5. พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนที่กรุงเยรูซาเล็ม (บทที่20-21)
- รายละเอียด
- หมวด: พระวรสารนักบุญลูกา
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 1547
พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
28เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าได้ทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
29เมื่อเสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า
30‘จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมันมาเถิด
31ถ้าผู้ใดถามว่า “ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม?” จงตอบเขาว่า “พระอาจารย์ต้องการใช้มัน”
32ศิษย์ที่พระองค์ทรงส่งได้ไปและพบตามที่พระองค์ได้ทรงบอกพวกเขาไว้
33ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาได้ถามว่า ‘ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม?’
34ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน’
35แล้วเขาได้จูงลูกลามาให้พระเยซูเจ้า เอาเสื้อคลุมปูบนหลังลา แล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ทรงลาตัวนั้น
36ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนได้เอาเสื้อคลุมปูลาดตามทาง
37เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้ว บรรดาศิษย์ทุกคนต่างมีความชื่นชมยินดี โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาได้เห็น
38ว่า
ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมา
ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
สันติจงมีในสวรรค์
และพระสิริรุ่งโรจน์ในที่สูงสุด!
พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ
39ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด’
40พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่ง บรรดาก้อนหินจะส่งเสียงตะโกน’
พระเยซูเจ้าทรงพระกันแสงถึงกรุงเยรูซาเล็ม
41ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ทอดพระเนตรเห็นเมืองแล้วทรงพระกันแสงถึงเมืองนั้น
42ตรัสว่า ‘ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติ!eก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นได้ถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าเสียแล้ว! 43วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกของเจ้าจะสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน
44จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า’f
พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร
45พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับเขาว่า
46‘มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร’
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร
47พระองค์ได้ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์พร้อมกับหัวหน้าประชาชนหาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์
48แต่ไม่พบช่องทางจะทำประการใด เพราะประชาชนทั้งปวงต่างตั้งใจฟังพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากที่ใด
บทที่ 20
20 1aวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนประชาชนและทรงประกาศข่าวดีอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์พร้อมกับผู้อาวุโสได้เข้ามาพบพระองค์
2ทูลถามพระองค์ว่า ‘จงบอกเราเถิดว่าท่านมีอำนาจอะไรจึงทำเช่นนี้? ใครเป็นผู้มอบอำนาจนี้แก่ท่าน?’
3พระองค์ตรัสตอบเขาว่า ‘เราจะถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ท่านจงบอกเราซิว่า 4พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์ หรือจากมนุษย์?
5เขาจึงปรึกษากันว่า ‘ถ้าเราตอบว่า มาจากสวรรค์ เขาก็จะกล่าวว่า “แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า?”
6ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ ประชาชนทั้งหมดก็จะเอาหินทุ่มเราเป็นแน่ เพราะประชาชนทั้งหลายมั่นใจว่ายอห์นเป็นประกาศกจริงๆ’
7บรรดาสมณะ ธรรมาจารย์พร้อมกับผู้อาวุโสจึงตอบว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน?”
8พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่าเราทำการเหล่านี้โดยอำนาจใด’
อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย
9พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้ประชาชนฟังว่า ‘ชายคนหนึ่งได้ปลูกองุ่นไว้ในสวนหนึ่งให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมืองเป็นเวลานาน
10เมื่อถึงเวลากำหนดเขาก็ใช้ผู้รับใช้ไปหาคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนได้ทุบตีผู้รับใช้คนนั้นแล้วไล่กลับไปมือเปล่า
11เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ทุบตีด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย แล้วไล่กลับไปมือเปล่าเช่นกัน
12เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนที่สามไปอีก คนเช่าสวนก็ทำร้ายผู้รับใช้คนนี้จนบาดเจ็บแล้วไล่ออกไป
13เจ้าของสวนจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันจะส่งลูกสุดที่รักไป พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของฉันบ้าง”
14เมื่อคนเช่าแลเห็นบุตรของเจ้าของสวนมาก็ปรึกษากันว่า “คนคนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เพื่อมรดกจะได้ตกเป็นของเรา”
15แล้วเขาจึงไล่บุตรของเจ้าของสวนออกไปจากสวนและฆ่าเสีย
‘เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้?
16เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า’ เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้จึงกล่าวว่า ‘อย่าให้เป็นเช่นนี้เลย!’
17พระเยซูเจ้าทรงเพ่งมองหน้าเขา ตรัสว่า ‘ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร
หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
18ทุกคนที่ล้มลงบนหินก้อนนั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆ หินก้อนนี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆเช่นเดียวกัน”
19บรรดาธรรมาจารย์และมหาสมณะทราบดีว่าพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องนี้หมายถึงพวกตน จึงหาช่องทางจับกุมพระองค์ทันที แต่ยังไม่กล้าทำ เพราะกลัวประชาชน
การเสียภาษีแก่ซีซาร์
20พวกเขาจึงคอยจับตาดูพระองค์ ส่งสายลับซึ่งแสร้งทำตนเป็นคนชอบธรรม เพื่อให้มาจับผิดพระองค์ในพระวาจา จะได้มอบพระองค์ให้แก่ผู้ว่าราชการซึ่งมีอำนาจตัดสิน
21คนเหล่านี้ทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดและสั่งสอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง
22เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์?’
23พระเยซูเจ้าทรงทราบอุบายของเขา จึงตรัสว่า
24“เอาเงินเหรียญให้เราดูสักเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?’ เขาตอบว่า ‘เป็นของซีซาร์’
25พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ‘ฉะนั้น จงคืนของของซีซาร์ให้แก่ซีซาร์ –และจงคืนของของพระเจ้าให้แก่พระเจ้าเถิด’
26เขาไม่สามารถจับผิดพระองค์ได้ในพระวาจานี้ที่พระองค์ตรัสต่อหน้าประชาชน เขารู้สึกพิศวงในคำตอบของพระองค์ –จึงได้นิ่งไป
การกลับคืนชีพของผู้ตาย
27ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า –คนเหล่านี้สอนว่า ไม่มีการกลับคืนชีพ- เขาได้ทูลถามพระองค์ว่า
28‘พระอาจารย์ โมเสสได้เขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาและไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชายไว้
29มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร
30คนที่สอง
31และคนที่สามได้รับนางเป็นภรรยา และตายโดยไม่มีบุตร และเป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน
32ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33ดังนี้ เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา?’
34พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'คนของโลกนี้bแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน
35แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายcนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก
36เพราะว่าเขาจะตายไม่ได้อีกต่อไปd เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะได้กลับคืนชีพe
37โมเสสเองก็ได้ยืนยันแล้วว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ทรงเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ
38พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์’
39ธรรมาจารย์บางคนfจึงกล่าวว่า ‘พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว’
40เขาไม่กล้าทูลถามอะไรพระองค์อีกต่อไป
พระคริสตเจ้าไม่ทรงเป็นเพียงโอรสของกษัตริย์ดาวิด
41พระเยซูเจ้าทรงถามคนเหล่านั้นว่า ‘ประชาชนกล่าวได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด?
42เพราะกษัตริย์ดาวิดเองทรงกล่าวไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา
43จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองบาทของท่าน
44เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไรกัน?’
พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์
45ขณะที่ประชาชนทุกคนกำลังฟังอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
46‘จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา อยากให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง
47คนเหล่านี้โกงกินทรัพย์สินของหญิงหม้ายและอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น’
เศษเงินของหญิงหม้าย
บทที่ 21
21 1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน
2ทรงเห็นหญิงหม้ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย
3จึงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงหม้ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน
4เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน’
คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มa
บทนำ
5ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า
6‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’
7เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น?’
เครื่องหมายเตือน
8พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะมาอ้างนามของเรา กล่าวว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป 9เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’
10แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง
11แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
12‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา
13-และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา
14จงตกลงใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน
15เราbจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะไม่สามารถต้านทานหรือโต้แย้งได้
16บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย
17ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา
18แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่สูญเสียไปแม้เพียงเส้นเดียว
19ท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ด้วยความยืนหยัดมั่นคง
กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย
20‘เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกรุงเยรูซาเล็มถูกกองทัพล้อมไว้c ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
21เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา ให้ผู้ที่อยู่ในกรุงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็อย่าเข้ามาในกรุง
22เพราะว่าวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์dจะเป็นความจริงทุกประการ
23น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น! ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้
24บางคนจะล้มตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้e
ภัยพิบัติในจักรวาล และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์
25‘จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆบนแผ่นดินจะกังวล หวาดกลัวเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน
26มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัวและการสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะอำนาจในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน
27หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่
28เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยศีรษะขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว’
เวลาแห่งการเสด็จมา
29พระองค์ตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า ‘จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด
30เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
31เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้วf
32เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น
33ฟ้าดินจะผ่านพ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่ผ่านพ้นไปเลย
คำเตือนให้เตรียมพร้อม
34‘จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน
35เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาgเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน 36ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้’
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย
37ในเวลากลางวัน พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร แต่ในเวลากลางคืนพระองค์ทรงออกไปประทับค้างแรมอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ 38ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อฟังพระองค์h