดาศิษย์ที่ติดตามพระองค์ เพราะพวกเขา กำลังเผชิญอยู่กับพายุแรงกล้า และคลื่นที่ใหญ่โต เป็นความกลัวตาย พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ ชีวิตของคนเราแต่ละคน และแต่ละวัน หลายครั้งที่เราต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรค หรือสิ่งร้ายๆ และแน่นอนว่าเราคงตกอยู่ในความกลัว พระวาจาของพระเจ้าวันนี้สอนเราว่า เมื่อเราประสบอยู่ในอันตรายต่างๆ หากมีพระเยซูเจ้าอยู่กับเรา พระองค์ย่อมทรงช่วยเหลือเราได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเราว่า ขณะนั้นเราจะพบเจอพระเยซูเจ้าด้วย เราได้เรียกหาพระองค์เหมือนกับบรรดาศิษย์เหล่านั้นหรือไม่?!?

วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2017 ฉลองนักบุญโทมัส อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวเอเฟซัส      อฟ 2:19-22
     พี่น้อง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้มาขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้าท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 20:24-29
     เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”

 

ข้อคิด
     นักบุญโทมัส อาจจะได้ชื่อว่า เป็นคนหัวดื้อ เพราะท่านกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ ไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ท่านจะไม่เชื่อ” แน่ละมันเป็นความสงสัย เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรือเรื่องเล็กๆ หรือเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ท่านจึงต้องการความมั่นใจ และที่สำคัญคือ เมื่อท่านมั่นใจแล้ว ท่านกลับมีความเชื่ออย่างสนิทใจ และอุทิศตนเพื่อองค์พระเจ้า สุดชีวิตของท่าน
ข้าแต่ท่านนักบุญโทมัส โปรดเสนอวิงวอนพระเจ้า ให้ข้าพเจ้าคลายความสงสัยแต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้าด้วยเทอญ

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 21:5,8-20
     อับราฮัมมีอายุหนึ่งร้อยปีเมื่ออิสอัคเกิด อิสอัคเติบโตขึ้นและหย่านม อับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม วันหนึ่ง นางซาราห์เห็นบุตรชายที่นางฮาการ์หญิงชาวอียิปต์คลอดแก่อับราฮัมกำลังเล่นอยู่กับอิสอัคบุตรของตน นางจึงบอกอับราฮัมว่า “จงไล่นางทาสนี้กับบุตรของนางออกไป เพราะบุตรของนางทาสจะต้องไม่ได้รับส่วนแบ่งในมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรของฉัน” ถ้อยคำเช่นนี้ทำให้อับราฮัมกลุ้มใจมาก เพราะบุตรของทาสหญิงก็เป็นบุตรของเขาด้วย พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “อย่ากลุ้มใจเพราะเด็กและทาสหญิงของท่านเลย จงทำตามที่นางซาราห์บอกเถิด เพราะลูกหลานจะมีชื่อของท่านโดยทางอิสอัค เราจะทำให้บุตรของทาสหญิงเป็นชนชาติใหญ่ด้วย เพราะเขาก็เป็นบุตรของท่านเช่นเดียวกัน” เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมนำอาหารและถุงหนังใส่น้ำวางบนบ่าของนางฮาการ์ มอบบุตรชายแก่นางแล้วส่งนางออกไป
     นางออกเดินทางเร่ร่อนไปในถิ่นทุรกันดารเบเออร์เชบา เมื่อน้ำในถุงหนังหมด นางปล่อยบุตรไว้ใต้พุ่มไม้ แล้วเดินไปนั่งอยู่ห่างๆ ระยะประมาณหนึ่งร้อยเมตร คิดในใจว่า “ฉันไม่อยากเห็นลูกตาย” ขณะที่นางนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้น นางก็เริ่มร้องไห้
พระเจ้าทรงได้ยินเสียงเด็กร้อง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจากสวรรค์เรียกนางฮาการ์ว่า “ฮาการ์เอ๋ย ท่านเป็นอะไรไป อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้าทรงได้ยินเสียงเด็กร้องจากที่ที่เขาอยู่แล้ว จงลุกขึ้น ไปอุ้มเด็กมาและดูแลเขาไว้ให้ดีเถิด เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่” แล้วพระเจ้าทรงบันดาลให้นางเห็นบ่อน้ำ นางจึงเดินไปตักน้ำใส่ถุงจนเต็มนำมาให้เด็กดื่ม
พระเจ้าสถิตกับเด็กนั้น เขาเจริญเติบโตขึ้นและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เป็นนายพรานที่ชำนาญ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 8:28-34
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผู้ถูกปีศาจสิงสองคนออกจากบริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทั้งสองคนดุร้ายมากจนไม่มีใครเดินผ่านทางนั้นได้ ทันใดนั้น ทั้งสองคนร้องตะโกนว่า “ข้าแต่บุตรของพระเจ้า ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนเวลาหรือ” ไม่ไกลจากที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้ส่งเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสกับมันว่า “จงไปเถิด” พวกปีศาจจึงออกไปสิงในหมู หมูทั้งฝูงต่างวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ จมน้ำตาย คนเลี้ยงหมูหนีเข้าไปในเมืองเล่าเรื่องทั้งหมดนี้และเรื่องผู้ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองต่างออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นพระองค์ ก็ทูลขอพระองค์ให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา

 

ข้อคิด
     อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงอำนาจของการเป็นบุตรของพระเจ้า ทรงขับไล่ปีศาจที่สิงอยู่ในคนสองคนนั้น ปีศาจจำนวนเป็นพันก็ต้องถูกพระองค์ขับไล่ออกไป พระเจ้าทรงดูแล และเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ให้รอดปลอดภัย ลูกของอับราฮัม ที่เกิดจากฮาการ์ ทาสหญิง พระเจ้าก็ยังทรงเมตตา ชีวิตของเราทุกคนก็เช่นกัน พระเจ้าทรงดูแลเลี้ยงดูเสมือนหนึ่งบุตรของพระองค์อย่างแน่นอน หากเราเชื่อ-ไว้ใจ และนมัสการพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown