มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

5. พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนที่กรุงเยรูซาเล็ม (บทที่20-21)

พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

28เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าได้ทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

29เมื่อเสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า

30‘จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมันมาเถิด

31ถ้าผู้ใดถามว่า “ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม?” จงตอบเขาว่า “พระอาจารย์ต้องการใช้มัน”

32ศิษย์ที่พระองค์ทรงส่งได้ไปและพบตามที่พระองค์ได้ทรงบอกพวกเขาไว้

33ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาได้ถามว่า ‘ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม?’

34ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน’

35แล้วเขาได้จูงลูกลามาให้พระเยซูเจ้า เอาเสื้อคลุมปูบนหลังลา แล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ทรงลาตัวนั้น

36ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนได้เอาเสื้อคลุมปูลาดตามทาง

37เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้ว บรรดาศิษย์ทุกคนต่างมีความชื่นชมยินดี โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาได้เห็น

38ว่า
ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมา
ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
สันติจงมีในสวรรค์
และพระสิริรุ่งโรจน์ในที่สูงสุด!

พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ

39ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด’

40พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่ง บรรดาก้อนหินจะส่งเสียงตะโกน’

 

พระเยซูเจ้าทรงพระกันแสงถึงกรุงเยรูซาเล็ม

41ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ทอดพระเนตรเห็นเมืองแล้วทรงพระกันแสงถึงเมืองนั้น

42ตรัสว่า ‘ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติ!eก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นได้ถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าเสียแล้ว! 43วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกของเจ้าจะสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน

44จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า’f

 

พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร

45พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับเขาว่า

46‘มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร’

 

พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร

47พระองค์ได้ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์พร้อมกับหัวหน้าประชาชนหาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์

48แต่ไม่พบช่องทางจะทำประการใด เพราะประชาชนทั้งปวงต่างตั้งใจฟังพระองค์

 

พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากที่ใด

บทที่ 20
20 1aวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนประชาชนและทรงประกาศข่าวดีอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์พร้อมกับผู้อาวุโสได้เข้ามาพบพระองค์

2ทูลถามพระองค์ว่า ‘จงบอกเราเถิดว่าท่านมีอำนาจอะไรจึงทำเช่นนี้? ใครเป็นผู้มอบอำนาจนี้แก่ท่าน?’

3พระองค์ตรัสตอบเขาว่า ‘เราจะถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ท่านจงบอกเราซิว่า 4พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์ หรือจากมนุษย์?

5เขาจึงปรึกษากันว่า ‘ถ้าเราตอบว่า มาจากสวรรค์ เขาก็จะกล่าวว่า “แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า?”

6ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ ประชาชนทั้งหมดก็จะเอาหินทุ่มเราเป็นแน่ เพราะประชาชนทั้งหลายมั่นใจว่ายอห์นเป็นประกาศกจริงๆ’

7บรรดาสมณะ ธรรมาจารย์พร้อมกับผู้อาวุโสจึงตอบว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน?”

8พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่าเราทำการเหล่านี้โดยอำนาจใด’

 

อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย

9พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้ประชาชนฟังว่า ‘ชายคนหนึ่งได้ปลูกองุ่นไว้ในสวนหนึ่งให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมืองเป็นเวลานาน

10เมื่อถึงเวลากำหนดเขาก็ใช้ผู้รับใช้ไปหาคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนได้ทุบตีผู้รับใช้คนนั้นแล้วไล่กลับไปมือเปล่า

11เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ทุบตีด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย แล้วไล่กลับไปมือเปล่าเช่นกัน

12เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนที่สามไปอีก คนเช่าสวนก็ทำร้ายผู้รับใช้คนนี้จนบาดเจ็บแล้วไล่ออกไป

13เจ้าของสวนจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี? ฉันจะส่งลูกสุดที่รักไป พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของฉันบ้าง”

14เมื่อคนเช่าแลเห็นบุตรของเจ้าของสวนมาก็ปรึกษากันว่า “คนคนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เพื่อมรดกจะได้ตกเป็นของเรา”

15แล้วเขาจึงไล่บุตรของเจ้าของสวนออกไปจากสวนและฆ่าเสีย
‘เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้?

16เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า’ เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้จึงกล่าวว่า ‘อย่าให้เป็นเช่นนี้เลย!’

17พระเยซูเจ้าทรงเพ่งมองหน้าเขา ตรัสว่า ‘ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร

หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม

18ทุกคนที่ล้มลงบนหินก้อนนั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆ หินก้อนนี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆเช่นเดียวกัน”

19บรรดาธรรมาจารย์และมหาสมณะทราบดีว่าพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องนี้หมายถึงพวกตน จึงหาช่องทางจับกุมพระองค์ทันที แต่ยังไม่กล้าทำ เพราะกลัวประชาชน

 

การเสียภาษีแก่ซีซาร์

20พวกเขาจึงคอยจับตาดูพระองค์ ส่งสายลับซึ่งแสร้งทำตนเป็นคนชอบธรรม เพื่อให้มาจับผิดพระองค์ในพระวาจา จะได้มอบพระองค์ให้แก่ผู้ว่าราชการซึ่งมีอำนาจตัดสิน

21คนเหล่านี้ทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดและสั่งสอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง

22เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์?’

23พระเยซูเจ้าทรงทราบอุบายของเขา จึงตรัสว่า

24“เอาเงินเหรียญให้เราดูสักเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?’ เขาตอบว่า ‘เป็นของซีซาร์’

25พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ‘ฉะนั้น จงคืนของของซีซาร์ให้แก่ซีซาร์ –และจงคืนของของพระเจ้าให้แก่พระเจ้าเถิด’

26เขาไม่สามารถจับผิดพระองค์ได้ในพระวาจานี้ที่พระองค์ตรัสต่อหน้าประชาชน เขารู้สึกพิศวงในคำตอบของพระองค์ –จึงได้นิ่งไป

 

การกลับคืนชีพของผู้ตาย
27ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า –คนเหล่านี้สอนว่า ไม่มีการกลับคืนชีพ- เขาได้ทูลถามพระองค์ว่า

28‘พระอาจารย์ โมเสสได้เขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาและไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชายไว้

29มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร

30คนที่สอง

31และคนที่สามได้รับนางเป็นภรรยา และตายโดยไม่มีบุตร และเป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน

32ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33ดังนี้ เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา?’

34พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'คนของโลกนี้bแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน

35แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายcนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก

36เพราะว่าเขาจะตายไม่ได้อีกต่อไปd เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะได้กลับคืนชีพe

37โมเสสเองก็ได้ยืนยันแล้วว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ทรงเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ

38พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์’

39ธรรมาจารย์บางคนfจึงกล่าวว่า ‘พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว’

40เขาไม่กล้าทูลถามอะไรพระองค์อีกต่อไป

พระคริสตเจ้าไม่ทรงเป็นเพียงโอรสของกษัตริย์ดาวิด 

41พระเยซูเจ้าทรงถามคนเหล่านั้นว่า ‘ประชาชนกล่าวได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด?

42เพราะกษัตริย์ดาวิดเองทรงกล่าวไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา

43จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองบาทของท่าน

44เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไรกัน?’

 

พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์

45ขณะที่ประชาชนทุกคนกำลังฟังอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า

46‘จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา อยากให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง

47คนเหล่านี้โกงกินทรัพย์สินของหญิงหม้ายและอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น’

 

เศษเงินของหญิงหม้าย

บทที่ 21
21 1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน

2ทรงเห็นหญิงหม้ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย

3จึงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงหม้ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน

4เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน’

 

คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มa

บทนำ

5ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า

6‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’

7เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น?’

เครื่องหมายเตือน
8พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะมาอ้างนามของเรา กล่าวว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป 9เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’

10แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง

11แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
12‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา

13-และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา

14จงตกลงใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน

15เราbจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะไม่สามารถต้านทานหรือโต้แย้งได้

16บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย

17ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา

18แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่สูญเสียไปแม้เพียงเส้นเดียว

19ท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ด้วยความยืนหยัดมั่นคง

 

กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

 

20‘เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกรุงเยรูซาเล็มถูกกองทัพล้อมไว้c ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

21เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา ให้ผู้ที่อยู่ในกรุงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็อย่าเข้ามาในกรุง

22เพราะว่าวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์dจะเป็นความจริงทุกประการ

23น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น! ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้

24บางคนจะล้มตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้e

 

ภัยพิบัติในจักรวาล และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์

25‘จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆบนแผ่นดินจะกังวล หวาดกลัวเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน

26มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัวและการสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะอำนาจในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน

27หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่

28เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยศีรษะขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว’

 

เวลาแห่งการเสด็จมา

29พระองค์ตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า ‘จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด

30เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว

31เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้วf

32เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น

33ฟ้าดินจะผ่านพ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่ผ่านพ้นไปเลย

 

คำเตือนให้เตรียมพร้อม

34‘จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน

35เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาgเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน 36ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้’

 

พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย

37ในเวลากลางวัน พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร แต่ในเวลากลางคืนพระองค์ทรงออกไปประทับค้างแรมอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ 38ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อฟังพระองค์h

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown