มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2017 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                               ยรม 11:18-20
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผยแผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่งถูกนำมายังที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำลายต้นไม้ที่กำลังงอกงาม เราจงกำจัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใดระลึกถึงอีกเลย”
     บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 7:40-53
     เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็นประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม
     ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายไม่นำเขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน

 

ข้อคิด
      เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ บ่งบอกให้เราทราบว่า พระวาจาที่พระเยซูเจ้าสั่งสอนฝูงชนนั้น เมื่อฟังแล้วแต่ละคนเข้าใจพระองค์ไปคนละอย่าง บางกลุ่มชื่นชมพระเยซูเจ้าเหมือนดั่งประกาศก และเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขากำลังรอคอย แต่อีกพวกหนึ่งต่อต้านพระองค์และบอกว่าพระองค์เป็นนักต้มตุน บ่อยครั้งพระวาจาของพระเยซูเจ้านำความแตกแยก สาเหตุของความแตกต่างนั้นมาจากใจผู้ฟัง เมื่อได้ยินพระวาจาของพระเยซูเจ้า บางคนมีใจแคบ ใจกระด้าง ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเชื่อ

วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                           อสค 37:12-14
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ นำท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย ท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ทำแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 8:8-11
     พี่น้อง ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 11:3-7,17,20-27,33ข-45
     เวลานั้น น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า “โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์”
     พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาวและลาซารัส หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำลังป่วย พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรากลับไปแคว้นยูเดียกันเถิด”
     เมื่อเสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสี่วันแล้ว เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย”
พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
     มารธาทูลตอบว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง ชาวยิวจึงพูดว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิดอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” มารธาน้องสาวของผู้ตายทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก
พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อประชาชนที่อยู่รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา”
    ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและปล่อยให้เขาไปเถิด”
ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าเป็นเพื่อนของสามพี่น้องนี้ คือ มารีย์ มารธา และลาซารัส บ่อยครั้งโอกาสเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระองค์พำนักอยู่กับครอบครัวนี้ และพวกเขาก็ต้อนรับพระองค์อย่างมิตรไมตรีที่ดีเสมอ การกลับคืนชีพของลาซารัสจากความตาย ไม่ใช่เพียงแต่การแสดงออกถึงความเป็นมิตรแท้ของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกถึงอำนาจของพระองค์เหนือความตายอีกด้วย พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่เคียงข้างมารีย์ และมารธาขณะที่พวกเขากำลังเศร้าโศกเพราะความตายของราซารัส พระองค์ก็จะประทับอยู่ข้างๆเราเสมอเมื่อเรากำลังรู้สึกเจ็บปวด หรือ รู้สึกตกต่ำ หวาดกลัว

วันอังคารที่ 4 เมษายน 2017 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                        กดว 21:4-9
    ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 8:21-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
     ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”
เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร”
     พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”
คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”
เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าบอกชาวยิวว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ลงมาในโลกนี้เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา พระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน “พระผู้ส่งเรามาสถิตกับเรา” พระองค์จึงไม่ได้พูดและสอนตามใจตนเอง แม้เนื้อหาข้อความเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจได้ แต่นักบุญยอห์นก็บันทึกไว้ว่า ชาวยิว“หลายคนก็เชื่อในพระองค์” กุญแจที่เปิดประตูแห่งความเชื่อคือการภาวนา ดังนั้นเมื่อความสงสัยเกิดขึ้นในจิตใจ ให้เราภาวนาต่อพระบิดาเป็นการส่วนตัว

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2017 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                             ดนล 13:41ค-62
     ทุกคนที่มาประชุมกันเชื่อเขา เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสผู้พิพากษาประชากร จึงตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียงว่า “ข้าแต่พระเจ้านิรันดร พระองค์ทรงทราบความลับทุกประการ และทรงทราบทุกสิ่งก่อนที่จะเกิดขึ้น พระองค์ทรงทราบว่าทั้งสองคนนี้กล่าวเท็จปรักปรำข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องตายทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดดังที่เขาเหล่านี้กล่าวร้ายปรักปรำข้าพเจ้า”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะที่เขากำลังนำนางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมมีส่วนร่วมในความตายของหญิงผู้นี้” ประชาชนทุกคนหันไปถามเขาว่า “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ดาเนียลยืนอยู่ในหมู่คนทั้งหลาย พูดว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงโง่เขลาเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงตัดสินลงโทษหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งโดยไม่สืบสวนความจริงเสียก่อน จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่านี้เป็นพยานเท็จปรักปรำนาง”
     ประชาชนทุกคนก็รีบกลับไป บรรดาผู้อาวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานั่งกับพวกเรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาดเยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน” ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้วข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถามว่า “ท่านนี่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งชั่ว บัดนี้ บาปที่ท่านเคยทำในอดีตก็ปรากฏให้เห็น ท่านเคยตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ลงโทษคนบริสุทธิ์ และยกโทษให้ผู้ทำผิด ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘อย่าประหารชีวิตผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์’ บัดนี้ ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์” ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำอีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “ท่านนี่เป็นเชื้อสายชาวคานาอัน ไม่ใช่ชาวยูดาห์ ความงดงามหลอกลวงท่าน ตัณหาทำให้ใจของท่านหลงผิดไป ท่านทั้งสองคนเคยทำเช่นนี้กับบุตรหญิงชาวอิสราเอล และเขาเหล่านั้นยอมทำตามใจท่านเพราะความกลัว แต่บุตรหญิงชาวยูดาห์ผู้นี้ทนความชั่วร้ายของท่านไม่ได้ บัดนี้ จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่”
     คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรงช่วยผู้วางใจในพระองค์ให้รอดพ้น เขาทั้งหลายรุมกล่าวโทษผู้อาวุโสทั้งสองคน เพราะดาเนียลทำให้เขาต้องยอมสารภาพว่าได้เป็นพยานเท็จ ประชาชนจึงลงโทษเขาเช่นเดียวกับที่เขาพยายามทำกับผู้อื่น โดยประหารชีวิตคนทั้งสองตามที่ธรรมบัญญัติของโมเสสกำหนดไว้ ในวันนั้นผู้บริสุทธิ์ก็ได้รอดชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 8:1-11
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
     บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อจับผิดพระองค์ หวังจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”


ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงป้องกันหญิงผู้น่าสงสารจากการถูกลงโทษตามแบบฉบับมาตรฐานของชาวยิว เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และพร้อมให้อภัย พระองค์ประณามบาป แต่พระองค์ทรงรักคนบาป และทรงรอคอยการกลับใจของเขา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เตือนสติชาวโลกในยุคปัจจุบันนี้ว่า “พระเจ้าไม่ต้องการให้คนบาปตาย แต่ต้องการให้กลับใจ” และ“อย่าเที่ยววิจารณ์คน โดยไม่มองตนเอง” เยซูเจ้ามักจะทำสิ่งไม่คาดฝันให้เกิดกับชีวิตของเราด้วยพระเมตตาของพระองค์เสมอ

วันพุธที่ 5 เมษายน 2017 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                                ดนล 3:14-20,24-25,28
     กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่เราตั้งไว้ บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้าท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง แล้วพระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้”
     ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระหัตถ์พระองค์ได้ ข้าแต่พระราชา แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น”
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง
     เขาทั้งสามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ พระวินิจฉัยที่ทรงกระทำต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อกรุงเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษ ก็เที่ยงธรรม พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งกับข้าพเจ้าทั้งหลายอย่างถูกต้องแท้จริงเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 8:31-42
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”
     คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป ดังนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”
คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม”
     พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิด แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยทำเช่นนี้เลย ท่านไม่ทำกิจการของอับราฮัม แต่ทำกิจการของบิดาของท่าน”
     คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า”
    พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา

 

ข้อคิด
     บทอ่านทั้งสองของวันนี้ชี้ให้เห็นว่าพระเป็นเจ้ามีอำนาจช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น แต่เนื้อหาในพระวรสารของนักบุญยอห์นที่ว่า “ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” พิสูจน์ว่าอำนาจช่วยให้รอดพ้นของพระเป็นเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสตเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า นั้นก็คือใครก็ตามดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งพระวาจาของพระองค์ก็เป็นศิษย์ของพระองค์ และเดินบนทางแห่งความรอดพ้น เพราะเขาจะไม่หลงผิด “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ย่อมมีชีวิตนิรันดร” (ยน 4.53)

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown