มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2017 น.ลอเรนซ์ แห่งบรินดิซี พระสงฆ์และนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                              อพย 11:10-12:14
     ในครั้งนั้น โมเสสและอาโรนได้ทำปาฏิหาริย์เหล่านี้ทั้งหมดเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ฟาโรห์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของกษัตริย์ฟาโรห์ดื้อดึง ไม่ทรงยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็นเดือนแรกสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึ่งสำหรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว แต่ถ้าครอบครัวเล็กเกินไป กินลูกแกะไม่หมด จงเชิญเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงมากินด้วย ตามจำนวนคน การเลือกลูกแกะนั้นจงคำนึงว่า แต่ละคนกินได้เท่าไร ลูกแกะนั้นต้องไม่มีตำหนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี จะเลือกลูกแพะแทนลูกแกะก็ได้ จงจับมันเลี้ยงไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้นในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น คืนนั้น จงย่างเนื้อสัตว์นั้น แล้วกินกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม อย่ากินเนื้อดิบหรือเนื้อต้ม แต่จงย่างไฟทั้งหัว ขาและเครื่องใน อย่าให้มีส่วนใดเหลืออยู่จนกระทั่งเช้า ถ้ายังมีส่วนใดเหลือ ก็ให้เผาไฟเสีย ท่านทั้งหลายจงกิน โดยพร้อมที่จะเดินทาง คือคาดสะเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้า ท่านจงกินอย่างเร่งรีบ นี่เป็นปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในคืนนั้น เราจะผ่านเข้าไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารชีวิตบุตรคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์ เราจะลงโทษเทพเจ้าทั้งหมดของอียิปต์ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็นบ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำลาย ขณะที่เราลงโทษแผ่นดินอียิปต์ วันนี้จะเป็นวันที่ท่านทั้งหลายต้องจดจำไว้ ท่านต้องถือเป็นวันฉลองถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องฉลองเช่นนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 12:1-8
     ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำลังทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดเมื่อหิวโหย พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกินไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”

 

ข้อคิด
      ความยืดหยุ่นของข้อกำหนดในพระศาสนามีเพียงประการเดียวนั่นคือเพื่อความเมตตา เพราะข้อกำหนดที่ดีก็ต้องกำหนดไว้เพื่อมนุษย์จะได้แสดงความเมตาต่อกันและกัน ดังที่พระเจ้าทรงเลยข้ามความยุติธรรมที่เราจะต้องรับโทษไปสู่ความเมตตาที่ เราจะได้รับการอภัยโทษ หากเอากันตามตัวอักษรที่กำหนด เราทุกคนคงจะได้รับโทษตามความยุติธรรมอย่างสาสมความผิดบาปไปแล้ว คนที่ไม่มีความเมตตายืดหยุ่นต่อผู้อื่น สวนใหญ่มักเป็นคนที่ยังมีปมด้อยไม่เคยอิ่มใจในชีวิตของตน เขาขาดความรักอยู่เสมอ

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2017 ระลึกถึงนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง      2 คร 5:14-17
     พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา
     ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 20:1,11-18
     เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว
มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง


ข้อคิด
     นักบุญเปาโลเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ที่วางเนื้อหาทางเทววิทยาเกี่ยวกับพระ เยซูเจ้าไว้มากมายหลายประการ ข้อหนึ่งก็คือต่อไปนี้เรามีมาตราฐานใหม่ คือมีชีวิตในองค์พระคริสตเจ้า 

อย่าดำเนินชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดาแต่ ต้องเจริญชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ผู้กลับคืนพระชนมชีพอยู่ตลอดเวลา ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในตัวเราด้วยเช่นกัน เราจึงเป็นบุตรพระเจ้า มารีย์ มักดาลา อาจจะหมดหวังในชีวิตที่ผิดพลาดป่วยไข้ของตน เธอรักษาตนเองไม่ได้แต่พอเธอแสวงหาพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงมาบอกเธอว่าเธอเป็นลูกของพระเช่นกัน เธอเป็นผู้สื่อสารข่าวดีให้แก่ผู้อื่น เธอเป็นคนดีได้ เธอกลับมีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับพระองค์เมื่อดำเนินชีวิตในพระองค์

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2017 น.ชาร์เบล มาคลุฟ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                              อพย 14:5-18
     ในครั้งนั้น เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์ของอียิปต์ทรงทราบว่า ประชากรอิสราเอลหนีไปแล้ว พระดำริของกษัตริย์ฟาโรห์และความคิดของบรรดาข้าราชบริพารต่อประชากรอิสราเอลก็เปลี่ยนไป เขาจึงปรึกษากันว่า “พวกเราทำอะไรลงไป เราปล่อยให้ทาสชาวอิสราเอลพ้นมือพวกเราไปทำไม” กษัตริย์ฟาโรห์ทรงบัญชาให้จัดราชรถและนำทหารไปด้วย พระองค์ทรงสั่งให้เอารถศึกอย่างดีที่สุดหกร้อยคัน กับรถศึกอื่นๆ ในอียิปต์ มีทหารประจำอยู่ทุกคัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กษัตริย์ฟาโรห์ของอียิปต์มีพระทัยดื้อดึง ไล่ตามชาวอิสราเอลซึ่งกำลังเดินทางออกไปอย่างคนอิสระ ชาวอียิปต์ไล่ตามไป มีกองทัพของกษัตริย์ฟาโรห์ทั้งหมด ทั้งม้า รถศึก และผู้ขับขี่ไล่ตามชาวอิสราเอลไปทันตรงที่เขาตั้งค่ายอยู่ข้างทะเลใกล้ปี-หะหิโรท เบื้องหน้าบาอัลเซโฟน เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ ชาวอิสราเอลเงยหน้าขึ้นดู แลเห็นชาวอียิปต์ไล่ตามมา ก็มีความกลัวยิ่งนัก จึงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาทั้งหลายกล่าวโทษโมเสสว่า “ไม่มีที่ฝังศพในอียิปต์แล้วหรือ ท่านจึงพาพวกเราออกมาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ทำไมท่านนำพวกเราออกจากอียิปต์ พวกเราบอกท่านก่อนออกจากอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่าจงปล่อยพวกเราไว้ตามลำพัง เราจะเป็นข้ารับใช้ชาวอียิปต์ เป็นทาสรับใช้ชาวอียิปต์ยังดีกว่าจะต้องมาตายในถิ่นทุรกันดาร” โมเสสตอบว่า “อย่ากลัวไปเลย จงยืนหยัดมั่นคง แล้วท่านจะเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยท่านทั้งหลายให้รอดพ้นอย่างไรในวันนี้ ชาวอียิปต์ที่ท่านเห็นในวันนี้ท่านจะไม่ได้เห็นอีกเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสู้รบแทนท่านทั้งหลาย จงสงบใจอยู่เฉยๆ เถิด”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงร้องขอความช่วยเหลือจากเรา จงสั่งชาวอิสราเอลให้เดินหน้าต่อไปเถิด ท่านจงยกไม้เท้าขึ้นแล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเล ทำให้ทะเลแยกจากกัน ชาวอิสราเอลจะได้เดินกลางทะเลบนพื้นดินแห้ง เราจะบันดาลให้ชาวอียิปต์มีใจดื้อดึงไล่ตามไป เราจะสำแดงสิริรุ่งโรจน์ โดยมีชัยชนะต่อกษัตริย์ฟาโรห์และกองทัพทั้งหมดของพระองค์ ทั้งรถศึกและผู้ขับขี่ เมื่อเราสำแดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยมีชัยชนะต่อกษัตริย์ฟาโรห์ รถศึก และผู้ขับขี่แล้ว ชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 12:38-42
      เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน” พระองค์ทรงตอบว่า “คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต้องการเห็นเครื่องหมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก”

 

ข้อคิด
     พระเจ้าทรงบอกโมเสสคล้ายกับว่าท่านมีฤทธิ์อำนาจอยู่ในมืออยู่แล้ว ไม่ต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากเราก็ได้ ท่านมีอยู่กับตัวท่านเมื่อเราให้ท่านมาทำภารกิจให้เรา ทุกวันนี้เรามีพระพรของพระเจ้าในตัวเราถ้าเรารับใช้พระเจ้า ดำเนินกิจการตามที่พระเจ้าทรงขอจากเรา พระเจ้าไม่ทรงให้เราแบกภาระของพระองค์ด้วยมือเปล่าแต่ด้วยพระหรรษทานที่ ประทานมาเสริมกำลังให้แก่เรา บางทีเราไม่แน่ใจเราก็อยากเห็นเครื่องหมายประกันความช่วยเหลืออันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่ารอวันนั้น หลังจากเราถูกฝังไว้สามวัน วันที่เรากลับคืนพระชนมชีพจากความตาย วันนั้นแหละคือเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดว่าเรามีฤทธิ์อำนาจมอบแด่ท่าน

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                      ปชญ 12:13, 16-19
     นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เอาพระทัยใส่ทุกสิ่ง และที่พระองค์จะต้องพิสูจน์ว่ามิได้ทรงตัดสินอย่างอยุติธรรม
พระฤทธานุภาพของพระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งความยุติธรรม การที่ทรงเป็นเจ้านายเหนือจักรวาลทำให้พระองค์ทรงปรานีทุกคน พระองค์ทรงสำแดงพระฤทธานุภาพแก่ผู้ที่ไม่เชื่อพระอานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงกำจัดความหยิ่งยโสของผู้ที่รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงพลานุภาพอย่างสมบูรณ์ จึงทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน ทรงปกครองข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยพระทัยปรานี เพราะพระองค์ทรงใช้พระอานุภาพตามที่พอพระทัย
พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อสอนประชากรของพระองค์ว่า ผู้ชอบธรรมต้องรักเพื่อนมนุษย์ พระองค์ประทานความหวังเต็มเปี่ยมแก่บรรดาบุตรของพระองค์ว่า เมื่อเขาทำบาปแล้ว พระองค์ก็ประทานโอกาสให้เขากลับใจ

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม           รม 8:26-27
     พี่น้อง ในทำนองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำที่ไม่อาจบรรยาย และพระผู้ทรงสำรวจจิตใจ ทรงทราบความปรารถนาของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 13:24-43
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใด’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วเมื่อเก็บเกี่ยว ฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”
พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้”
พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น”
พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า
เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา
เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก
หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์”
“ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด”

 

ข้อคิด
     หนังสือปรีชาญาณอธิบายพระลักษณะของพระเจ้าอย่างยอดเยี่ยมแม่นยำ เขาพยายามบอกเพื่อนๆว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องมาพิสูจน์ว่าทรงยุติธรรม เพราะทรงให้อภัยและให้โอกาสคนบาปเพื่อสอนมนุษย์ว่าเขาต้องรักเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันอย่างไร พระลักษณะประการนี้บางทีทำให้เราหงุดหงิดว่าทำไมพระเจ้าไม่ทรงจัดการคนชั่ว ให้สิ้นชีพไป เรามีหน้าที่ต้องเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าและเลียนแบบการรู้จักใช้อำนาจ ที่เรามีเยี่ยงพระองค์ มนุษย์ไม่อดทนต่อกัน และจัดการความหงุดหงิดให้ได้อย่างใจด้วยการกำจัดคนที่ไม่ชอบออกไปพ้นจากสาย ตาให้หมด แต่พระเจ้าทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน พระองค์ประทานโอกาสให้เขากลับใจ..แน่นอนพระองค์ทรงต้องอดทนมากเช่นกัน

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2017 ฉลองนักบุญยากอบ อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง         2 คร 4:7-15
      พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพล้ำเลิศนั้นมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติที่ตายได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำลังทำงานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานอยู่ในท่าน
มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกันนี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และจะทรงนำเราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำหรับท่าน เพื่อว่าเมื่อพระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึ้น การขอบพระคุณจะทวียิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 20:20-28
     เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด
     ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่กำลังทำงานอย่างยากลำบากกังวลเสี่ยงภัย จะรับรู้ได้ดีที่สุดว่าการมีชีวิตอยู่อย่างไม่สะสม ไม่มีหลักประกันความปลอดภัย ไม่มีความสะดวกสะบายแต่สามารถผ่านชีวิต ไปได้ทุกวันนั้นเป็นเช่นไร ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พระสิริมงคลของพระเจ้าจะปรากฎขึ้นต่อหน้าผู้อื่นผ่าน ทางชีวิตของเรามิใช่วิธีนั่งข้างซ้ายข้างขวาเป็นใหญ่เป้นโตทางโลก ถ้าเราจะบอกคนอื่นว่าพระมีจริง ก็ด้วยวิธีที่พระเจ้าทรงกอบกู้ชีวิตที่บอบช้ำของเราให้พวกเขาได้ประจักษ์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown