มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2017 แม่พระประจักษ์ที่เมืองลูร์ด

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก3:9-24
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า “ท่านอยู่ไหน” มนุษย์ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ในสวน ก็กลัวเพราะข้าพเจ้าเปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัว” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครบอกท่านว่าท่านเปลือยกายอยู่ ท่านได้กินผลจากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ” มนุษย์ทูลตอบว่า “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพเจ้าได้ให้ผลจากต้นไม้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับหญิงว่า “ท่านทำอะไรไป” หญิงทูลตอบว่า “งูหลอกลวงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสกับงูว่า “เพราะเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจงถูกสาปแช่ง ในบรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าทั้งปวงเจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยไปตามพื้นดิน และกินฝุ่นเป็นอาหารทุกวันตลอดชีวิต เราจะทำให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของนางเป็นศัตรูกันด้วยเขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขา”
      พระเจ้าตรัสกับหญิงว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ทรมานในการคลอดบุตรแก่ท่านท่านจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ท่านจะใฝ่หาสามี แต่เขาจะเป็นนายเหนือท่าน”
      พระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า “เพราะท่านได้ฟังเสียงของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กิน แผ่นดินจะถูกสาปแช่งเพราะท่าน ท่านจะต้องหากินจากแผ่นดินด้วยความทุกข์ยากทุกวันตลอดชีวิต แผ่นดินจะผลิตต้นหนามและกอหนามและท่านจะกินพืชที่งอกในทุ่งนา ท่านจะมีอาหารกินก็ด้วยหยาดเหงื่อบนใบหน้า จนกว่าท่านจะกลับเป็นดินอีกเพราะท่านถูกปั้นมาจากดิน ท่านเป็นฝุ่นดิน และจะกลับไปเป็นฝุ่นดินอีก”
     มนุษย์เรียกภรรยาของตนว่า “เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของผู้มีชีวิตทั้งหลายองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาหนังสัตว์มาทำเสื้อให้มนุษย์และภรรยาสวมปกปิดกาย แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “ดูซิ มนุษย์มารู้ดีรู้ชั่วเหมือนเราผู้หนึ่งแล้ว บัดนี้อย่าปล่อยให้เขายื่นมือมาเด็ดผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วย แล้วมีชีวิตตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงขับไล่เขาออกจากสวนเอเดน ให้ออกไปเพาะปลูกในที่ดินซึ่งเขาถูกปั้นมา พระองค์ทรงขับไล่มนุษย์และทรงตั้งบรรดาเครูบผู้ถือดาบเพลิงส่องแสงแปลบปลาบไว้ทางตะวันออกของสวนเอเดน เพื่อเฝ้าทางไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 8:1-10
  ครั้งนั้นประชาชนจำนวนมากชุมนุมกันอีกและไม่มีอะไรกินพระองค์จึงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสกับเขาว่า“เราสงสารประชาชนเพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้วและเวลานี้ไม่มีอะไรกินถ้าเราให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไรเขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทางเพราะมีหลายคนเดินทางมาจากที่ไกล” บรรดาศิษย์จึงทูลตอบว่า “ใครจะหาอาหารในที่เปลี่ยวเช่นนี้มาให้คนเหล่านี้กินจนอิ่มได้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อน” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นดินทรงหยิบขนมปังเจ็ดก้อนนั้นตรัสขอบพระคุณพระเจ้าแล้วทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายเขาก็แจกจ่ายขนมปังให้ประชาชนเขายังมีปลาตัวเล็กๆอยู่บ้างพระองค์ทรงกล่าวถวายพระพรพระเจ้าทรงสั่งให้แจกจ่ายปลาเช่นเดียวกันทุกคนกินจนอิ่มและยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้าผู้ที่กินขนมปังและปลามีประมาณสี่พันคนพระองค์ทรงส่งเขากลับไปแล้วพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปยังบริเวณเมืองดาลมานูธาทันที

 

ข้อคิด
    พระวรสารวันนี้ทำให้เราเห็นพระเมตตาของพระเยซูเจ้าต่อประชาชนที่ติดตามพระองค์ แต่บรรดาศิษย์ของพระองค์กับมีความวิตกกังวลว่าจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้ พวกเขาขาดความเชื่อและความไว้ใจในองค์พระเยซูเจ้า เพราะการที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าเราต้องดูแลคนเหล่านี้ ยิ่งทำให้พวกเขายิ่งกังวลและก็เกินความสามารถที่จะทำด้วย แต่เพราะการที่พวกเขาฟังพระองค์และกระทำตามสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้สำหรับพระองค์ และพวกเขาได้เชื่อ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                            บสร15:15-20
       ถ้าท่านต้องการ ท่านก็ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ ท่านจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่าน พระองค์ทรงวางน้ำกับไฟไว้ต่อหน้าท่าน ท่านต้องการสิ่งใดก็จงยื่นมือหยิบด้วยตนเอง ทั้งชีวิตและความตายอยู่ต่อหน้ามนุษย์ เขาเลือกสิ่งใดก็จะได้รับสิ่งนั้น พระปรีชาญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสรรพานุภาพและทรงเห็นทุกสิ่ง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้ยำเกรงพระองค์ ทรงรู้กิจการทุกอย่างของมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงบัญชาผู้ใดให้เป็นคนอธรรม พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดทำบาป

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง                 1 คร2:6-10
     พี่น้อง เราพูดถึงปรีชาญาณในหมู่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแต่มิใช่ปรีชาญาณของโลกนี้หรือของผู้ปกครองโลกนี้ซึ่งกำลังจะสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณของพระเจ้า เป็นธรรมล้ำลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำหรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา ไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ปกครองโลกนี้ล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์แต่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์” นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้โดยทางพระจิตเจ้า เพราะพระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล้ำของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ5:17-37
        เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า
      “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์
         เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย
        ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูงผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย
        ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก
       มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็เท่ากับทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย
       ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์
         อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้ ท่านจงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำพูดที่มากไปกว่านั้นมาจากปีศาจ”

 

ข้อคิด
        สำหรับพระองค์การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติไม่เป็นการเพียงพอผู้ที่เป็นศิษย์ของพระองค์จำเป็นจะต้องเข้าถึงความหมายที่ว่าธรรมบัญญัติตั้งอยู่บนความรัก ความเมตตา การรักษาธรรมบัญญัติโดยปราศจากความรักความเมตตาจึงเป็นเหมือนกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณพระองค์ทรงชมเชยบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีในการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติแต่พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาที่ไม่ถือปฏิบัติตามจิตตารมย์ของธรรมบัญญัติเพราะพวกเขาถือตามกฎเกณฑ์แต่เพียงภายนอกเพื่อสนองตอบความพึงพอใจของตนเองแต่ไม่ได้เข้าถึงรากของความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมาปฏิบัติในชีวิตจริง

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2017 ระลึกถึง น.ซีริล นักบวช และ น.เมโทดิโอ พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก6:5-8,7:1-5,10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และใจของเขาคิดแต่สิ่งชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสียพระทัยที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน และเศร้าพระทัยจึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราสร้างมานี้ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ สัตว์เลื้อย คลานหรือนกในท้องฟ้า เพราะเรารู้สึกเสียใจที่ได้สร้างมา” แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
       องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “ท่านจงเข้าไปในเรือ พร้อมกับครอบครัวของท่าน เพราะในท่ามกลางคนร่วมสมัย เราเห็นว่าท่านเท่านั้นเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าเรา ท่านจงเอาสัตว์ทุกชนิดที่ไม่มีมลทินไปด้วยอย่างละเจ็ดคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และสัตว์ที่มีมลทินอย่างละคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และจงเอานกในท้องฟ้าอย่างละเจ็ดคู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อช่วยชีวิตสัตว์ไว้ให้สืบพันธุ์ทั่วแผ่นดิน อีกเจ็ดวัน เราจะทำให้ฝนตกบนแผ่นดินสี่สิบวันสี่สิบคืน และเราจะทำลายล้างสัตว์มีชีวิตทั้งหมดที่เราได้สร้างไปจากพื้นแผ่นดิน” โนอาห์ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาทุกประการเจ็ดวันต่อมา น้ำวินาศก็เริ่มท่วมแผ่นดิน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 8:14-21
      เวลานั้น บรรดาศิษย์ลืมนำขนมปังไปด้วยและในเรือของเขามีขนมปังเหลือเพียงก้อนเดียวพระเยซูเจ้าทรงกำชับเขาว่า “จงระวังให้ดีจงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสีและเชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด” บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า “นี่เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง” พระเยซูเจ้าทรงทราบจึงตรัสว่า “ทำไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปังท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือมีตาแต่ไม่เห็นมีหูแต่ไม่ได้ยินหรือท่านจำไม่ได้หรือว่าเมื่อเราบิขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคนท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง” เขาตอบว่า “สิบสองกระบุง” “เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคนท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า” เขาทูลตอบว่า “เจ็ดตะกร้า” แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ”

 

ข้อคิด
      ผลของการที่มนุษย์ไม่ได้ฟังเสียงของพระ บาปจึงเข้ามาครอบงำจิตใจของเรามนุษย์  จึงเป็นเหตุให้มนุษย์ตกในบาป โดยที่เราใช้อิสรภาพที่พระองค์มอบให้ไปในทางตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์ จึงทำให้พระพิโรธของพระเจ้ามาถึงพวกเขาโดยน้ำวินาศ มีเพียงผู้ที่เชื่อฟังพระองค์เท่านั้นที่ได้รอดพ้นคือ โนอาห์และครอบครัวของเขาที่รอด ทำให้เราเห็นว่าการที่เราฟังเสียงของพระในชีวิตของเรา จะทำให้เราได้รับการอวยพรจากพระองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด พระเจ้าพร้อมที่จะปกป้องเราจากอันตรายทั้งหลาย ในการดำเนินชีวิตติดตามพระองค์

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก4:1-15,25
          มนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดกาอิน เอวาพูดว่า “ดิฉันได้ลูกชายมาเดชะองค์พระผู้เป็นเจ้า” ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของกาอินชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนกาอินเป็นคนเพาะปลูก วันหนึ่ง กาอินนำผลที่เกิดจากแผ่นดินมาถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนอาแบลนำแกะที่เกิดจากฝูงรุ่นแรกและไขมันแกะมาถวายด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา แต่ไม่พอพระทัยกาอินและเครื่องบูชาของเขากาอินโกรธมากหน้าตาบึ้งตึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามกาอินว่า “ท่านโกรธหน้าตาบึ้งตึงทำไม ถ้าท่านทำดี ท่านย่อมเงยหน้าขึ้นได้ แต่ถ้าท่านทำไม่ดี บาปกำลังหมอบอยู่ที่ประตู คอยตะครุบตัวท่าน แต่ท่านจะต้องเอาชนะมันให้ได้” กาอินพูดกับอาแบลน้องชายว่า “เราจงไปในทุ่งนากันเถิด” ขณะที่ทั้งสองคนอยู่ในทุ่งนา กาอินก็ลงมือทำร้ายอาแบลน้องชายและฆ่าเสีย
         องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามกาอินว่า “อาแบลน้องชายท่านอยู่ที่ไหน” เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแลน้องหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ท่านทำอะไรลงไป เลือดของน้องชายท่านจากพื้นดินร้องดังมาถึงเรา บัดนี้ท่านจะต้องถูกสาปแช่งให้ออกไปจากแผ่นดินที่อ้าปากรับโลหิตของน้องชายที่ท่านฆ่า เมื่อท่านเพาะปลูก แผ่นดินจะไม่ให้ผลแก่ท่านอีก ท่านจะต้องเร่ร่อนหลบหนีไปบนแผ่นดิน” กาอินทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โทษของข้าพเจ้าหนักเกินกว่าจะแบกรับได้ ดูซิ วันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกจากแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าต้องหลบซ่อนจากพระพักตร์พระองค์ เร่ร่อนหนีหน้าผู้คนบนแผ่นดิน ใครพบข้าพเจ้าก็จะฆ่าข้าพเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ไม่ได้ ใครฆ่ากาอิน จะถูกแก้แค้นเป็นเจ็ดเท่า” และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวกาอินเพื่อเตือนคนที่พบไม่ให้ฆ่าเขา
           อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาอีก นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เรียกชื่อว่าเสท นางพูดว่า “เพราะพระเจ้าประทานบุตรชายอีกคนหนึ่งแก่ข้าพเจ้าแทนอาแบล ซึ่งถูกกาอินฆ่า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 8:11-13
    เวลานั้น ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระเยซูเจ้าขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบพระองค์ถอนพระทัยลึกๆ ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไรเราบอกความจริงกับท่านว่าคนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย” แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้นเสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง

 

ข้อคิด
        บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ทำให้เราเข้าใจถึงพระเมตตาของพระเป็นเจ้าแบบไม่มีขอบเขต ถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของเราจะกระทำบาปผิดต่อพระองค์ แต่พระเป็นเจ้าก็ยังทรงเห็นพวกเขามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระองค์เสมอ พวกเขายังคงเป็นคนของพระองค์ ถึงแม้เขาจะทำบาปผิดต่อพระองค์ก็ตาม พระเป็นเจ้าก็ไม่ทรงรักเราน้อยลงเลย แต่กลับให้โอกาสเราในการกลับใจมาหาพระองค์

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2017 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก8:6-13,20-22
     ต่อมาอีกสี่สิบวัน โนอาห์เปิดหน้าต่างที่เขาสร้างไว้ในเรือ และปล่อยนกกาออกไปตัวหนึ่ง มันบินไปและกลับมาทุกวันจนกระทั่งน้ำบนแผ่นดินลดแห้ง เขายังปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งเพื่อดูว่าน้ำลดจากพื้นแผ่นดินแล้วหรือยัง แต่นกพิราบหาที่เกาะไม่พบ มันจึงบินกลับมาหาเขาในเรือ เพราะน้ำยังท่วมพื้นแผ่นดินอยู่ เขาจึงยื่นมือออกไปรับมันกลับเข้ามาในเรือกับเขา เขาคอยอยู่อีกเจ็ดวัน จึงปล่อยนกพิราบออกไปจากเรืออีกครั้นถึงเวลาเย็น นกพิราบก็กลับมาหาเขา และคาบใบมะกอกเทศเขียวสดมาด้วย โนอาห์จึงรู้ว่า น้ำลดจากพื้นแผ่นดินแล้ว เขาคอยอีกเจ็ดวัน และปล่อยนกพิราบออกไปอีกครั้งหนึ่ง มันไม่กลับมาหาเขาอีกเลย
      เมื่อโนอาห์มีอายุหกร้อยหนึ่งปี ในวันที่หนึ่งเดือนแรก น้ำเริ่มแห้งจากแผ่นดิน โนอาห์เปิดหลังคาเรือ มองดูและเห็นว่า พื้นดินกำลังแห้ง
    โนอาห์สร้างพระแท่นบูชาสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเลือกสัตว์และนกที่ไม่มีมลทินแต่ละชนิดมาเผาเป็นเครื่องบูชาบนพระแท่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้กลิ่นหอมของเครื่องบูชา จึงทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินเพราะการกระทำของมนุษย์อีกเลย แม้เรารู้ว่าใจของมนุษย์มักปรารถนาแต่สิ่งชั่วร้ายตั้งแต่เป็นเด็กเราก็จะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอย่างที่เราได้กระทำมาแล้วอีก ตราบใดที่แผ่นดินยังคงอยู่ ฤดูหว่านและฤดูเก็บเกี่ยว เวลาเย็นและเวลาร้อน ฤดูร้อนและฤดูหนาว วันและคืน ยังมีอยู่ต่อไปตราบนั้น”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                  มก 8:22-26
   เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงเมืองเบธไซดามีผู้นำคนตาบอดคนหนึ่งมาขอให้พระองค์ทรงสัมผัสพระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้านทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขาทรงปกพระหัตถ์เหนือเขาตรัสถามเขาว่า “ท่านเห็นอะไรไหม” เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับต้นไม้เดินไปเดินมา” พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีกเขาก็เห็นชัดและหายเป็นปกติมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนพระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้านตรัสว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน”

 

ข้อคิด
            ผลของการที่โนอาห์เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้เราและสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้รับความรอดพันจากภัยน้ำท่วม พระเจ้าจะทรงอวยพรทุกๆ คนที่เชื่อฟังพระองค์ด้วยความสุภาพ ในทางกลับกัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ในวันนี้ ผลของการไม่เชื่อฟังพระเจ้าจะนำไปสู่ความหายนะและการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่อาจจะคาดคิด ซึ่งทุกวันนี้เราได้เห็นเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ต่างก็พาความแตกแยกและภัยพิบัติต่าง ๆ มาในโลกของเรา ซึ่งมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ช่วยเราได้

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown