มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 11 เมษายน 2017 วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 49:1-6
     ดินแดนชายทะเลและเกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนที่อยู่สุดแดนไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะแสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน”
แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำงานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ประโยชน์” ถึงกระนั้น รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และค่าตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างข้าพเจ้ามาในครรภ์มารดาให้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เพื่อนำยาโคบกลับมาหาพระองค์ และรวบรวมอิสราเอลมาอยู่กับพระองค์ บัดนี้ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับเกียรติเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นพละกำลังของข้าพเจ้า
     พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ยาโคบขึ้นใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีกครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำมาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 13:21-33,36-38
     เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำสัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผู้ที่พระองค์กำลังตรัสถึงนี้เป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ”
     พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมื่อยูดาสได้รับขนมปังชิ้นนี้แล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านจะทำอะไร ก็จงทำโดยเร็วเถิด” ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ บางคนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซื้อของที่จำเป็นสำหรับวันฉลอง” หรือบอกว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
     เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์ด้วย และจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ทันที ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เราเคยบอกชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
     ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่านยังตามไปเวลานี้ไม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำไมข้าพเจ้าจึงตามพระองค์ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา”

 

ข้อคิด
     ขณะนั่งทานอาหารพร้อมกับบรรดาสาวกนั้น พระเยซูเจ้าทรงเศร้าพระทัย เพราะรู้ว่าเวลาของพระองค์กำลังมาถึง พระองค์รู้ว่าศิษย์คนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยการ “ทรยศ” เพราะเห็นแก่เงิน พระองค์กล่าวว่า “ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” เพื่อเป็นการเตือนสติยูดาสให้กลับใจ เปลี่ยนความคิดของตนเอง ไม่สร้างความร่ำรวยบนชีวิตของคนอื่น พระวรสารวันนี้เตือนสติเราว่า ถ้าหัวใจของเรากำลังคิดร้ายต่อคนที่เรารัก ต่อเพื่อนบ้าน มันต้องมีอะไรผิดปกติในจิตใจ ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ต้องรีบมีการกลับใจ

วันพุธที่ 12 เมษายน 2017 วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 50:4-9
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มน้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ประทานความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคนจะผุพังเหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 26:14-25
     เวลานั้น คนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้แก่ยูดาส ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์
     วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึ่ง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์บอกว่าเวลากำหนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน’” บรรดาศิษย์ก็ทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา
ครั้นถึงเวลาค่ำ พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารพร้อมกับพระเยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อเรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสตอบว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มีเขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว”

 

ข้อคิด
     ยูดัสอิสคาริโอทต่อลองกับบรรดาหัวหน้าสมณะเพื่อเงินสามสิบเหรียญบนชีวิตของพระเยซูเจ้า ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ผลักดันยูดัส “ทรยศ” ต่อพระอาจารย์ สิ่งที่เขาทำเพื่อหลั่งโลหิตผู้บริสุทธิ์นั้นมันไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้อง มันเป็นบาปผิดต่อพระเจ้า ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนต้องพยามหลีกเลี่ยง และทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งจิตใจที่จมปลักอยู่กับเงินของยูดัสไม่ให้เข้าสิ่งในตัวเรา เราจะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพของยูดัส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ผู้ “ทรยศ”

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2017 วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 52:13-53:12
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่องเทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำนวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา บรรดากษัตริย์จะทรงเงียบงันต่อหน้าเขา เพราะจะทรงเห็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยบอก และจะทรงเข้าใจสิ่งที่ไม่ทรงเคยได้ยิน”
     ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่พวกเราได้ยินมา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระอานุภาพให้แก่ผู้ใดบ้าง ผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเติบโตเฉพาะพระพักตร์เหมือนต้นไม้อ่อน เหมือนรากไม้ในดินแห้ง เขาไม่มีความสง่าหรือความงามใดที่จะดึงดูดสายตาของเรา เขาไม่มีหน้าตาที่ชวนมองเลย ทุกคนดูถูกและเหยียดหยามเขา เขาเป็นคนที่ต้องทนทุกข์และต้องเจ็บปวด เป็นเหมือนคนที่ใครๆ เบือนหน้าหนี เขาถูกสบประมาท ไม่มีผู้ใดสนใจเลย โดยแท้จริงแล้ว เขาแบกความทุกข์ทรมานของพวกเรา เขารับความเจ็บปวดของพวกเราไว้ แล้วเรากลับคิดว่าเขาถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ถูกโบยตีและได้รับความอัปยศ เขาถูกแทงเพราะการล่วงละเมิดของพวกเรา ถูกขยี้เพราะความผิดของเรา การลงโทษที่นำสันติสุขมาให้เรากลับตกอยู่กับเขา รอยแผลถูกโบยตีของเขารักษาเราให้หายเป็นปกติ เราทุกคนหลงทางไปเหมือนฝูงแกะ ต่างคนต่างไปตามทางของตน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความผิดของเราทุกคนตกอยู่กับเขา เขายอมรับทุกข์ทรมานและความอัปยศ เขามิได้ปริปากเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า เหมือนแกะที่ไม่ร้องต่อหน้าคนตัดขน เขาถูกจับกุม ถูกพิพากษา และถูกนำไปประหารชีวิต ผู้ร่วมสมัยของเขาคนใดบ้างเป็นห่วงถึงชะตากรรมของเขา เขาถูกพรากไปจากแผ่นดินของผู้มีชีวิต ถูกตีจนตายเพราะการล่วงละเมิดของประชากรของเขา เขาถูกฝังไว้กับคนอธรรม หลุมศพของเขาอยู่กับคนร่ำรวย แต่เขาไม่เคยใช้ความรุนแรงกับผู้ใด ปากของเขาไม่เคยกล่าวมุสา ถึงกระนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยให้เขาถูกขยี้ด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อเขามอบตนเพื่อชดเชยบาป เขาจะได้เห็นลูกหลาน จะมีอายุยืน เขาจะทำให้พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จไป
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า “หลังจากที่เขาประสบความทรมานแล้ว เขาจะได้เห็นแสงสว่างและจะพอใจ ความรู้ของผู้รับใช้ที่ชอบธรรมของเรา จะนำความชอบธรรมมาให้คนจำนวนมาก เขาจะรับความผิดของคนทั้งหลายไว้เอง ดังนั้น เราจะมอบคนจำนวนมากให้เป็นส่วนมรดกของเขา เขาจะได้แบ่งของเชลยกับบรรดาผู้ทรงอำนาจ เพราะเขายอมตาย ยอมให้ทุกคนคิดว่าเป็นผู้ล่วงละเมิด แต่ที่จริง เขาแบกบาปของคนทั้งปวง และวอนขอแทนบรรดาผู้ล่วงละเมิด”

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                    ฮบ 4:14-16,5:7-9
     พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้าพระบุตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะเหตุว่าเราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระหรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลขอ คร่ำครวญและร่ำไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าทรงฟังเพราะความเคารพยำเกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 18:1-19:42
     เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับบรรดาศิษย์ที่นั่นบ่อยๆ ยูดาสนำกองทหารและยามรักษาพระวิหารที่บรรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสีจัดหาให้มาที่นั่น ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปตรัสถามเขาเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็น” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราเป็น” เขาเหล่านั้นก็ถอยหลัง ล้มลงกับพื้นดิน พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเป็น ถ้าท่านเสาะหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไป” ดังนี้ พระวาจาที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้จึงเป็นจริงว่า บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้ผู้ใดพินาศเลย”
     ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักดาบออกมา ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ถูกใบหูข้างขวาขาด ผู้รับใช้คนนั้นชื่อมัลคัส แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “เก็บดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มจากถ้วยที่พระบิดาประทานให้เราหรือ”
     กองทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์ นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นบิดาภรรยาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำแก่ชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
     ซีโมนเปโตรตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้นออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย หญิงเฝ้าประตูถามเปโตรว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของชายผู้นี้ด้วยหรือ” เปโตรตอบว่า “ไม่เป็น” บรรดาผู้รับใช้และยามนำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย
   มหาสมณะซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์และคำสั่งสอนของพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอในศาลาธรรมและในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยพูดสิ่งใดเป็นความลับ ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราบอกสิ่งใดกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดสิ่งใด” เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะได้หรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม” อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาส
     ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยถามเขาว่า “ท่านไม่เป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “ไม่เป็น” ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรฟันใบหูขาดพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ” เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ไก่ก็ขัน
     เขาเหล่านั้นนำพระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการ ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ คนเหล่านั้นไม่เข้าไปในจวน เพื่อมิให้เป็นมลทินแก่ตน จะได้กินปัสกาได้ ปีลาตจึงออกมาพบเขาข้างนอก ถามว่า “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้” เขาตอบว่า “ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เราคงไม่นำมามอบให้ท่าน” ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงนำเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราไม่มีอำนาจประหารชีวิตผู้ใด” ดังนี้ พระวาจาของพระเยซูเจ้าจึงเป็นจริงตามที่ตรัสไว้ล่วงหน้าว่า พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์อย่างไร
     ปีลาตกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” ปีลาตตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวหรือ ชนชาติของท่าน และบรรดาหัวหน้าสมณะมอบท่านให้ข้าพเจ้า ท่านทำผิดสิ่งใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้” ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหม” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์นั้นถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา” ปีลาตจึงถามว่า “ความจริงคืออะไร” พูดดังนี้แล้ว เขาก็กลับออกมาพบชาวยิวข้างนอกอีก พูดว่า “ข้าพเจ้าไม่พบข้อกล่าวหาอะไรกล่าวโทษชายผู้นี้ได้ แต่ท่านทั้งหลายมีธรรมเนียมให้ปล่อยนักโทษคนหนึ่งในเทศกาลปัสกา ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” เขาเหล่านั้นจึงร้องตะโกนว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบัส” บารับบัสผู้นี้เป็นโจร
     ปีลาตสั่งให้นำพระเยซูเจ้าไปเฆี่ยน บรรดาทหารนำกิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ทรงเสื้อคลุมสีม่วงแดง ทหารเข้ามาหาพระองค์และพูดว่า “กษัตริย์ของชาวยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วตบพระพักตร์พระองค์
ปีลาตออกมาข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ดูเถิด เรานำชายผู้นี้ออกมาให้ท่านรู้ว่าเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด” แล้วพระเยซูเจ้าเสด็จออกมาข้างนอก ทรงมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วงแดง ปีลาตพูดกับประชาชนว่า “นี่คือ คนคนนั้น” เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและยามรักษาพระวิหารเห็นพระองค์ก็ตะโกนว่า “เอาไปตรึงกางเขน เอาไปตรึงกางเขน” ปีลาตสั่งว่า “ท่านทั้งหลาย จงนำเขาไปตรึงกางเขนกันเองเถิด เพราะเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด ชาวยิวตอบว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้น เขาต้องตาย เพราะตั้งตนเป็นบุตรของพระเจ้า”
     เมื่อปีลาตได้ยินถ้อยคำนี้ ก็มีความกลัวมากขึ้น จึงเข้าไปในจวนอีก ถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านมาจากไหน” พระเยซูเจ้าไม่ตรัสตอบแต่ประการใด ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ท่านไม่อยากพูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่า เรามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะตรึงกางเขนท่านก็ได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่มีอำนาจใดเหนือเราเลย ถ้าท่านมิได้รับอำนาจนั้นมาจากเบื้องบน ดังนั้น ผู้ที่มอบเราให้ท่านก็มีบาปมากกว่า”
     นับตั้งแต่นั้น ปีลาตพยายามหาทางปล่อยพระองค์ ชาวยิวตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยผู้นี้ไป ท่านก็ไม่เป็นมิตรของพระจักรพรรดิ ผู้ใดตั้งตนเป็นกษัตริย์ ก็เป็นศัตรูของพระจักรพรรดิ” เมื่อปีลาตได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ จึงสั่งให้นำพระเยซูเจ้าออกมาข้างนอก ให้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาในสถานที่ที่เรียกว่า “ลานศิลา” ภาษาฮีบรูว่า กับบาธา วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองปัสกา เวลาประมาณเที่ยงวัน ปีลาตบอกชาวยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย” เขาเหล่านั้นตะโกนว่า “เอาตัวไป เอาตัวไปตรึงกางเขน” ปีลาตถามเขาว่า “จะให้เราตรึงกางเขนกษัตริย์ของท่านหรือ” บรรดาหัวหน้าสมณะตอบว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่น นอกจากพระจักรพรรดิ” ปีลาตจึง มอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำไปตรึงกางเขน
     บรรดาทหารนำพระเยซูเจ้าไปประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียกว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสองคน อยู่คนละข้าง พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตรงกลาง ปีลาตเขียนป้ายประกาศติดไว้บนไม้กางเขนเป็นข้อความว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” ชาวยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายประกาศนี้เพราะสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายประกาศนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก บรรดาหัวหน้าสมณะของชาวยิวกล่าวกับปีลาตว่า "อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่จงเขียนว่าคนนี้ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’” ปีลาตตอบว่า “เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”
     เมื่อบรรดาทหารตรึงพระเยซูเจ้าแล้ว ก็นำฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน นำไปคนละส่วน ส่วนเสื้อยาวของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอดตั้งแต่คอจนถึงชายเสื้อ เขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าแบ่งเสื้อตัวนี้เลย เราจับสลากกันเถิด ดูว่าใครจะได้” ดังนี้ ก็เป็นจริงตามพระคัมภีร์ ที่ว่า “พวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกัน และจับสลากเสื้อยาวของข้าพเจ้า” บรรดาทหารก็ทำเช่นนี้
     พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” ตั้งแต่เวลานั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็นจริงด้วย
ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำองุ่นเปรี้ยวจนเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์
วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงและนำศพไป บรรดาทหารทุบขาคนทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกาย โลหิตและน้ำก็ไหลออกมาทันที ผู้ที่ได้เห็นก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขารู้ว่าตนพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า
“กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว”
และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า
“เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง”
หลังจากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นศิษย์ลับๆ คนหนึ่งของพระเยซูเจ้าเพราะกลัวชาวยิว ขออนุญาตปีลาตอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าลง ปีลาตก็อนุญาต เขาจึงมาอัญเชิญพระศพลง นิโคเดมัสซึ่งก่อนนั้นเคยมาเฝ้าพระองค์เวลากลางคืนก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมที่ผสมด้วยมดยอบและว่านหางจระเข้ หนักประมาณหนึ่งร้อยปอนด์ ทั้งสองคนอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้า ใช้ผ้าพันพระศพพร้อมกับใส่เครื่องหอมตามประเพณีฝังศพของชาวยิว สถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองของชาวยิว และคูหาอยู่ใกล้

 

ข้อคิด
     วันนี้เป็นวันระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าบนกางเขน การสิ้นพระชนม์อันต่ำต้อยเหมือนอย่างนักโทษของพระองค์นำความรอดพ้นมาสู่ปวงมนุษย์ ความตายบนไม้กางเขนของพระองค์มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ พระองค์เสด็จลงมารับเอาสภาพเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อความรอดพ้นของเรา หัวหน้าสมณะ ชาวสะดูสี ชาวฟาริสี คณะธรรมาจารย์ และทหารโรมันนำพระองค์ไปตรึงกางเขนก็จริง แต่สาเหตุที่แท้จริงคือบาปของเรา พระสันตะปาปาฟรังซิสกล่าวว่า “เราต้องภาวนาและเป็นทุกข์ถึงบาป ถึงจะเข้าใจธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขน”

วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2017 วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                             อพย 12:1-8,11-14
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็นเดือนแรกสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึ่งสำหรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว แต่ถ้าครอบครัวเล็กเกินไป กินลูกแกะไม่หมด จงเชิญเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงมากินด้วย ตามจำนวนคน การเลือกลูกแกะนั้นจงคำนึงว่า แต่ละคนกินได้เท่าไร ลูกแกะนั้นต้องไม่มีตำหนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี จะเลือกลูกแพะแทนลูกแกะก็ได้ จงจับมันเลี้ยงไว้จนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้นในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบ้านที่จะกินลูกแกะนั้น คืนนั้น จงย่างเนื้อสัตว์นั้น แล้วกินกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม
     ท่านทั้งหลายจงกิน โดยพร้อมที่จะเดินทาง คือคาดสะเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้า ท่านจงกินอย่างเร่งรีบ นี่เป็นปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในคืนนั้น เราจะผ่านเข้าไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และประหารชีวิตบุตรคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งของคนและสัตว์ เราจะลงโทษเทพเจ้าทั้งหมดของอียิปต์ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เลือดที่กรอบประตูจะเป็นเครื่องหมายว่าเป็นบ้านที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำลาย ขณะที่เราลงโทษแผ่นดินอียิปต์ วันนี้จะเป็นวันที่ท่านทั้งหลายต้องจดจำไว้ ท่านต้องถือเป็นวันฉลองถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องฉลองเช่นนี้เป็นกฎถาวรชั่วลูกชั่วหลาน”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง     1 คร 11:23-26
     พี่น้อง ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ท่าน คือในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารค่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 13:1-15
     ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา พระองค์ทรงรักผู้ที่เป็นของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
     ระหว่างการเลี้ยงอาหารค่ำ ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้าและกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้
     เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ”ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า เขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน” ทั้งนี้ทรงทราบว่า ใครกำลังทรยศต่อพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน”
     เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำอะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน

 

ข้อคิด
     เป็นการดีหากคริสตชนจะตระหนักเสมอว่า เรามีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาจารย์ของตน ศิษย์ที่ดีย่อมรักและเลียนแบบอย่างของ “อาจารย์” พระเยซูเจ้าทรงสอนเราด้วยแบบอย่างทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ ในพระวรสารวันนี้พระองค์บอกว่า “เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว” แม้คริสตชนไม่อาจประพฤติปฏิบัติตามแบบฉบับของพระเยซูเจ้าได้ทุกกระบวนท่า ก็ขอให้เราติดตามพระองค์ผู้เป็นอาจารย์ของเราใกล้ชิดที่สุดเท่าที่ทำได้ ฉะนั้นให้เราก้าวเดินในแต่ละวันด้วยพระหรรษทาน เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน 2017 วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม     รม 6:3-11
     พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อว่าร่างกายที่ใช้ทำบาปของเราจะถูกทำลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป
     แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับพระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะไม่สิ้นพระชนม์อีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป เพราะเมื่อสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อพระเจ้า ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 28:1-10
     หลังจากวันสับบาโต เช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกผู้หนึ่งไปดูพระคูหา ทันใดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย
     ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน”
     สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์
ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น”

 

ข้อคิด
     การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า เป็นชัยชนะเด็ดขาดเหนือความตาย เป็นชัยชนะที่เราก็จะได้รู้จักสักวันหนึ่ง ดั่งนักบุญเปาโลเขียนให้เรามั่นใจในบทอ่านที่หนึ่งว่า “ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นกัน” และ อีกตอนหนึ่งว่า “พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในตัวท่าน” (รม 8.11) จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชื่อของเรา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown