3. พระเยซูเจ้าทรงประกอบพระภารกิจในแคว้นกาลิลี (บทที่ 5-9)
- รายละเอียด
- หมวด: พระวรสารนักบุญลูกา
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 1655
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศน์สอน
14พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้นe
15พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนพากันสรรเสริญพระองค์f
พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ
16พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธgซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นอ่านพระคัมภีร์h
17มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
18พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจนi
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ
คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
19ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า
20แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่ง ดวงตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์
21พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
22ทุกคนกล่าวสรรเสริญพระองค์และพากันพิศวงในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส
เขากล่าวกันว่า “นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ?”
23พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า “หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าได้เกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้นj ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด”
24แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”
25เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงหม้ายหลายคนในอิสราเอล
26แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงหม้ายเหล่านี้ นอกจากหญิงหม้ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน
27ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
28เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก
29จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง พาไปที่ขอบเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป
30แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มเขาเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป
พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนที่เมืองคาเปอรนาอุม ทรงรักษาคนถูกปิศาจสิง
31พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต
32คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอำนาจ
33ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปิศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า
34”ท่านมายุ่งกับพวกเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายพวกเราใช่ไหม? ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
35พระเยซูเจ้าทรงดุปิศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ! ออกไปจากผู้นี้” ปิศาจได้ผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน แล้วได้ออกไปจากเขาโดยมิได้ทำร้ายเขาแต่ประการใด
36ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า “วาจานี้เป็นอะไร? จึงมีอำนาจและอานุภาพบังคับปิศาจร้าย และมันก็ออกไป”
37กิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น
พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน
38พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมแล้วเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยาซีโมนกำลังป่วยเป็นไข้หนัก คนที่อยู่ที่นั่นอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง
39พระองค์จึงทรงก้มลงเหนือนางและบังคับไข้ ไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นทันทีมารับใช้ทุกคน
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก
40เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว ผู้ใดมีผู้เจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ ได้นำผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือผู้ป่วยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจากโรค
41ปิศาจได้ออกจากคนจำนวนมาก พลางร้องตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงสำทับไม่อนุญาตให้ปิศาจพูดเพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า
พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุมตั้งแต่เช้าตรู่ และทรงพระดำเนินไปทั่วแคว้นยูเดีย
42เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้วได้หน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ยอมให้พระองค์จากพวกเขาไป
43แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้”
44พระองค์จึงได้ทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดียk
พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรกa
บทที่5
5 1วันหนึ่ง พระเยซูเจ้ากำลังประทับยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า
2พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ
3พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่ง-ซึ่งเป็นของซีโมน- ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับนั่งสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
4เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด”
5ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราได้ทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน”
6เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด
7เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและเอาปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ จนเรือเกือบจม
8เมื่อซีโมนเปโตรbเห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”
9เพราะเขาและคนอื่นๆที่อยู่ด้วยกันกับเขาต่างตกตะลึงที่จับปลาได้มากมายเช่นนั้น
10ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมนcก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์”
11เมื่อพวกเขาได้นำเรือกลับถึงฝั่ง ก็ได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วติดตามพระองค์ไป
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เป็นโรคเรื้อน
12วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ในเมืองหนึ่ง มีชายโรคเรื้อนเต็มไปทั้งตัวเห็นพระองค์เข้า ก็กราบลงแทบพระบาทอ้อนวอนพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงสามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”
13พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด”
14พระองค์จึงทรงกำชับเขามิให้บอกผู้ใด แต่ “จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว”
15ข่าวเกี่ยวกับพระองค์กลับกระจายออกไปมากขึ้น ประชาชนเป็นจำนวนมากพากันมาฟังพระองค์และรับการรักษาจากโรคภัยไข้เจ็บ
16แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต
17วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังทรงสั่งสอน บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายซึ่งมาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลีและจากกรุงเยรูซาเล็มนั่งอยู่ที่นั่นด้วย พระเจ้าdประทานพระอานุภาพให้พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคได้
18ขณะนั้น มีผู้หามคนอัมพาตนอนบนแคร่เข้ามา พยายามหาช่องนำคนอัมพาตมาวางไว้เฉพาะพระพักตร์
19แต่เมื่อหาช่องนำคนอัมพาตเข้ามาไม่ได้เพราะมีคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนหลังคา แล้วหย่อนคนอัมพาตนั้นพร้อมทั้งที่นอนลงมาตามช่องกระเบื้องeตรงกลางห้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเจ้า
20เมื่อพระองค์ทรงเห็นความเชื่อของเขาเหล่านั้น จึงตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”
21บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีจึงคิดในใจว่า “คนนี้เป็นใครกัน จึงกล่าวผรุสวาทต่อพระเจ้า? ใครเล่าสามารถอภัยบาปได้ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?”
22พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสตอบว่า “ท่านคิดเช่นนี้ในใจทำไม?
23อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” หรือบอกว่า “ลุกขึ้นเดินไปเถิด?”
24แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าบุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้ –พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า- “เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับไปบ้านเถิด”
25ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง แบกแคร่ที่ตนนอนอยู่ แล้วกลับไปบ้านพลางสรรเสริญพระเจ้า
26ทุกคนต่างประหลาดใจถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและมีความกลัวมาก พูดกันว่า “วันนี้ เราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง”
พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี
27หลังจากนั้น พระองค์เสด็จออกไป ทรงเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
28เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้วติดตามพระองค์ไป
พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาปในบ้านของเลวี
29เลวีได้จัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ มีคนเก็บภาษีและคนอื่นๆจำนวนมากมานั่งร่วมโต๊ะด้วย
30บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นได้กล่าวด้วยความไม่พอใจแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงรับประทานอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า?”
31พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนไม่สบายต้องการ
32เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ”
การโต้เถียงเรื่องจำศีลอดอาหาร
33มีผู้ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ศิษย์ของยอห์นจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาบ่อยๆ ศิษย์ของชาวฟาริสีก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนศิษย์ของท่านกินและดื่ม”
34พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะให้ผู้รับเชิญมาในงานสมรสจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย?
35แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกแยกจากไป วันนั้นผู้รับเชิญจะจำศีลอดอาหาร”
36พระองค์ยังตรัสอุปมาให้เขาฟังอีกว่า “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะเสื้อใหม่จะขาด และผ้าจากเสื้อใหม่จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าอีกด้วย
37ไม่มีใครนำเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าใหม่จะทำให้ถุงหนังขาด เหล้าจะหก และถุงหนังก็จะเสีย
38แต่เหล้าใหม่นั้นต้องใส่ในถุงหนังใหม่
39ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วอยากดื่มเหล้าใหม่ เพราะเขาย่อมกล่าวว่า “เหล้าเก่านั้นดีกว่า’”f
บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
บทที่ 6
6 1วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวมาขยี้กิน
2ชาวฟาริสีบางคนจึงพูดว่า “ทำไมท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า?” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำอะไรเมื่อหิวโหย
4-พระองค์ได้เสด็จเข้าในพระนิเวศของพระเจ้า ทรงหยิบขนมปังที่ตั้งถวายมาเสวยและประทานแก่ผู้ติดตาม ขนมปังนี้ใครจะรับประทานไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น”
5แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “บุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”a
พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ
6วันสับบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงสั่งสอนที่นั่น มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ
7บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคอยจ้องมองดูว่าพระองค์จะรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่เพื่อหาเหตุฟ้องพระองค์
8แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสกับชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ!” เขาก็ลุกขึ้นยืน
9พระเยซูเจ้าตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราถามท่านว่า ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดี หรือทำความชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?”
10แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเขาทุกคนและตรัสกับชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือออกซิ” เขาก็ทำตามและมือของเขาก็หายเป็นปกติ
11บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน
12ในครั้งนั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและได้ทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน
13ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก”b
14คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิว
15มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” 16ยูดาส บุตรของยากอบc และยูดาส อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ
ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
17พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล
18มาฟังพระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปิศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย
19ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกมาจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย
ธรรมเทศนาบทแรกd ความสุขแท้จริงe และคำสาปแช่ง
20แล้วพระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่า
ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
21ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม
ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ
22ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์
23จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด! –เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
24วิบัติจงเกิดแก่ท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
25วิบัติจงเกิดแก่ท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะจะเป็นทุกข์และร้องไห้
26วิบัติจงเกิดแก่ท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่าน! เพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว
ความรักศัตรู
27”แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน
28จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน
29ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย
30จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป
31ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด
32ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร? คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย
33ถ้าท่านทำดีเฉพาะผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร? คนบาปยังให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้คืนจำนวนเท่ากัน 35แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนf แล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย
ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
36จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด
37อย่าตัดสินเขาและพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา และพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาและพระเจ้าจะทรงอภัยท่าน
38จงให้ และพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นและล้นเหลือg เพราะว่าท่านตวงให้เขาอย่างไร พระเจ้าก็จะทรงตวงตอบแทนให้ท่านอย่างนั้นด้วย”
ความดีบริบูรณ์
39พระเยซูเจ้ายังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ? ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือ?h
40ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน
41ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย?
42ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า “พี่น้อง ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด” ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง? ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย! จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วท่านจะเห็นได้ชัดจึงค่อยไปเขี่ยiเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง
43ต้นไม้ที่เกิดผลเลวย่อมไม่ใช่ต้นไม้ที่ดี หรือต้นไม้เลวย่อมไม่ให้ผลดีเช่นกัน
44เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น เราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม หรือเก็บผล
องุ่นจากกอหนาม
45คนดีย่อมนำเอาสิ่งที่ดีออกมาจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน ส่วนคนเลวย่อมเอาสิ่งที่เลวออกมาจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน เพราะว่าปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
ศิษย์ที่แท้จริง
46ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า และไม่ปฏิบัติตามที่เรากล่าวเล่า?
47ทุกคนที่มาหาเราj ย่อมฟังคำของเราและนำไปปฏิบัติ –เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า เขาเปรียบเสมือนผู้ใด
48เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ไม่สามารถทำให้บ้านนั้นหวั่นไหว เพราะบ้านนั้นได้สร้างไว้อย่างดี
49แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน เมื่อน้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที และความเสียหายของบ้านนั้นก็ใหญ่ยิ่ง!
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย
บทที่ 7
7 1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคารเปอรนาอุม
2ผู้รับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้จะตาย นายรักเขามาก
3เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงได้ส่งผู้อาวุโสบางคนของชาวยิวaมาอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปช่วยชีวิตของผู้รับใช้
4คนเหล่านั้นมาเฝ้าพระเยซูเจ้า อ้อนวอนรบเร้าพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ
5เพราะเขารักชนชาติของเราb และได้สร้างศาลาธรรมให้เรา”
6พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับคนเหล่านั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้าน นายร้อยได้ใช้เพื่อนบางคนไปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า
7เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์ แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรคc
8ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนหนึ่งว่า “ไป” เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า “มา” เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า “ทำนี่” เขาก็ทำ’
9เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย จึงทรงผินพระพักตร์ไปยังประชาชนที่ติดตามพระองค์ตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”
10เมื่อเพื่อนที่ถูกใช้มากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าผู้รับใช้ผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว
พระเยซูเจ้าทรงปลุกบุตรของหญิงหม้ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพd
11หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป
12เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นหม้าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่พอสมควรมาพร้อมกับนางด้วย
13เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย”
14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ทรงแตะที่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”
15คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา 16ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ากล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางเรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์”
17และข่าวเกี่ยวกับพระองค์เรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น
คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง พระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอห์น
18บรรดาศิษย์ของยอห์นได้แจ้งข่าวเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาทราบ ยอห์นจึงเรียกศิษย์มาสองคน
19แล้วส่งไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทูลถามว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก?”
20เมื่อคนทั้งสองมาพบพระองค์แล้วจึงกล่าวว่า ‘ยอห์นผู้ทำพิธีล้างได้ส่งเรามาถามท่านว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก?’”
21ขณะนั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค จากความทุกข์ทรมานและจากปิศาจร้าย ทั้งทรงทำให้คนตาบอดหลายคนกลับมองเห็นได้
22พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี
23ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเรา ย่อมเป็นสุข”
24เมื่อผู้ที่ยอห์นส่งมาจากไปแล้ว พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า
25”ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร? ไปดูต้นอ้อไหวไปตามลมหรือ? ไม่ใช่! แล้วท่านไปดูอะไรเล่า? ดูคนสวมเสื้อผ้าหรูหราหรือ? คนที่แต่งตัวหรูหราและกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือยนั้นมีอยู่เฉพาะในพระราชวัง!
26ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร? ไปดูประกาศกหรือ? ถูกแล้ว เราบอกท่าน ไปดูยิ่งกว่าประกาศกอีก
27ผู้นี้แหละพระคัมภีร์กล่าวถึงว่าเราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
28”เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากสตรี ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีกแล้ว กระนั้นก็ดี ผู้เล็กน้อยที่สุดในพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น”
29ประชาชนทั้งหลายที่ได้ฟังรวมทั้งบรรดาคนเก็บภาษีได้รับพิธีล้างจากยอห์นและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรม 30แต่บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายไม่ยอมรับพิธีล้างจากยอห์น จึงต่อต้านแผนการของพระเจ้าสำหรับตน
พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย
31”เราจะเปรียบคนยุคนี้กับอะไรดี? เขาเหมือนกับอะไร?
32เขาก็เหมือนเด็กๆที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องตะโกนกับเพื่อนๆว่า
พวกเราเป่าขลุ่ยให้
พวกเจ้าก็ไม่เต้นรำ
พวกเราร้องเพลงคร่ำครวญ
พวกเจ้าก็ไม่ร้องไห้
33ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า “คนนี้มีปิศาจสิง”
34บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า “ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป”
35แต่ทุกคนที่มีปรีชาญาณก็ยอมรับว่าแผนการอันทรงปรีชาของพระเจ้านั้นถูกต้อง”e
หญิงคนบาปf
36ชาวฟาริสีคนหนึ่งได้เชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีนั้นและประทับที่โต๊ะ
37ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางทราบว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสีผู้นั้น จึงถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมเข้ามาด้วย
38นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ๆพระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางเอาผมเช็ดและจูบพระบาทและเอาน้ำมันหอมเจิมพระบาทนั้น
39ชาวฟาริสีที่เชิญพระองค์มาเห็นดังนี้จึงคิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นประกาศก เขาคงจะทราบว่าหญิงที่กำลังแตะต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป”
40พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน” เขาตอบว่า “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์”
41พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ
42ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?”
43ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว”
44พระองค์ทรงผินพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้นตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม? เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลั่งน้ำตารดเท้าของเราและเอาผมเช็ดให้
45ท่านไม่ได้จูบคำนับเรา แต่นางมิได้หยุดจูบเท้าของเราเลยตั้งแต่เราเข้ามาg
46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันเจิมศีรษะให้เรา แต่นางได้ใช้น้ำมันหอมเจิมเท้าของเรา
47เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางรักมากh ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมรักน้อย”
48แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
49บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำได้แม้แต่การอภัยบาป?” 50พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
บรรดาสตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้า
บทที่ 8
8 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกทั้งสิบสองคนอยู่กับพระองค์
2รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปิศาจร้าย และหายจากโรคภัย เช่น มารีย์ ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปิศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง
3โยอันนา ภรรยาของคูซาข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคน หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก
อุปมาเรื่องผู้หว่าน
4ขณะนั้นประชาชนจำนวนมากเดินทางจากเมืองต่างๆมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและชุมนุมกัน พระองค์จึงทรงกล่าวเป็นอุปมาว่า
5”ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน จึงถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศจิกกินจนหมด
6บางเมล็ดตกบนหิน พองอกขึ้นมาก็เหี่ยวแห้งเพราะขาดความชุ่มชื้น
7บางเมล็ดตกกลางกอหนาม ต้นหนามที่งอกขึ้นพร้อมกันก็คลุมไว้จนตาย
8บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้นและเกิดผลร้อยเท่า” พระองค์ตรัสดังนี้แล้วทรงเปล่งเสียงดังว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด!”
เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา
9บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า อุปมาเรื่องนี้มีความหมายอย่างไร
10พระองค์จึงตรัสว่า “พระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายทราบธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างชัดเจน แต่สำหรับคนอื่นพระองค์โปรดให้ทราบเป็นอุปมาเท่านั้น เพื่อว่า
เขาจะมองแล้วมองอีก แต่ไม่เห็น
ฟังแล้วฟังอีก แต่ไม่เข้าใจ
พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน
11”อุปมามีความหมายดังนี้ เมล็ดพืชคือพระวาจาของพระเจ้า
12เมล็ดที่ตกริมทางเดิน หมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา ต่อจากนั้น ปิศาจก็มาช่วงชิงพระวาจาออกไปจากใจของเขา มิให้เขาเชื่อและรอดพ้น
13เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ฟังแล้วรับพระวาจาไว้ด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เขามีความเชื่ออยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาถูกทดลอง เขาก็เลิกเชื่อ
14เมล็ดที่ตกในกอหนาม หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วปล่อยให้ความกังวลถึงทรัพย์สมบัติและความสนุกของชีวิตมาบีบรัด จึงไม่เกิดผล
15ส่วนเมล็ดที่ตกในที่ดินดีหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาด้วยใจดีเลิศ ยึดพระวาจาไว้ด้วยความพากเพียรจนเกิดผล
อุปมาเรื่องตะเกียง
16”ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้
17ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย
18ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย”
ญาติพี่น้องแท้จริงของพระเยซูเจ้าa
19มารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้าได้มาเฝ้าพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงพระองค์ได้ เพราะมีประชาชนจำนวนมาก
20มีผู้ทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอกต้องการจะพบท่าน”
21พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาและพี่น้องของเราคือผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”
พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ
22วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือไปพร้อมกับบรรดาศิษย์แล้วตรัสกับเขาว่า “เราจงข้ามไปฝั่งทะเลสาบด้านโน้นกันเถิด” เขาจึงได้ออกเรือ
23ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังแล่นเรือ พระองค์บรรทมหลับ เกิดลมพายุขึ้นในทะเลสาบ น้ำซัดเข้าเรือ คนในเรืออยู่ในอันตราย
24บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระอาจารย์! พระอาจารย์! พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลมและคลื่นใหญ่ ลมและคลื่นก็สงบ ทะเลสาบก็สงบราบเรียบอีก
25พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ความเชื่อของท่านอยู่ที่ไหนเล่า?” เขาเหล่านั้นต่างรู้สึกกลัวและประหลาดใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ จึงสามารถสั่งลมและคลื่น ลมและคลื่นก็เชื่อฟัง?”
ชาวเกราซาที่ถูกปิศาจสิง
26พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ได้แล่นเรือมาถึงดินแดนของชาวเกราซาb ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นกาลิลี
27ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นได้มาเฝ้าพระองค์ ชายผู้นี้ถูกปิศาจสิงเป็นเวลานาน ไม่สวมเสื้อผ้า ไม่อยู่ในบ้าน แต่ไปอาศัยอยู่ตามหลุมศพ
28เมื่อเขาเห็นพระเยซูเจ้า เขาได้ร้องตะโกน กราบพระบาท และกล่าวเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซู บุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม? ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
29เขาพูดเช่นนี้ เพราะพระเยซูเจ้าได้สั่งให้ปิศาจร้ายออกจากชายผู้นั้น ปิศาจได้สิงเขาหลายครั้งแล้ว เขาถูกล่ามตัวไว้ด้วยโซ่และตรวน แต่เขาหักโซ่ตรวนและถูกปิศาจนำตัวออกไปในที่เปลี่ยว
30พระเยซูเจ้าทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” ปิศาจตอบว่า “ชื่อกองพล” –เพราะปิศาจจำนวนมากได้เข้าสิงในตัวเขา
31ปิศาจเหล่านั้นพร่ำวอนพระองค์มิให้ทรงสั่งมันให้ลงไปในขุมลึกc
32หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น พวกปิศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้เข้าไปสิงในหมูฝูงนั้น พระองค์ก็ทรงอนุญาต
33พวกปิศาจจึงได้ออกจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงอยู่ในตัวหมู หมูฝูงนั้นพากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบและจมน้ำตายทั้งหมด
34เมื่อคนเลี้ยงหมูเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็วิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท
35ประชาชนได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อมาใกล้พระเยซูเจ้าก็ได้พบคนที่เคยถูกปิศาจสิงกำลังนั่งอยู่แทบพระบาทของพระองค์d สวมเสื้อผ้าและมีสติดี เขาเหล่านั้นต่างมีความกลัว
36ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ได้เล่าให้ประชาชนฟังว่าคนถูกปิศาจสิงหายจากโรคได้อย่างไร
37ประชาชนทั้งหมดในเขตแดนของชาวเกราซาจึงขอร้องพระองค์ให้เสด็จไปจากพวกเขา เพราะมีความกลัวมาก พระเยซูเจ้าจึงเสด็จลงเรือกลับไป
38คนที่ปิศาจได้ออกไปแล้วได้อ้อนวอนขออยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงส่งเขากลับไปตรัสว่า
39”จงกลับบ้าน และเล่าเรื่องที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านให้คนอื่นทราบเถิด” ชายคนนั้นจึงจากไปและประกาศไปทั่วเมืองว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำอะไรแก่เขา
พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงตกโลหิต ทรงปลุกบุตรสาวของไยรัสให้คืนชีพ
40เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา ประชาชนก็รับเสด็จพระองค์ เพราะทุกคนกำลังคอยพระองค์อยู่
41ขณะนั้น ชายคนหนึ่งชื่อไยรัสซึ่งเป็นหัวหน้าศาลาธรรมได้มาเฝ้า เขากราบพระบาทของพระเยซูเจ้า อ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปยังบ้านของเขา
42เพราะเขามีบุตรสาวคนเดียวอายุประมาณสิบสองขวบกำลังจะตาย ขณะที่ทรงพระดำเนินไป ประชาชนได้เบียดเสียดพระองค์จนเกือบทรงพระดำเนินไม่ได้
43ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตมาสิบสองปีแล้ว ไม่มีผู้ใดรักษานางให้หายได้e
44นางได้เข้ามาทางด้านหลังและสัมผัสชายฉลองพระองค์ ทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุด
45พระเยซูเจ้าทรงถามว่า “ใครสัมผัสเรา?” ทุกคนต่างปฏิเสธ เปโตรจึงตอบว่า “พระอาจารย์ ประชาชนกำลังเบียดเสียดกันแน่นขนัดรอบพระองค์”
46แต่พระเยซูเจ้าทรงย้ำว่า “มีใครคนหนึ่งสัมผัสเราเพราะเรารู้ว่าพลังอย่างหนึ่งได้ออกจากตัวเรา”
47เมื่อหญิงคนนั้นเห็นว่าไม่สามารถจะซ่อนตัวอีกต่อไป จึงเดินตัวสั่นออกมากราบลงเฉพาะพระพักตร์ ทูลให้ทราบต่อหน้าประชาชนว่าเหตุใดนางจึงได้สัมผัสพระองค์และหายจากโรคในทันทีได้อย่างไร
48พระองค์ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
49ขณะที่ตรัสอยู่นั้น มีคนจากบ้านมาบอกหัวหน้าศาลาธรรมว่า “บุตรสาวของท่านตายแล้ว อย่ารบกวนพระอาจารย์อีกเลย”
50แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินเข้าจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิดและเด็กนั้นจะรอด” 51เมื่อเสด็จมาถึง พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดติดตามเข้าไปนอกจากเปโตร ยอห์น ยากอบf และบิดามารดาของเด็ก
52ทุกคนกำลังร้องไห้และคร่ำครวญถึงเด็กที่ตาย แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย เด็กไม่ตาย เพียงแค่นอนหลับไป”
53คนเหล่านั้นจึงหัวเราะเยาะพระองค์ เพราะรู้ว่าเด็กนั้นตายแล้ว 54พระองค์ทรงจับมือเด็กและตรัสเสียงดังว่า “หนูเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 55จิตของเด็กก็กลับมาและเด็กก็ลุกขึ้นทันที พระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกทั้งสิบสองคน
บทที่ 9
9 1พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกทั้งสิบสองคนaเข้ามาพร้อมกัน ประทานอำนาจเหนือปิศาจ และพลังรักษาโรค
2ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาโรค 3พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดไปด้วย อย่านำไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย
4เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเดินทางต่อไป 5ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา” บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง
กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้าb
7กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทรงรู้สึกสับสน เพราะบางคนกล่าวว่ายอห์นได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย
8บางคนกล่าวว่าประกาศกเอลียาห์ได้ปรากฏแล้ว บางคนว่าประกาศกในอดีตคนหนึ่งได้กลับคืนชีพ 9แต่กษัตริย์เฮโรดตรัสว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว คนที่เราได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นใครเล่า?” กษัตริย์เฮโรดจึงทรงหาโอกาสจะพบพระองค์
บรรดาอัครสาวกกลับมา พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังc
10เมื่อบรรดาอัครสาวกกลับมาแล้ว เขาได้ทูลพระเยซูเจ้าทุกสิ่งที่ได้กระทำ พระองค์จึงทรงพาเขาไปด้วยกัน ทรงปลีกพระองค์ไปยังเมืองที่มีชื่อว่าเบธไซดา
11แต่ประชาชนทราบจึงได้ตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา
12เมื่อจวนจะถึงเวลาเย็น อัครสาวกทั้งสิบสองคนได้มาทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนกลับไปเถิด เขาจะได้ไปตามหมู่บ้านและชนบทโดยรอบเพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะขณะนี้เราอยู่ในที่เปลี่ยว”
13พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด?”
14ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน”
15เขาได้ทำตามและให้ทุกคนนั่งลง
16พระเยซูเจ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ส่งให้บรรดาศิษย์นำไปแจกจ่ายแก่ประชาชน
17ทุกคนได้กินจนอิ่มแล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองกระบุง
เปโตรประกาศความเชื่อd
18วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียงพระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร?”
19เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้างว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึ่งซึ่งกลับคืนชีพ” 20พระเยซูเจ้าทรงถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า”
21พระองค์จึงทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใด
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งแรกเรื่องพระทรมานe
22พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า
23หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา
24ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้
25มนุษย์จะได้ประโยชน์อะไรในการที่จะได้ทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องสูญเสียชีวิตและพินาศไป?
26ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำของเรา บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมื่อเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ของพระบิดา และของบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
พระอาณาจักรจะมาถึงในไม่ช้า
27”เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์f
28ประมาณแปดวันหลังจากได้ตรัสถึงเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา
29ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น พระพักตร์ของพระองค์ปรากฏลักษณะเปลี่ยนไปและฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า
30ทันใดนั้น บุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์gมาสนทนากับพระองค์
31ทั้งสองคนปรากฏมาในสิริรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
32เปโตรและเพื่อนที่อยู่ด้วยต่างก็ง่วงนอนมาก เมื่อตื่นขึ้นh ก็ได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และเห็นบุรุษทั้งสองยืนอยู่กับพระองค์
33ขณะที่บุรุษทั้งสองกำลังจะจากพระเยซูเจ้าไป เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
34ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น มีเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมื่อเข้าไปอยู่ในเมฆ เขาต่างมีความกลัว
35เสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรรi จงฟังท่านเถิด”
36เมื่อเสียงสงบแล้ว ศิษย์ทั้งสามก็พบพระเยซูเจ้าแต่พระองค์เดียว เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ได้บอกเรื่องที่ได้เห็นให้ผู้ใดทราบเลยในเวลานั้น
คนถูกปิศาจสิง
37ต่อมา เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสาม ประชาชนจำนวนมากเข้ามาเฝ้าพระองค์
38ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งได้ร้องตะโกนท่ามกลางประชาชนว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์โปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้าด้วย เขาเป็นบุตรคนเดียวของข้าพเจ้า
39เมื่อปิศาจเข้าสิง เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีและเริ่มชักน้ำลายฟูมปาก และกว่าปิศาจจะออกไปมันก็จะทำให้เด็กหมดเรี่ยวแรง
40ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนขอให้ศิษย์ของท่านขับไล่ปิศาจ แต่เขาทำไม่ได้” 41พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และเลวร้าย! เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด? จงพาบุตรของท่านมาที่นี่”
42ขณะที่เด็กคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ ปิศาจก็ทำให้เด็กล้มลงชัก พระเยซูเจ้าตรัสสำทับปิศาจร้ายและทรงรักษาเด็กให้หายเป็นปกติแล้วมอบเขาให้บิดา 4
3ทุกคนประหลาดใจมากเมื่อเห็นพระมหิทธานุภาพของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สองเรื่องพระทรมาน
ขณะที่ทุกคนกำลังพิศวงในทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอยู่นั้น พระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
44”ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำเหล่านี้ไว้ให้ดีเถิด บุตรแห่งมนุษย์กำลังจะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย”
45แต่บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกปิดบังไว้มิให้เข้าใจความหมาย และเขาทั้งหลายไม่กล้าทูลถามเรื่องนี้
ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุด?j
46บรรดาศิษย์ได้เริ่มถกเถียงกันว่าคนใดในกลุ่มยิ่งใหญ่ที่สุด 47พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงทรงจูงเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์
48ตรัสว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ต้อนรับเรา ผู้ใดต้อนรับเรา ผู้นั้นก็ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามา เพราะว่าท่านผู้ใดเล็กที่สุด ท่านผู้นั้นย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด”
การใช้พระนามของพระเยซูเจ้า
49ยอห์นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนคนหนึ่งขับไล่ปิศาจในพระนามของพระองค์ แต่เขาไม่ได้อยู่กับเรา เราได้พยายามห้ามปรามk เพราะเขาไม่ใช่พวกเรา
50แต่พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านท่าน ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายท่าน”