มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                            บสร 2:1-11
     ลูกเอ๋ย ถ้าท่านปรารถนาจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จงเตรียมตัวรับการทดลองเถิดจงมีใจเที่ยงตรงและมั่นคงอย่าตกใจเมื่อตกทุกข์ได้ยากจงยึดพระองค์ไว้ อย่าพรากจากพระองค์ไปเลยเพื่อท่านจะได้รับเกียรติในวันสุดท้ายของท่านจงยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านจงพากเพียรเมื่อต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเพราะทองคำต้องถูกทดลองในไฟฉันใดผู้ที่พระเจ้าพอพระทัยก็ต้องรับการทดลองให้ตกต่ำประหนึ่งอยู่ในไฟฉันนั้นจงวางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงช่วยเหลือท่านจงเดินตามทางตรง และมีความหวังในพระองค์เถิดท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงรอรับพระเมตตาอย่าเดินนอกทาง เพื่อจะไม่ต้องล้มท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงวางใจพระองค์แล้วรางวัลของท่านจะไม่หลุดมือไปท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงหวังรับสิ่งดีความสุขนิรันดร และพระเมตตาจากพระองค์จงพิจารณาคนรุ่นก่อนๆว่ามีใครบ้างที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วต้องผิดหวังมีใครบ้างที่ยำเกรงพระองค์อย่างมั่นคงแล้วถูกทอดทิ้งมีใครบ้างที่เรียกขานให้พระองค์ทรงช่วยแล้วพระองค์ไม่ทรงเหลียวแลเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระทัยสงสารและเมตตาทรงอภัยบาปและทรงช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์ร้อน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 9:30-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ผ่านแคว้นกาลิลีพระองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์และตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลายเขาจะประหารชีวิตพระองค์แต่เมื่อถูกประหารแล้วในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้แต่ก็ไม่กล้าทูลถาม
      พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์เมื่อเสด็จเข้าไปในบ้านพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านถกเถียงกันเรื่องอะไรขณะที่เดินทาง” เขาก็นิ่งเพราะระหว่างทางเขาถกเถียงกันว่าผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ากันพระองค์จึงประทับนั่งแล้วทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่งก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้ายและเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” ครั้นแล้วพระองค์ทรงจูงเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนกลางกลุ่มพวกเขาทรงโอบเด็กนั้นไว้ตรัสว่า“ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็กๆเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเราและผู้ใดที่ต้อนรับเราก็มิใช่ต้อนรับเพียงเราเท่านั้นแต่ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามาด้วย”

 

ข้อคิด
     วันนี้พระเยซูเจ้าทรงทำนายถึงพระทรมานที่พระองค์จะทรงรับ บนโลกนี้คงไม่มีใครที่ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตใจมากกว่าพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงทำนายถึงไม่เพียงพระทรมานและการสิ้นพระชนม์เท่านั้น แต่การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ด้วย พระองค์ทรงมอบชีวิตแด่พระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระบิดาได้ทรงตอบสนองกิจการแห่งความนบนอบสูงสุดของพระองค์ด้วยการทำให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม พระเยซูเจ้าทรงผ่านจากความโศกเศร้าไปสู่ความยินดี จากความทุกข์ยากลำบากสู่พระสิริรุ่งโรจน์ จากความตายสู่ชีวิตในยามที่เราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากให้เรามองดูชีวิตของพระเยซูเจ้าด้วยความเชื่อ แล้วเราจะพบว่าความไว้วางใจในพระบิดาของพระองค์ไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังเลย ความไว้วางใจของเราในพระเจ้าก็จะไม่มีวันผิดหวังเช่นเดียวกัน

 

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2017 ฉลองธรรมาสน์นักบุญเปโตร อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง           1 ปต5:1-4
    พี่น้องที่รัก โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นพยานถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้าและมีส่วนจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลายจงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่านจงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ดูแลด้วยความจำใจจงดูแลด้วยความสมัครใจมิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างจงเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะมิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเมื่อพระคริสตเจ้าพระผู้เลี้ยงสูงสุดจะทรงสำแดงพระองค์ท่านจะได้รับสิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                        มธ16:13-19
    เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้างบ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
    พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้าพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์นท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยเราบอกท่านว่าท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วยทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”

 

ข้อคิด
     ในภาษากรีกคำว่า “เปโตร” แปลว่า “ศิลา” ดังนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเรียกซีโมนว่า “เปโตร” พระองค์ทรงกำลังบอกว่าท่านเป็นคนที่มั่นคงและเข้มแข็งดุจศิลา เป็นบางสิ่งที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นฐานของสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ก่อนหน้านี้พระเยซูเจ้าทรงพูดเป็นอุปมาว่าคนมีปัญญาสร้างบ้านไว้บนศิลา เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว และลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านจะไม่พัง เพราะมีฐานที่มั่นคงอันที่จริง เปโตรไม่ใช่คนที่มั่นคงเข้มแข็งเท่าใดนัก ท่านอ่อนแอมากจนกระทั่งปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึงสามครั้งอย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงเลือกท่านให้เป็นฐานที่มั่นคงและเข้มแข็งของพระศาสนจักรและพระองค์ทรงมั่นใจในการเลือกครั้งนี้มากจนถึงกับให้คำมั่นสัญญาต่อไปอีกว่า “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” (มธ16:18) พระองค์ทรงมั่นใจว่าเมื่อกระแสน้ำเชี่ยวทะลักเข้ามาและลมพายุพัดโหมกระหน่ำเข้าใส่พระศาสนจักรจะสามารถยืนหยัดตั้งมั่นและไม่มีวันพังทลายลง เพราะตั้งมั่นอยู่บน “เปโตร”หรือ “ศิลา”นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                            บสร 6:5-17
     ปากหวานทวีจำนวนมิตรสหายวาจาสุภาพส่งเสริมอัธยาศัยไมตรีมีมิตรมากไว้เป็นการดีแต่จงมีที่ปรึกษาเพียงคนเดียวในพันคนถ้าท่านต้องการมีเพื่อน จงลองใจเขาก่อนอย่าด่วนไว้ใจเขาบางคนเป็นเพื่อนเมื่อได้ประโยชน์แต่เมื่อท่านลำบาก เขาก็หายหน้าไปมิตรบางคนกลายเป็นศัตรูและนำการวิวาทกับท่านไปโพนทะนาให้ท่านต้องอับอายบางคนเป็นเพื่อนกินแต่เมื่อท่านลำบาก เขาก็หายหน้าไปเมื่อทุกอย่างราบรื่น เขาก็เป็นเพื่อนคู่ใจทำตนเป็นนาย บังอาจสั่งผู้รับใช้ของท่านแต่เมื่อท่านตกอับ เขาก็จะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับท่านคอยหลีกเลี่ยงไม่พบหน้าท่านจงอยู่ห่างจากศัตรูของท่านและจงคอยระวังเพื่อนของท่านเพื่อนซื่อสัตย์เป็นที่ปกป้องแข็งแรงใครพบมิตรเช่นนี้ก็เหมือนได้พบสมบัติเพื่อนซื่อสัตย์หาค่ามิได้ไม่มีมาตรใดวัดค่าของเขาได้เพื่อนซื่อสัตย์เป็นเสมือนยาอายุวัฒนะผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นจะพบเขาได้ผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมรักษามิตรภาพอย่างมั่นคงเขาเป็นเช่นใด เพื่อนของเขาก็เป็นเช่นนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                 มก 10:1-12
   เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนประชาชนมาเฝ้าพระองค์อีกครั้งหนึ่งพระองค์จึงทรงสอนเขาอีกเช่นเคยชาวฟาริสีบางคนทูลถามหวังจะจับผิดพระองค์ว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่ากับภรรยา” พระองค์ตรัสตอบว่า “โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร”เขาทูลตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าร้างและหย่ากันได้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่านโมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้ไว้แต่เมื่อแรกสร้างโลกนั้นพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิงดังนั้นชายจะละบิดามารดาและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกันดังนี้เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้อเดียวกันดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้มนุษย์อย่าแยกเลย” เมื่อกลับเข้าไปในบ้านแล้วบรรดาศิษย์ทูลถามถึงเรื่องนี้อีกพระองค์จึงตรัสตอบว่า “ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่งก็ทำผิดประเวณีต่อภรรยาคนเดิมและถ้าหญิงคนหนึ่งหย่ากับสามีไปแต่งงานกับอีกคนหนึ่งก็ทำผิดประเวณีเช่นเดียวกัน”

 

ข้อคิด
    ปัจจุบันนี้ในแทบทุกประเทศสถิติการหย่าร้างของคู่สมรสพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปรกติ แม้แต่ในแวดวงคาทอลิกของเรา ในฐานะศิษย์ของพระเยซูเจ้าเราควรยอมรับเรื่องปรกติสำหรับคนทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? แน่นอน ไม่ จำไว้เสมอคือ ไม่มีคำว่า “การหย่าร้าง” อยู่ในพจนานุกรมของพระเจ้าสำหรับคาทอลิกที่แต่งงานอย่างถูกต้อง พระศาสนจักรอนุญาตให้บางคนแต่งงานใหม่ได้เฉพาะในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าการแต่งงานของเขาที่ผ่านมาไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะเท่านั้น พระศาสนจักรถือว่าการแต่งงานของคาทอลิกเป็นการแสดงออกแบบมนุษย์ของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราผู้ซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ซึ่งเป็นความรักที่ไร้เงื่อนไขและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความรักที่สามีและภรรยามีต่อกันจึงต้องเป็นความรักแท้ที่ปราศจากเงื่อนไขและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหามากมายในชีวิตก็ตาม

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2017 ระลึกถึง น.โปลีการ์ป พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                            บสร5:1-8
      อย่าวางใจในทรัพย์สมบัติของท่านอย่าพูดว่า “ฉันไม่ต้องพึ่งใคร”อย่าคล้อยตามความโน้มเอียงและกำลังของท่านจนทำทุกอย่างที่ใจปรารถนาอย่าพูดว่า “ใครจะมามีอำนาจเหนือฉัน”เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษท่านอย่างแน่นอนอย่าอวดว่า “ฉันทำบาปก็ไม่เห็นเป็นไร”เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักคอยเวลาของพระองค์อย่ามั่นใจว่าจะได้รับอภัยจนทำบาปมากยิ่งขึ้นอย่าพูดว่า “พระเมตตาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนักพระองค์จะทรงอภัยบาปมากมายของฉัน”เพราะพระองค์ทั้งทรงให้อภัยและทรงลงโทษพระองค์จะทรงลงโทษคนบาปเมื่อใดก็ได้อย่ารีรอที่จะกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและอย่าผัดวันประกันพรุ่งเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษโดยฉับพลันและท่านจะพินาศในวันพิพากษาอย่าวางใจในทรัพย์สมบัติที่ได้มาอย่างอยุติธรรมทรัพย์สินเช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์ในวันเคราะห์ร้าย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 9:41-50
       เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า
     “ผู้ใดให้น้ำท่านดื่มเพียงแก้วหนึ่งเพราะท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้าเราบอกความจริงกับท่านว่าเขาจะได้บำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”
   “ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำบาปถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ถ่วงในทะเลก็ยังดีกว่ากระทำดังกล่าวถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาปจงตัดมันทิ้งเสียท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีมือข้างเดียวยังดีกว่ามีมือทั้งสองข้างแต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่รู้ดับถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาปจงตัดมันทิ้งเสียท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีเท้าข้างเดียวยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ถูกโยนลงนรกถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาปจงควักมันออกเสียท่านจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงนรกที่นั่นหนอนไม่รู้ตายไฟไม่รู้ดับเพราะทุกคนจะถูกดองด้วยเกลือและไฟเกลือเป็นสิ่งดีแต่ถ้าเกลือจืดท่านจะนำสิ่งใดมาทำให้เกลือเค็มได้อีกจงมีเกลือไว้ในท่านเถิดและจงอยู่อย่างสันติกับผู้อื่น”

 

ข้อคิด
     เหมือนคนทั่วไปในสมัยนั้น พระเยซูเจ้าทรงใช้สำนวนโวหารที่เรียกว่า “การกล่าวเกินจริง” ซึ่งนิยมใช้กัน เพื่อเน้นความสำคัญและความจำเป็นของสิ่งที่ต้องการบอกผู้ฟัง แน่นอน เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย” (มก 9:43) หรือ “ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย” (มก 9:45) หรือ “ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย” (มก 9:47) พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการให้เราตัดมือ ตัดเท้า หรือควักลูกตาของเราออกเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะนั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและตรงประเด็น อวัยวะภายนอกดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นต้นตอของบาป จริงๆ แล้วบาปมีต้นกำเนิดอยู่ในจิตใจของเรามากกว่า สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการบอกเราคือ เราต้องพยายามทุกวิถีทางและพร้อมที่จะตัดขาดจากทุกอย่างที่อาจเป็นสาเหตุให้เราทำบาปหนักซึ่งจะทำให้เราสูญเสียชีวิตนิรันดร

 

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                          บสร17:1-15
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตสร้างมนุษย์จากดินและทรงบันดาลให้เขากลับเป็นดินอีกพระองค์ทรงกำหนดวันและเวลาไว้แก่มนุษย์ทรงมอบอำนาจเหนือทุกสิ่งบนแผ่นดินให้เขาประทานให้มนุษย์มีกำลังเหมือนพระองค์ทรงเนรมิตเขาตามภาพลักษณ์ของพระองค์ทรงบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายเกรงกลัวมนุษย์ มนุษย์จะได้เป็นนายปกครองสัตว์ป่าและนกทั้งปวงพระองค์ประทานความคิด ลิ้น ตา หู และใจแก่มนุษย์เพื่อเขาจะรู้จักคิดพระองค์โปรดให้เขามีความรู้และความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมทรงชี้นำให้เขารู้จักความดีและความชั่วพระองค์ประทานแสงสว่างของพระองค์ในจิตใจของเขาทรงสำแดงให้เขาเห็นความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระองค์มนุษย์จะได้สรรเสริญพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และบอกเล่าความยิ่งใหญ่แห่งพระราชกิจของพระองค์พระองค์ประทานความรู้แก่เขาทรงมอบกฎแห่งชีวิตเป็นมรดกแก่เขาทรงกระทำพันธสัญญานิรันดรกับเขาทรงเผยให้เขารู้จักบทบัญญัติของพระองค์ตาของเขาได้ชมพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่หูของเขาได้ยินพระสุรเสียงดังกังวานของพระองค์พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “จงละเว้นความอยุติธรรมทั้งปวง”ประทานบทบัญญัติให้แต่ละคนปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านความประพฤติของมนุษย์อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอไม่ซ่อนพ้นสายพระเนตรไปได้เลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 10:13-16
    เวลานั้น มีผู้นำเด็กเล็กๆมาเฝ้าพระเยซูเจ้าเพื่อทรงสัมผัสอวยพรแต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้นเมื่อทรงเห็นเช่นนี้พระองค์กริ้วตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิดอย่าห้ามเลยเพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้เราบอกความจริงกับท่านว่าผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆเขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย” แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเหล่านั้นไว้ทรงปกพระหัตถ์และประทานพระพร

 

ข้อคิด
        เมื่อพูดถึงเด็กๆ เรามักจะนึกถึงความน่ารัก ความร่าเริงแจ่มใส และความไร้เดียงสาของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้คำพูดและการกระทำของเด็กๆ มีพลังมาก สิ่งนั้นคือ ความเชื่อซึ่งแสดงออกมาให้เห็นในความมั่นใจในความรักและความเอาใจใส่ของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขา ในความคิดของเด็กๆ ไม่มีสิ่งใดที่พ่อแม่จะทำเพื่อพวกเขาไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ถ้าพวกเขามีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง นี่แหละคือ ลักษณะของ “ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” (มธ18:1) ตามทรรศนะของพระเยซูเจ้า กล่าวคือ ใครก็ตามที่อยากเข้าอาณาจักรสวรรค์ เขาคนนั้นต้องมีความเชื่อนั่นคือ ความมั่นใจในความรักและพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า แม้ว่าหลายครั้งเขาอาจมองไม่เห็นความจริงประการนี้ เพราะเหตุการณ์เลวร้ายหรือมรสุมชีวิตกำลังประดังเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสายก็ตาม

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown