มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

4. การเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็ม (บทที่10-19)

51เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปmใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม

52และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ได้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมการรับเสด็จพระองค์

53แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จพระองค์เพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มn

54เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้พวกเราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่?o

55พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคนp

56แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์

 

ความยากลำบากในการเป็นอัครสาวก
57ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ

58พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”

59พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่าq “ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน”

60พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิดr ส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า”

61อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อน”

62พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า”

 

พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนa

บทที่10 
10 1พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อื่นอีกเจ็ดสิบสองคนb และทรงส่งเขาออกไปล่วงหน้าพระองค์cเป็นคู่ๆไปทุกเมืองทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไป

2พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด

3จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะท่ามกลางสุนัขป่า

4อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง

5เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า “สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด!”

6ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่นd สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก

7จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น

8เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้

9จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว” 10แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า

11”แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้ปรักปรำท่าน จงทราบเถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว”

12เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมืองโสดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น

13”วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา! ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว 14ฉะนั้น เมืองไทระและเมืองไซดอนจะรับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา

15ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ? เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย

16ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นก็ฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นก็สบประมาทเรา แต่ผู้ที่สบประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา

สาเหตุแท้จริงที่ทำให้บรรดาอัครสาวกชื่นชมยินดี

17ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนได้กลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปิศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามของพระองค์”

18พระองค์ทรงตอบว่า “เราได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ

19จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่องได้ มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้

20อย่าชื่นชมยินดีที่ปิศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”

 

ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี: พระบิดาและพระบุตร

21ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยให้บรรดาผู้ต่ำต้อยได้ทราบ ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น

22eพระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้ทราบ”

 

สิทธิพิเศษของบรรดาศิษย์

23แล้วพระองค์ทรงผินพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ตรัสกับเขาโดยเฉพาะ “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆที่ท่านเห็น

24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ฟัง”f

บทบัญญัติเอก

25ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร?” 26พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร? ท่านอ่านว่าอย่างไร?” 27เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” 28พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”

 

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี

29ชายคนนั้นต้องการจะพูดป้องกันตนเองg จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า?”

30พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรได้ปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต

31สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง

32ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน

33แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งhเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร

34จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา

35วันรุ่งขึ้นเขานำเงินสองเหรียญออกมอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า “ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา”

36ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น?”

37เขาทูลตอบว่า “คนที่ได้แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

มารธาและมารีย์i

38ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธาได้รับเสด็จพระองค์ที่บ้าน

39นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์ 40มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้? ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง”

41แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก

42สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียวj มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

บทภาวนาของพระเยซูเจ้า

บทที่ 11
11 1วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด”

2พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงกล่าวว่าa
“ข้าแต่พระบิดา พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง

3โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวันb
โปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายc

4เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยทุกคนที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
อย่านำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการถูกผจญเลย”

เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ

5พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด

6เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน”

7สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า “อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดแล้ว ลูกๆกับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก”

8เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเหตุที่เป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะเหตุที่ถูกรบเร้า

 

คำอธิษฐานภาวนาที่ได้ผล
9เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน

10เพราะว่าทุกคนที่ขอย่อมได้รับ ทุกคนที่แสวงหาย่อมพบ ทุกคนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดให้

11ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ?d ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ?

13เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆแก่ลูก แล้วพระบิดาในสวรรค์จะมิยิ่งประทานพระจิตเจ้าeแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ?”

 

พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบุล

14พระเยซูเจ้าทรงกำลังขับไล่ปิศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปิศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ และประชาชนต่างรู้สึกประหลาดใจ

15บางคนได้กล่าวว่า “เขาขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบุล เจ้าแห่งปิศาจนั่นเอง”

16บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์

17พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน

18ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? –เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบุลf 19ถ้าเราขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบุล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใครเล่า? พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน

20แต่ถ้าเราขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจgของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว 21เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย

22แต่ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขาวางใจนั้นไป และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้

23”ใครไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ย่อมทำให้กระจัดกระจายไป

ปิศาจกลับมา

24”เมื่อปิศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบมันจึงคิดว่า “ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าได้จากมา”

25เมื่อกลับมาถึง มันก็พบบ้านถูกปัดกวาดและตกแต่งไว้เรียบร้อย

26มันจึงไปพาปิศาจอื่นที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันอีกเจ็ดตนเข้ามาอาศัยที่นั่น และสภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าสภาพเดิม”

 

ผู้มีความสุขแท้จริง

27ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นท่ามกลางประชาชนว่า “หญิงที่ได้ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง!”

28แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก!”

 

เครื่องหมายของโยนาห์

29เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากเข้า พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมายh แต่จะไม่มีเครื่องหมายอะไรให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น

30โยนาห์ได้เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้นi

31ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะว่าพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก 32ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก

 

การกล่าวถึงอุปมาเรื่องตะเกียงอีกครั้งหนึ่ง

33”ไม่มีใครจุดตะเกียงวางไว้ในที่ลับหรือใต้ถัง แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้คนที่เข้ามาเห็นแสงสว่าง

34ประทีปของร่างกายคือดวงตาของท่าน เมื่อดวงตาเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมสว่างไปด้วย แต่เมื่อดวงตาของท่านเลวร้าย สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมมืดไปด้วย

35ฉะนั้น จงระวังอย่าให้ความสว่างในท่านมืดไป

36ถ้าสรรพางค์กายของท่านสว่างไสว ไม่มีส่วนใดมืด สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไสว เหมือนกับเมื่อตะเกียงส่องสว่างท่านด้วยลำแสงของมัน”j

 

พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์

37เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งได้ทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ

38ชาวฟาริสีคนนั้นรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงล้างพระหัตถ์ตามพิธีก่อนเสวยพระกระยาหาร 39องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่าk ‘ชาวฟาริสีเอ๋ย! ท่านล้างถ้วยชามภายนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย

40คนโง่เอ๋ย! พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ?

41ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิดl แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน

42วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ สมุนไพรและผักต่างๆทุกชนิด แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า! บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่นๆ

43วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม และชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ!

44วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้!’m

45นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบประมาทพวกเราด้วย’

46พระองค์ตรัสตอบว่า ‘ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิดแก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำลัง แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้วแตะต้องสัมภาระนั้น

47‘วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านได้สร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านได้ฆ่า!

48จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของท่านได้ฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็ได้สร้างnหลุมฝังศพให้

49‘พระปรีชาญาณของพระเจ้าoได้ตรัสว่า “เราจะส่งประกาศกและทูตไปพบเขา เขาจะฆ่าประกาศกและทูตบางคนและเบียดเบียนบางคน

50คนรุ่นนี้ต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของบรรดาประกาศกทุกคน โลหิตที่ได้หลั่งตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา

51นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ซึ่งถูกประหารระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร” ถูกแล้ว เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าคนรุ่นนี้จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้

52วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป! ท่านไม่ได้เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย’

53เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่นแล้ว บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มกล่าวโจมตีพระองค์อย่างรุนแรงp ได้มาซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่างๆ 54วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา

 

การประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ

บทที่ 12
12 1ขณะที่ประชาชนนับพันๆคนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบกัน พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์aก่อนว่า ‘จงระวังเชื้อแป้งของบรรดาชาวฟาริสี –คือความหน้าซื่อใจคดของเขา

2ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นจะไม่มีใครรู้

3เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืดจะมีผู้ได้ยินในที่แจ้ง สิ่งที่ท่านกระซิบที่หูภายในห้องจะถูกประกาศบนดาดฟ้าของบ้าน

4‘เรากล่าวแก่ท่านที่เป็นมิตรของเราว่า อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายและหลังจากนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก

5เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านต้องเกรงกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าแล้วยังมีอำนาจโยนท่านลงไปในนรกด้วย ใช่แล้ว เราบอกท่านทั้งหลาย จงเกรงกลัวผู้นี้เถิด 6นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ? แม้กระนั้นไม่มีนกสักตัวเดียวที่พระเจ้าทรงลืม

7ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว อย่าเกรงกลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมากมาย

8เราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรแห่งมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า

9แต่ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ จะถูกปฏิเสธไม่ยอมรับต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

10‘ทุกคนที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ผู้ที่กล่าวร้ายต่อพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย

11‘เมื่อเขาจะนำท่านไปยังศาลาธรรมต่อหน้าผู้ปกครองและผู้ทรงอำนาจ ท่านทั้งหลายอย่าวิตกกังวลว่าจะหาเหตุผลป้องกันตัวอย่างไรหรือจะพูดอะไร 12เพราะพระจิตเจ้าจะทรงสอนท่านในเวลานั้นว่าจะต้องพูดอะไร’

 

การสะสมทรัพย์สมบัติ

13ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด’

14พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน?

15แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า ‘จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม’
16พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ‘เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก

17เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน”

18เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้

19แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า “ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด” 20แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย! คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า?

21คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองและไม่เป็นคนมั่งมีเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้”

 

ความวางใจในพระเจ้า
22พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร

23ชีวิตbย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่ม

24จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโกดัง ไม่มียุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกสักเพียงใด!

25ท่านใดที่กังวลแล้วสามารถต่อชีวิตของตนให้ยาวออกไปอีกสักวันหนึ่งได้?

26ดังนั้น ถ้าสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ยังอยู่เหนืออำนาจของท่านแล้ว ท่านจะกังวลถึงเรื่องอื่นๆทำไมเล่า?

27จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้าc แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหราก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง

28ถ้าหญ้าในทุ่งนาซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระองค์ยังทรงตกแต่งเช่นนี้แล้ว พระองค์จะสนพระทัยท่านมากกว่านี้สักเพียงไร ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง!

29ท่านอย่ากังวลใจแสวงหาว่าจะกินอะไรหรือจะดื่มอะไร

30สิ่งเหล่านี้คนต่างศาสนาของโลกนี้เท่านั้นที่แสวงหา พระบิดาของท่านทรงทราบดีว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้

31ฉะนั้น จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระองค์เถิด แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งให้

32‘ฝูงแกะน้อยๆเอ๋ย อย่ากลัวเลย’ เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่ท่าน

 

การให้ทานd

33‘จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันชำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมดสิ้นในสวรรค์ ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและขมวนไม่ทำลาย 34เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

 

การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา

35‘ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอวeและจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้ 36จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ

37ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย

38ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข

39พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน

40ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย’

41เปโตรทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน?’

42องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครเล่าเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบf ซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่นๆ เพื่อแจกปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำหนด?

43ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังทำดังนี้

44เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน

45แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า “นายจะมาช้า” และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย

46นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออกให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์

47‘ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก

48แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย

 

พระเยซูเจ้าตรัสถึงการรับทรมาน

49‘เรามาเพื่อจุดไฟgในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ! 50เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ!

 

พระเยซูเจ้าทรงเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง

51‘ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ? มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรานำความแตกแยกมาต่างหาก

52ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน 53บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรสาว และบุตรสาวจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี’

 

การอ่านเครื่องหมายของกาลเวลาh

54พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า ‘เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น

55เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น

56คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย! ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า?

57‘ทำไมท่านจึงไม่ตัดสินด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกต้องเล่า?

58ขณะที่ท่านกำลังไปศาลกับคู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันเสียระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก

59เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั้นไม่ได้จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนถึงเศษสตางค์iสุดท้าย’

 

เหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ

บทที่ 13
13 1ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลี ซึ่งถูกปิลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชาa พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า

2‘ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้?

3มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน

4แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า? ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ?

5มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน’

 

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศไร้ผลb

6พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ว่า ‘ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ

7จึงกล่าวแก่คนสวนว่า “ดูซิ สามปีแล้วcที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสียเถิด เสียที่เปล่าๆ?”

8แต่คนสวนตอบว่า “นายครับ ปล่อยมันไว้ปีนี้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย

9ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผลท่านจะโค่นมันเสียก็ได้”’

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาสตรีพิการในวันสับบาโต
10ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต

11สตรีคนหนึ่งถูกปิศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ไม่สามารถยืดตัวตรงได้เลยd

12เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า ‘หญิงเอ๋ย เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว’

13พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
14แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโตe จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า ‘วันที่ทำงานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย’

15องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ?

16หญิงผู้นี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัม ซึ่งซาตานได้ล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว –ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ?’

17เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว ฝ่ายปรปักษ์ทุกคนของพระองค์รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนพากันชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำ

 

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
18พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งใด? เราจะเปรียบพระอาณาจักรกับสิ่งใด?

19พระอาณาจักรก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งชายคนหนึ่งทิ้งไว้ในสวนของตน มันเติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งบรรดานกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้’

 

อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง

20พระองค์ยังตรัสอีกว่า ‘เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด?

21พระอาณาจักรก็เหมือนกับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งฟูขึ้นทั้งหมด’

 

ประตูแคบ ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า คนต่างศาสนาfได้รับเรียก

22พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม

23คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้?’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า

24‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนจะพยายามเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้

25‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นปิดประตูแล้ว ท่านจะยืนอยู่ข้างนอกเคาะประตูกล่าวว่า “พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด”

26แล้วท่านก็จะกล่าวว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา”

27แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด ไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า!”

28‘เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เมื่อแลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก

29จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า

30‘ดังนั้น พวกที่เป็นกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นกลุ่มแรก และพวกที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย’

 

กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
31เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนได้เข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี่เถิด เพราะกษัตริย์เฮโรดgต้องการจะฆ่าท่าน’

32พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นว่าเราขับไล่ปิศาจและรักษาโรค วันที่สามhเราจะบรรลุถึงเป้าหมายi 33แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะว่าประกาศกจะตายนอกกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้j

 

คำตักเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม

34‘เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาเจ้า! กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราต้องการรวบรวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าทั้งหลายไม่ต้องการ

35บัดนี้ บ้านของเจ้าจะต้องถูกทิ้งร้าง เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนถึงเวลาที่เจ้าจะกล่าวว่า

“ขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคบวมในวันสับบาโต

บทที่ 14
14 1วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์

2ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์ 3พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า ‘อนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่?

4แต่คนเหล่านั้นพากันนิ่ง พระองค์จึงทรงสัมผัสผู้ป่วย ทรงรักษาเขา แล้วปล่อยกลับไป

5พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นอีกว่า ‘ถ้าผู้ใดมีบุตรaหรือโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ?’

6แต่คนเหล่านั้นไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้

 

การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง

7พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสอุปมากับเขาว่า

8‘เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนสำคัญกว่าท่านได้รับเชิญมาด้วย

9เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า “จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด” แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย

10แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อว่าเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า “เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด” แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย

11เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’

 

การเลือกเชิญแขก

12แล้วพระองค์ตรัสกับผู้ที่ได้เชิญพระองค์ว่า ‘เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารเที่ยงหรืออาหารค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี มิฉะนั้น เขาจะเชิญท่านเป็นการตอบแทน

13แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด

14แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมจะกลับคืนชีวิต

 

ข้ออ้างของแขกรับเชิญ

15ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระองค์ว่า ‘ผู้ที่รับประทานอาหารในพระอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข!’

16พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญคนเป็นจำนวนมาก

17เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า “เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว”

18แต่ทุกคนต่างพากันขอตัว คนแรกกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำเป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”

19อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อโคไว้ห้าคู่ กำลังจะไปทดลองดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”

20อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงไม่สามารถมาได้”

21‘ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายจึงโกรธมาก พูดแก่ผู้รับใช้ว่า “จงรีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด”b

22ผู้รับใช้กลับมาบอกนายว่า “นายขอรับ ข้าพเจ้าได้กระทำตามคำสั่งของท่านแล้ว แต่ยังมีที่ว่างอีก”

23นายจึงบอกผู้รับใช้ว่า “จงออกไปตามทางเดินและตามรั้วcต้นไม้ เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อทำให้คนเต็มบ้านของเรา

24เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา”’

 

การสละทุกสิ่งซึ่งเป็นที่รัก

25ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์จึงทรงผินพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า

26‘ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าdบิดามารดา ภรรยาe บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นไม่สามารถเป็นศิษย์ของเราได้

27ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นไม่สามารถเป็นศิษย์ของเราได้เช่นเดียวกัน

 

การสละทรัพย์สมบัติ

28‘ท่านผู้ใดเล่าที่ต้องการสร้างหอคอยจะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนว่าเขามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่?

29มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา กล่าวว่า 30“คนนี้เริ่มก่อสร้างแต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จ”

31หรือว่ากษัตริย์องค์ใดที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่?

32ถ้าไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ 33ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่f ก็ไม่สามารถเป็นศิษย์ของเราได้

 

คนกระตือรือร้นหมดไป

34‘เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า?

35เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ทั้งสำหรับดินและสำหรับเป็นปุ๋ย มีแต่จะถูกโยนทิ้งเท่านั้น ใครที่มีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด!’

 

เรื่องอุปมาสามเรื่องแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า

บทที่ 15
15 1บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า

2ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและรับประทานอาหารร่วมกับเขา’

3พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง

 

เรื่องแกะที่พลัดหลง
4‘ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ?

5เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันแบกใส่บ่าด้วยความยินดี

6กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา กล่าวว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันได้พบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว”

7เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งได้กลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่จำเป็นต้องกลับใจ”

 

เรื่องเงินเหรียญที่หายไป

8‘หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำหายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาดบ้าน ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ?

9เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมากล่าวว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันได้พบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว”

10เราบอกท่านทั้งหลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกัน เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ’

 

เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้วa
11พระองค์ยังตรัสอีกว่า ‘ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน

12บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า “คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน

13ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กได้รวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาได้ประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น

14‘เมื่อเขาผลาญเงินหมดแล้ว บังเอิญประเทศนั้นเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ และเขาเริ่มขาดแคลน

15จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง ซึ่งใช้เขาไปเลี้ยงหมูในไร่

16เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้

17เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า “ผู้รับใช้หลายคนของพ่อฉันมีอาหารกินอย่างอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว!

18ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า “คุณพ่อครับ ลูกได้ทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อคุณพ่อ

19ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของคุณพ่ออีก โปรดถือว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของคุณพ่อเถิด”

20เขาก็กลับไปหาบิดา
‘ขณะที่เขายังอยู่แต่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา

21บุตรจึงกล่าวแก่บิดาว่า “คุณพ่อครับ ลูกได้ทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อคุณพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของคุณพ่ออีก”

22แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า! จงไปเอาเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา เอาแหวนมาสวมนิ้ว เอารองเท้ามาใส่ให้ 23จงเอาลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด

24เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วได้กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น

25‘ส่วนบุตรคนโตbอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ

26จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

27ผู้รับใช้ได้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาได้สั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกที่สุขสบายกลับคืนมา”

28บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงได้ออกมาขอร้องให้เข้าไป 2

9แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกได้รับใช้คุณพ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของคุณพ่อเลย คุณพ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ

30แต่พอลูกคนนี้ของคุณพ่อกลับมา เขาได้คบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของคุณพ่อจนหมด –คุณพ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย”

31‘บิดากล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก

32แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว ได้กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก”’

 

ความฉลาดของผู้จัดการ

บทที่ 16
16 1aพระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า ‘เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ได้ผลาญทรัพย์สินของนาย

2เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร? จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป”

3ผู้จัดการจึงคิดว่า ”ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว? จะไปขอทานก็อับอาย

4ฉันรู้แล้วละว่าจะทำอย่างไรเพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา”

5‘เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า “ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร?” 6ลูกหนี้ตอบว่า “เป็นหนี้น้ำมันมะกอกหนึ่งร้อยถัง” ผู้จัดการจึงบอกเขาว่า “นำใบสัญญาของท่านมา นั่งลงเร็วๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง”

7แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า “แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร?” เขาตอบว่า “เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ” ผู้จัดการจึงบอกว่า “เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ”

8‘นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นbว่าเขาได้กระทำอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะว่าบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง'

 

การใช้เงินทองอย่างถูกต้อง
9‘ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองอธรรมcเพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้นหมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พำนักนิรันดร 10ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย

11เพราะฉะนั้นถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า?

12ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่นd ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน?e

13‘ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายหนึ่งและจะรักอีกนายหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายหนึ่งและจะดูหมิ่นอีกนายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้’

 

พระเยซูเจ้าทรงตำหนิชาวฟาริสีที่รักเงินทอง

14ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยคำทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์

15พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่องเป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

 

ความพยายามเข้าสู่พระอาณาจักร
16‘ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกมีผลบังคับจนถึงสมัยของยอห์น หลังจากนั้นมีการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า และทุกคนกำลังพยายามเข้าสู่พระอาณาจักรนี้

 

ธรรมบัญญัติคงอยู่ตลอดไป

17‘ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไปได้ แต่ธรรมบัญญัติจะขาดหายไปไม่ได้แม้เพียงขีดเดียว

 

การสมรสหย่าร้างไม่ได้

18‘ทุกคนที่หย่าร้างภรรยาและแต่งงานใหม่ก็ทำผิดประเวณี และผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างแล้วก็ทำผิดประเวณีด้วย

 

อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสf

19‘มีเศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน

20มีคนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว

21อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีg (22)มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา

22วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์ได้นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัมh เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกนำไปฝัง

23‘เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก

24จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้เอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสอยู่ในเปลวไฟนี้”

25แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวร้าย บัดนี้เขาได้รับความบรรเทาทุกข์ที่นี่ ส่วนลูกต้องรับการทรมาน

26ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่iขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”

27‘เศรษฐีจึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก

28เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย”

29อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด”

30แต่เศรษฐีกล่าวว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ”

31อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครคนหนึ่งที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”

 


การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป

บทที่ 17
17 1พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เหตุที่ชักนำให้ทำบาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้น!

2ถ้าจะเอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชักนำคนธรรมดาๆเหล่านี้แม้เพียงคนเดียวให้ทำบาป

3ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด!”

การตักเตือนกันฉันพี่น้องa

‘ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา

4ถ้าเขาทำผิดต่อท่านวันละเจ็ดครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า “ฉันเสียใจ” ท่านจงให้อภัยเขาเถิด’

พลังของความเชื่อ

5บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด’

6องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดแล้วกล่าวแก่ต้นหม่อนต้นนี้ว่า “จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด” ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน

 

การถ่อมตนรับใช้

7‘ท่านผู้ใดที่มีผู้รับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อผู้รับใช้กลับมาจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับผู้รับใช้หรือว่า “เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด”?b

8แต่จะพูดมิใช่หรือว่า “จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม”

9นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ?

10ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงกล่าวว่า “ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์c เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”’

 

คนโรคเรื้อนสิบคน

11ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลีd

12เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างจากพระองค์

13ร้องตะโกนว่า ‘พระเยซู พระอาจารย์! โปรดสงสารพวกเราเถิด’

14พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า ‘จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด’ ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค

15คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า

16ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย

17พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ? อีกเก้าคนอยู่ที่ใดเล่า?

18ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?’

19แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว’

 

พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง

20เมื่อชาวฟาริสีทูลถามว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด?” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้

21ไม่มีใครจะกล่าวว่า “พระอาณาจักรอยู่ที่นี่! หรืออยู่ที่นั่น!” เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายแล้ว’e

 

วันของบุตรแห่งมนุษย์f

22พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์gแม้เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น

23จะมีหลายคนกล่าวแก่ท่านว่า “บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น!’ หรือ “บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่!” ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป 24เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้าหนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น

25แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จำเป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์

26‘เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์hฉันนั้น

27ผู้คนได้แต่กิน ดื่ม และแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น 28ในสมัยของโลทก็เป็นเช่นเดียวกัน ผู้คนได้แต่กิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน

29แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น

30ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย

31‘ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก

32ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด 33ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่จะเสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้

34เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้

35หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้’i(36)

37บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า ‘เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า?’ พระองค์ทรงตอบว่า ‘ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน’

 

 

ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงหม้ายผู้รบเร้า

บทที่ 18

18 1พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอยa

2พระองค์ตรัสว่า ‘มีผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด

3มีหญิงหม้ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่ากล่าวว่า “กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด!”

4ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า “แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด

5แต่เพราะหญิงหม้ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรมเสีย เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา”’

6องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ

7แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ? พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ?b

8เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้อีกหรือ?’

 

ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี

9พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังด้วยว่า 10‘มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี

11ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้

12ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า”

13ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้า ได้แต่ข้อน-อก กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด”

14เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’

 

พระเยซูเจ้าและเด็กเล็กๆc

15มีผู้นำเด็กเล็กๆมาให้พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสอวยพร บรรดาศิษย์เห็นเข้าจึงกล่าวตำหนิคนเหล่านั้น

16แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆเหล่านั้นเข้ามาตรัสว่า ‘ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้

17เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “ผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างที่เด็กเล็กๆรับ เขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย’

 

คนชั้นสูงผู้มั่งคั่ง

18คนชั้นสูงคนหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ‘พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร?’

19พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ทำไมเรียกเราว่าผู้ทรงความดี? ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น

20ท่านก็รู้จักบทบัญญัติแล้ว อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา’

21เขาทูลว่า ‘ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว

22เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยิน จึงตรัสว่า ‘ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด’

23เมื่อได้ยินพระวาจานี้ เขารู้สึกเศร้ามาก เพราะเขาเป็นผู้มั่งคั่ง

 

อันตรายจากทรัพย์สมบัติ

24พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรคนชั้นสูงผู้นั้นแล้วตรัสว่า ‘ยากจริงหนอที่คนมั่งคั่งจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า!

25อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมั่งคั่งเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า’

26ผู้ที่ฟังอยู่จึงกล่าวว่า ‘ถ้าเช่นนั้น ใครเล่าจะสามารถรอดพ้นได้?’

27พระองค์ตรัสว่า ‘สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’

 

รางวัลของการสละทุกสิ่ง

28เปโตรทูลว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งที่มีและติดตามพระองค์แล้ว’

29พระองค์ตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน ภรรยา พี่น้อง บิดามารดาหรือบุตรเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรของพระเจ้า

30แล้วจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทนdหลายเท่า ณ บัดนี้ และได้รับชีวิตนิรันดรในโลกหน้า’

 

พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สามถึงพระทรมาน

31พระเยซูเจ้าทรงพาอัครสาวกทั้งสิบสองคนออกไปตามลำพัง ทรงบอกเขาว่า ‘บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทุกสิ่งที่บรรดาประกาศกได้เขียนไว้eเกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์จะเป็นความจริง

32บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาคนต่างศาสนา จะถูกสบประมาทเยาะเย้ย ถูกทำทารุณ และถูกถ่มน้ำลายรด

33เขาเหล่านั้นจะโบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์เสีย แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ’

34แต่บรรดาอัครสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้เลย พระดำรัสนี้เร้นลับสำหรับเขา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัส

 

นตาบอดที่เมืองเยรีโค

 

35ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค มีชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง 36เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

37มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา 38คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า ‘ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด’

39ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า ‘พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด’

40พระเยซูเจ้าทรงหยุด สั่งให้นำผู้นั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้แล้ว พระองค์ก็ทรงถามว่า

41‘เจ้าอยากให้เราทำอะไรให้เจ้า?’ เขาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด’

42พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว’

43ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงได้เห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า

 

ศักเคียส

บทที่ 19
19 1พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยริโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น

2มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งคั่ง 3เขาพยายามดูว่าใครเป็นพระเยซูเจ้า แต่ก็ไม่สามารถจะเห็นได้เพราะมีคนมากและเขาเป็นคนร่างเตี้ย 4เขาจึงได้วิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อดูให้เห็นพระเยซูเจ้า

5เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรและตรัสกับเขาว่า ‘ศักเคียส จงรีบลงมาเถิด เพราะเราจะต้องไปพักที่บ้านท่านในวันนี้’

6เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี

7ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า ‘เขาไปพักที่บ้านคนบาป’

8ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนยากจน และถ้าข้าพเจ้าได้โกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า’a

9พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘วันนี้ ความรอดพ้นได้มาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะว่าคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วยb

10บุตรแห่งมนุษย์ได้มาเพื่อแสวงหาและช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น’

 

อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุนc

11ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเพราะพระองค์ทรงอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว และประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า

12พระองค์ตรัสว่า ‘มีบุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งได้ออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมาd

13เขาได้เรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า “จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ”

14แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า “พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์”

15ถึงกระนั้นเขาได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขาได้มอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร

16คนแรกเข้ามารายงานว่า “นายขอรับ เงินที่ท่านได้ให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า”

17นายจึงบอกเขาว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจปกครองสิบเมืองเถิด”

18คนที่สองเข้ามารายงานว่า “นายขอรับ เงินที่ท่านได้ให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า”

19นายบอกเขาว่า “เจ้าจงไปปกครองห้าเมืองเถิด”

20อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “นายขอรับ เงินที่ท่านได้ให้ไว้อยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้เอาผ้าห่อเก็บไว้

21ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเคร่งครัด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน”

22นายจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าขี้ข้าชั่วช้า! ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้าเอง เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเคร่งครัด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน

23ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า? เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย”

24แล้วเขายังกล่าวแก่คนที่อยู่ที่นั่นว่า “จงเอาเงินจากเขามาให้แก่ผู้ที่ได้ทำกำไรสิบเท่าเถิด”

25คนเหล่านั้นกล่าวว่า “นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว…”

26ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า “ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย”

27“ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารเสียต่อหน้าข้า”

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown