มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2017 ระลึกถึง น.เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 32:23-33
     คืนนั้น ยาโคบลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสองคน ทาสหญิงทั้งสองคน บุตรทั้งสิบเอ็ดคนเดินข้ามลำธารยับบอก ตรงที่ตื้น เขาส่งบุตรภรรยาข้ามลำธารและส่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปด้วย เหลือแต่ยาโคบตามลำพัง
     บุรุษผู้หนึ่งต่อสู้กับเขาจนรุ่งสาง เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่า จะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ทุบข้อต่อสะโพกของเขา สะโพกของยาโคบก็เคล็ดไปขณะที่เขาต่อสู้กันอยู่ บุรุษนั้นจึงว่า “ปล่อยฉันไปเถิด เพราะสว่างแล้ว” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยอมปล่อยท่านไปจนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า” บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า “ท่านชื่ออะไร” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” บุรุษผู้นั้นจึงว่า “ชื่อของท่านจะไม่ใช่ยาโคบอีก แต่ชื่ออิสราเอล เพราะท่านได้ต่อสู้กับพระเจ้าและกับมนุษย์ แล้วท่านก็ชนะ” ยาโคบจึงขอร้องว่า “โปรดบอกชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย” เขาตอบว่า “ท่านถามชื่อของฉันไปทำไม” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น
ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่าเปนูเอล พูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าอย่างเต็มตาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้” ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นเมื่อยาโคบผ่านเปนูเอล เดินกะโผลกกะเผลกเพราะสะโพกเคล็ด ด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลจึงไม่กินเส้นเอ็นที่ข้อต่อสะโพกจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะยาโคบถูกทุบตรงข้อต่อสะโพกนั่นเอง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 9:32-38
      เมื่อคนที่เคยตาบอดทั้งสองคนจากไปแล้ว มีผู้พาคนใบ้ถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”
พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้า เสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกชนิด
นี้คือองค์พระเยซูเจ้า พระบุตรแต่องค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งทรงสัญญาว่า จะเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น พระเจ้าไม่ทรงลืมพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้ พระเจ้าทรงสงสาร และเต็มไปด้วยพระเมตตาต่อผู้ที่เชื่อ-วางใจ และเข้าพึ่งพระองค์เสมอ พระองค์คือนายชุมพาบาลที่ดี

วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 41:55-57 และ 42:5-7ก,17-24ก
     เมื่อประชาชนทั่วแผ่นดินอียิปต์เริ่มรู้สึกขาดแคลนอาหาร ก็ร้องขออาหารจากกษัตริย์ฟาโรห์ พระองค์รับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งปวงว่า “จงไปหาโยเซฟเถิดและทำตามที่เขาสั่ง” เมื่อเกิดการกันดารไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดยุ้งฉางทั้งหมดออกขายข้าวให้ชาวอียิปต์ ขณะที่การกันดารอาหารทวีความรุนแรงขึ้นในอียิปต์ ผู้คนจากทั่วแผ่นดินต่างมายังอียิปต์เพื่อขอซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะการกันดารอาหารทวีความรุนแรงไปทั่วแผ่นดิน
     บุตรของอิสราเอลมาซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะเกิดการกันดารอาหารในแผ่นดินคานาอัน โยเซฟในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็ขายข้าวให้ประชาชนทั้งปวง เมื่อพี่ชายของโยเซฟมาถึง เขาก็กราบคำนับโยเซฟ ศีรษะจรดพื้น โยเซฟเห็นพี่ชายก็จำได้ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จัก พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงกระด้าง
     โยเซฟจึงสั่งให้ขังทุกคนไว้ในคุกเป็นเวลาสามวัน ในวันที่สามโยเซฟพูดกับพี่ชายว่า “จงทำดังนี้ และท่านจะมีชีวิตรอด เพราะเรายำเกรงพระเจ้า ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนซื่อตรง ให้ท่านคนหนึ่งถูกจองจำในคุกที่นี่ ส่วนอีกเก้าคนจงนำข้าวกลับไปให้ครอบครัวที่กำลังอดอยาก แล้วท่านจะต้องนำน้องชายคนเล็กมาให้เราดู เพื่อพิสูจน์ว่าท่านพูดความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” บรรดาพี่ชายก็ยอมทำเช่นนี้ แล้วพูดกันว่า “เรากำลังรับโทษเพราะความผิดที่เราได้ทำกับน้องของเราแน่ๆ เราเห็นแล้วว่าเขาเป็นทุกข์แค่ไหน เมื่อเขาอ้อนวอนขอให้เราช่วย แต่เราไม่ยอมฟัง บัดนี้ เราจึงต้องรับทุกข์เช่นเดียวกัน” รูเบนจึงพูดว่า “พี่ไม่ได้บอกพวกน้องหรือว่า อย่าทำร้ายเด็กนั้น แต่พวกน้องไม่ยอมฟัง บัดนี้ เราจึงต้องชดใช้หนี้เลือดของเขา” เขาไม่รู้ว่าโยเซฟเข้าใจ เพราะโยเซฟใช้ล่ามเมื่อพูดกับเขา โยเซฟจึงปลีกตัวไปร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับเขาอีก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 10:1-7
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
     อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”

 

ข้อคิด
     จากหนังสือปฐมกาลที่เราได้อ่านได้ฟังในวันนี้ ได้กล่าวถึงยอแซฟ ซึ่งถูกขายโดยพี่ๆ พวกพี่ๆ ทำร้ายยอแซฟ แต่สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ดีนั้น พระเจ้าทรงมีแผนการ และเปลี่ยนการกระทำนั้นให้กลับเป็นสิ่งดี พวกเขากลับรอดตายจากความอดอยาก ด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลที่พวกเขาเคยทำร้าย พระเจ้าทรงเรียก และเลือกเราทุกคนให้มาสู่หนทางแห่งความรอดเสมอๆ พระเจ้าทรงเลือกอัครสาวกให้เป็นศิษย์ของพระองค์ เพื่อนำคนอีกจำนวนมากมาสู่หนทางแห่งความรอดในอาณาจักรของพระองค์

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2017 น.คามิลโล เด เลลลิส พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 46:1-7,28-30
     ในครั้งนั้น อิสราเอลออกเดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี เมื่อมาถึงเบเออร์เชบา เขาก็ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของอิสอัค บิดาของตน พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลในนิมิตเวลากลางคืนว่า “ยาโคบเอ๋ย ยาโคบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์จึงตรัสว่า “เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาของท่าน อย่ากลัวที่จะต้องไปอียิปต์เลย เราจะให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ที่นั่น เราจะไปอียิปต์กับท่านด้วย แล้วเราจะพาท่านกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน หลังจากที่โยเซฟจะปิดตาของท่านแล้ว” ยาโคบจึงเดินทางต่อไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรของอิสราเอลให้ยาโคบผู้บิดากับเด็กๆ และภรรยาขึ้นเกวียนที่กษัตริย์ฟาโรห์ทรงส่งมารับ
เขาทั้งหลายต้อนฝูงสัตว์และนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้มาในแผ่นดินคานาอันไปอียิปต์ ยาโคบพาลูกหลานของตน คือบุตรชาย บุตรหญิง หลานชาย หลานสาวทั้งหมดของเขาไปอียิปต์ด้วย
     อิสราเอลให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปพบโยเซฟ เพื่อบอกโยเซฟให้มาพบที่แคว้นโกเชน เมื่อทุกคนมาถึงแคว้นโกเชน โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของตนไปรับอิสราเอลบิดาที่แคว้นโกเชน เมื่อเห็นบิดา เขาก็เข้าสวมกอดบิดาไว้ พลางร้องไห้เป็นเวลานาน อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “บัดนี้ พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นลูกและรู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 10:16-23
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ”
“จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาลและเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน”
“พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย”
“คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะกลับมาแล้ว”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสกับบรรดาอัครสาวก อีกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า จงฉลาดประดุจงู และซื่อประดุจนกพิราบ” พระองค์หมายถึงชีวิตในการติดตามพระองค์นั้นไม่ง่าย มันขรุขระ และมีขวากหนาม จงมั่นคง และรอบคอบในความเชื่อ มอบตนอย่างซื่อๆ ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่จะอยู่เคียงข้างชีวิตของเราเสมอ อย่ากังวลในทุกสิ่ง หากชีวิตของเราเชื่ออย่างมั่นคง พระเจ้าก็จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา น.เฮนรี่

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 44:18-21,23ข-29 และ 45:1-5
      ในครั้งนั้น ยูดาห์เข้าไปหาโยเซฟ พูดว่า “กรุณาเถิดนายเจ้าข้า ขอให้ผู้รับใช้ของท่านพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาเถิด อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย เพราะท่านเป็นเหมือนกษัตริย์ฟาโรห์ เจ้านายเคยถามผู้รับใช้ของท่านว่า ท่านมีบิดาหรือน้องชายไหม พวกเราก็ตอบเจ้านายว่า เรามีบิดาที่ชรา และมีน้องชายเล็กคนหนึ่งที่เกิดมาเมื่อบิดาชราแล้ว พี่ชายของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่เกิดจากมารดาเดียวกัน บิดาจึงรักเขามาก แล้วท่านสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า ‘จงพาน้องคนนั้นมาที่นี่ ให้เราดู’ แต่ท่านพูดกับผู้รับใช้ของท่านว่า ‘ถ้าน้องคนเล็กไม่มากับท่านที่นี่ ท่านจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ เมื่อพวกเรากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน พวกเราก็เล่าคำพูดของเจ้านายให้บิดาฟัง ต่อมา บิดาบอกพวกเราว่า ‘จงกลับไปซื้ออาหารมาให้พวกเราบ้าง’ พวกเราตอบว่า ‘ไปไม่ได้ แต่ถ้าน้องคนเล็กไปด้วย พวกเราจึงจะไป มิฉะนั้น พวกเราจะไปพบท่านผู้นั้นไม่ได้’ บิดาผู้รับใช้ของท่านจึงบอกพวกเราว่า ‘พวกลูกรู้แล้วว่า ราเคลภรรยาของพ่อมีลูกชายสองคน คนหนึ่งก็จากไปแล้ว พ่อคิดว่าเขาคงถูกสัตว์ร้ายกัดกิน เพราะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย ถ้าลูกๆ พาคนนี้ไปจากพ่อ แล้วเขาเป็นอันตราย ลูกก็จะส่งพ่อซึ่งแก่แล้วลงไปในแดนผู้ตายด้วยความเศร้าโศก’”
โยเซฟไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนต่อหน้าชาวอียิปต์ที่ยืนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป ร้องสั่งว่า “ทุกคนจงออกไปจากที่นี่” จึงไม่มีใครอยู่กับโยเซฟ เมื่อเขาแสดงตนแก่บรรดาพี่น้อง โยเซฟร้องไห้ดังมากจนชาวอียิปต์ได้ยิน ข่าวนั้นลือไปถึงพระราชวังของกษัตริย์ฟาโรห์
โยเซฟบอกพี่น้องว่า “ฉันคือโยเซฟ พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือ” แต่พี่ๆ ไม่รู้จะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวมากที่เผชิญหน้ากับเขา โยเซฟจึงบอกพี่น้องว่า “เข้ามาใกล้ๆ เถิด” พวกเขาก็เข้ามาใกล้ โยเซฟพูดต่อไปว่า “ฉันคือโยเซฟ น้องชายของพี่ที่พี่ขายมาอียิปต์ บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตนเองที่ขายฉันมาที่นี่ พระเจ้าทรงส่งฉันล่วงหน้ามาก่อน เพื่อช่วยชีวิตของพี่ๆ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 10:7-15
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”
     “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสียด้วย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น”

 

ข้อคิด
    “จงไปประกาศว่า อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว...” พระเยซูเจ้ามอบหมายให้อัครสาวกของพระองค์ ออกไปประกาศเทศน์สอน พระองค์ยังกำชับสาวกให้ทุ่มเทกับการประกาศเทศน์สอน อย่ากังวลกับสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่ายึดติดกับสิ่งของต่างๆ ในโลกนี้ เพราะอาณาจักรสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะผ่านไปทั้งหมด ฉะนั้นอย่ายึดติดกับอะไรๆ ในโลกนี้ จงดำรงชีวิต และมุ่งสู่อาณาจักรเที่ยงแท้ในสวรรค์ของเราที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับเรา

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม 2017 ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 49:29-33 และ 50:15-24
     ในครั้งนั้น ยาโคบสั่งบรรดาบุตรว่า “บัดนี้ พ่อกำลังจะไปอยู่รวมกับบรรพบุรุษของพ่อ จงฝังพ่อไว้กับบรรพบุรุษของพ่อในถ้ำที่อยู่ในนาของเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ คือในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาแห่งมัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมซื้อถ้ำและทุ่งนาจากเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ไว้เป็นที่ฝังศพของตน ที่นั่นเขาได้ฝังศพของอับราฮัมและนางซาราห์ผู้เป็นภรรยา ที่นั่นเขาฝังศพของอิสอัคและนางเรเบคาห์ ผู้เป็นภรรยาและที่นั่นพ่อก็ฝังนางเลอาห์ไว้ด้วย ทุ่งนาและถ้ำซึ่งอยู่ในทุ่งนานั้นซื้อมาจากชาวฮิตไทต์”
เมื่อยาโคบสั่งเสียบรรดาบุตรเสร็จแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและสิ้นใจ ไปรวมอยู่กับบรรพบุรุษ
     หลังจากบิดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาพี่ชายของโยเซฟมีความกลัว จึงปรึกษากันว่า “โยเซฟอาจมีความเคืองแค้นพวกเรา คิดจะแก้แค้นการประทุษร้ายที่พวกเราเคยทำกับเขา” พี่ชายจึงส่งคนไปบอกโยเซฟว่า “บิดาของท่านสั่งไว้ก่อนจะสิ้นใจว่า จงบอกโยเซฟด้วยว่า ‘พ่อขอร้องลูกให้อภัยการประทุษร้ายและบาปที่พี่ชายทำต่อลูก’ บัดนี้ ขอท่านโปรดให้อภัยความผิดของผู้รับใช้พระเจ้าของบิดาของท่านด้วยเถิด” เมื่อโยเซฟได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ร้องไห้
บรรดาพี่ชายมาหาโยเซฟ กราบลงต่อหน้าเขาพูดว่า “พวกเรามาอยู่ต่อหน้าท่าน ขอเป็นทาสของท่าน” แต่โยเซฟตอบว่า “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่พระเจ้า จะตัดสินลงโทษท่านได้อย่างไร พวกพี่วางแผนทำร้ายฉัน แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนให้ร้ายกลายเป็นดีดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คือเพื่อรักษาชีวิตของหลายคนไว้ ดังนั้น พี่ๆ อย่ากลัวไปเลย ฉันจะเอาใจใส่ดูแลพวกพี่และลูกของพี่” โยเซฟให้คำมั่นแก่บรรดาพี่ชายและพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน
     โยเซฟอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวของบิดา เขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟได้เห็นบุตรหลานของเอฟราอิมถึงสามชั่วอายุ และเห็นบุตรของมาคีร์ บุตรของมนัสเสห์ ซึ่งโยเซฟรับเป็นบุตรบุญธรรมของตน ในที่สุด โยเซฟพูดกับบรรดาพี่น้องว่า “ฉันกำลังจะตายแล้ว แต่พระเจ้าจะทรงดูแลท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน พระองค์จะทรงนำท่านออกจากแผ่นดินนี้ไปยังแผ่นดินที่ทรงสัญญาโดยทรงปฏิญาณไว้กับอับราอัม อิสอัคและยาโคบ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 10:24-33
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ย่อมมีความกลัว กลัวมนุษย์ด้วยกันเอง กลัวเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น หรือแม้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และกลัวแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน มนุษย์เกิดความกลัว เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์ไม่ทราบอะไรอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่รู้อะไรเลย พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ว่า จงยำเกรงพระเจ้าซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของเราทุกคน พระองค์ทรงฤทธานุภาพ และทราบสิ้นทุกประการ ให้เรามอบชีวิตของเรา และเดินในหนทางที่นำไปสู่พระองค์ มนุษย์ทุกคนต้องผ่านความตาย และทุกอย่างในโลกนี้ เพื่อจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร บ้านแท้ของเราตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า
     “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด”
“อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน”
“อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”
“ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย”

 

ข้อคิด  

     ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ย่อมมีความกลัว กลัวมนุษย์ด้วยกันเอง กลัวเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น หรือแม้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และกลัวแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน มนุษย์เกิดความกลัว เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์ไม่ทราบอะไรอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่รู้อะไรเลย      พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ว่า จงยำเกรงพระเจ้าซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของเราทุกคน พระองค์ทรงฤทธานุภาพ และทราบสิ้นทุกประการ ให้เรามอบชีวิตของเรา และเดินในหนทางที่นำไปสู่พระองค์ มนุษย์ทุกคนต้องผ่านความตาย และทุกอย่างในโลกนี้ เพื่อจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร บ้านแท้ของเรา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown