มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

2. ทรงประกาศพระอาณาจักรสวรรค์ (บทที่3-7)

บทที่ 3

ก. เรื่องเล่า

การเทศน์สอนของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง

3 1ในครั้งนั้น ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างมาประกาศสอนในถิ่นทุรกันดารแห่งแคว้นยูเดีย 2ยอห์น กล่าวว่า 'จงกลับใจเถิด อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว' 3ยอห์นผู้นี้คือผู้ที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวถึงว่า
มีเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า'จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำทางของพระองค์ให้ตรงเถิด'

4ยอห์นนุ่งห่มด้วยผ้าขนอูฐ มีสายหนังรัดเอว รับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร 5ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม จากทั่วแคว้นยูเดีย และจากทั่วเขตแม่น้ำจอร์แดนได้พากันไปพบเขา 6รับพิธีล้างจากเขาในแม่น้ำจอร์แดนโดยสารภาพบาปของตน

7เมื่อยอห์นเห็นชาวฟาริสีและสะดูสีหลายคนมารับพิธีล้างจึงกล่าวว่า 'เจ้าสัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำเจ้าให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง

8จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด

9อย่าอวดอ้างเองว่า "เรามีอับราฮัมเป็นบิดา" ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงสามารถบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้

10บัดนี้ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากต้น ไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่เกิดผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ

11ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย เพื่อให้สำนึกผิดกลับใจ แต่ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่สมควรที่จะถือรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างท่าน เดชะพระจิตเจ้าและไฟ

12เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด รวมข้าวเก็บใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาเสีย ในไฟที่ไม่รู้ดับ'


พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง

13เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อรับพิธีล้างจากยอห์น

14ยอห์น พยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขากล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเองที่ควรจะได้รับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาหาข้าพเจ้า'

15พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า' ยอห์นจึงยอมทำตาม

16เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทรงเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ

17แล้วมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า 'ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา'

 

บทที่ 4

พระเยซูเจ้าทรงถูกปิศาจผจญในถิ่นทุรกันดาร

4 1เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปิศาจมาผจญพระองค์

2เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงรู้สึกหิว

3ปิศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ทูลว่า 'ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด'

4แต่พระองค์ตรัสตอบว่า 'มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า 'มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'

5ต่อจากนั้น ปิศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า

6'ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะในพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า 'พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค ์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้มิให้เท้าสะดุดหิน'

7พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'ในพระคัมภีร์ยังเขียนไว้ด้วยว่า
'อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าเลย'

8ปิศาจอุ้มพระองค์อีกครั้งหนึ่งไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่างๆ อันรุ่งเรืองของโลก

9แล้วทูลว่า 'เราจะให้ทุกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบ-นมัสการเรา'

10พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า 'เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า 'จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าและรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น'

11ปิศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์

 

พระเยซูเจ้าเสด็จกลับแคว้นกาลิลี

12เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำ จึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี

13ทรงออกจากเมืองนาซาเร็ธ มาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม บนฝั่งทะเลสาบ ในดินแดนเผ่าเศบูลุน และนัฟทาลี

14ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์ เป็นความจริงว่า

15ดินแดนเศบูลุนและนัฟทาลีถ เส้นทางไปสู่ทะเลฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดนแคว้นกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ

16ประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตาย
แสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว

17นับแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า 'จงกลับใจเถิด เพราะว่าอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว'


ทรงเรียกศิษย์ชุดแรกสี่คน

18ขณะที่ทรงดำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแหอยู่ในทะเลสาบ เพราะเขาเป็นชาวประมง

19พระองค์ตรัสแก่เขาว่า 'จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์'

20ทันใดนั้นเขาก็ละแหไว้ แล้วตามพระองค์ไป

21เมื่อทรงดำเนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชาย กำลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา

22ทันใดนั้น เขาก็ละเรือและบิดา แล้วตามพระองค์ไป


พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดี และทรงรักษาผู้เจ็บป่วย

23พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในศาลา-ธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษา โรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน

24กิตติศัพท์เกี่ยวกับพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย ประชาชนจึงนำผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ผู้ที่ถูกความทุกข์เบียดเบียน ผู้ถูกปิศาจสิง ผู้เป็นลมบ้า-หมู และผู้ที่เป็นง่อยมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้นให้หายจาก โรคและความเจ็บไข้

25ประชาชนมากมายจากแคว้นกาลิลี จากทศบุรี จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นยูเดีย และจากฟากโน้นของ แม่น้ำจอร์แดน พากันติดตามพระองค์

 

บทที่ 5

ข. บทเทศน์บนภูเขา

ความสุขแท้จริง

5 1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับนั่งแล้วบรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์

2พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนเขาว่า

3ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

4ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน

5ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก

6ผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม

7ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา

8ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า

9ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า

10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

11'ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกเขาดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา

12จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน


เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก

13'ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทอดทิ้งให้คนเหยียบ- ย่ำ

14'ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง

15ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน

16ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์


พระเยซูเจ้าทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์

17'จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์

18เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่พินทุอิหรือขีดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป

19ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักร-สวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์

 

มาตรฐานใหม่ สูงกว่ามาตรฐานเดิม

20'เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี แล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย

21'ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล 22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้องจะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่' ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่บัดซบ' ผู้นั้นจะต้องถูกปรับ โทษถึงไฟนรก

23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว

24จงวาง เครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น

25จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้นคู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกมาไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย

27'ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า "อย่าล่วงประเวณี"

28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วง-ประเวณีกับนางในใจแล้ว

29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก

30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก

31'มีคำกล่าวว่า "ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง"

32แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยาของตน ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย

33'ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า "อย่าผิดคำ-สาบาน แต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า" 34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า

35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์

36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้

37ท่านจงกล่าวเพียงว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ที่เกินไปนั้นมาจากปิศาจ

38'ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"

39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย 40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย

41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด

42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลัง ให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน

43'ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า "จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู"

44แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงภาวนาให้ผู้ที่ เบียดเบียนท่าน

45เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นทั้งเหนือคนดี และคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม

46ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ?

47ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า? คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ?

48ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีบริบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีบริบูรณ์เถิด'

 

บทที่ 6

การให้ทาน

6 1'จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อโอ้อวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์

2ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

3ส่วนท่านเมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำอะไร เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่ เปิดเผย

4แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน

 

การอธิษฐานภาวนา

5'เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา ก็อย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

6 ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิต อยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน


วิธีอธิษฐานภาวนา บทภาวนาของพระเยซูเจ้า

7'เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา อย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่าง-ศาสนา เขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงสดับฟังเพราะเขาพูดมาก

8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก

9เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ

10พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์

11โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้

12โปรดให้อภัยความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย

13อย่านำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการถูกผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วเทอญ

14'เพราะว่า ถ้าท่านให้อภัยความผิดแก่ผู้อื่น พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะทรงให้อภัยความผิดของท่านด้วย

15แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยความผิดแก่ผู้อื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยความผิดของท่านเช่นกัน


การจำศีลอดอาหาร

16'เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้า-หมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

17ส่วนท่านเมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ำมันหอมเจิมศีรษะ

18เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน


สมบัติแท้

19'ท่านทั้งหลายอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิม และขมวนกัดกิน และขโมยเจาะช่องมาล้วงลักเอาไปได้

 

20แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่น ไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน และขโมยก็ไม่เจาะช่องมาล้วงลักเอาไปได้

21เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย


ประทีปของร่างกาย

22'ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย

23แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด!

 

พระเจ้าและเงินทอง

24'ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายหนึ่งและจะรักอีกนายหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายหนึ่งและจะดูหมิ่นอีกนายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้


ความวางใจในพระเจ้า

25'ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ!

26จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรง เลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ?

27ท่านใดที่กังวลแล้วสามารถต่อชีวิตของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้?

28ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย

29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง

30ถ้าหญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ และรุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้แล้ว พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ? ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง

31ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า "เราจะกินอะไร? หรือจะดื่มอะไร? หรือเราจะนุ่งห่มอะไร?"

32เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการทุกสิ่ง เหล่านี้

33จงแสวงหาพระ-อาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้

34เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว'

 

บทที่ 7

อย่าตัดสินผู้อื่น

7 1'อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน

2ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน

3ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเองเลย?

4ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า "ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด"ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่านเอง

5ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัด ไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง

อย่าเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์

6 'อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเกรงว่ามันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหันมากัดท่านอีกด้วย'

คำภาวนาที่ได้ผล

7'จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน

8เพราะว่าทุกคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมจะพบ คนที่เคาะประตูย่อมจะมีผู้เปิดให้

9ท่านใดที่ลูกขออาหารจะให้ก้อนหินหรือ?

10ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ?

11ถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักเอาของดีๆให้ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะมิยิ่งประทานของดีแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ?


กฎทางปฏิบัติ

12'ท่านอยากให้เขากระทำกับท่านอย่างไร ก็จงกระทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก


ทางสองแพร่ง

13'จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก

14แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย


ประกาศกเทียม

15'จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาหาท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย

16ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม?

17ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์เลวย่อมเกิดผลเลว

18ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลเลวมิได้ และต้นไม้พันธุ์เลวก็ไม่อาจเกิดผลดีได้

19ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ

20เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลของเขา

 

ศิษย์แท้

21'มิใช่ทุกคนที่กล่าวแก่เราว่า "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า" จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าได้

22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปิศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์มากมายในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?"

23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่วจงไปให้พ้นหน้าเรา'

24'ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน

25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน

26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย

27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้นมันก็พังทลายและความเสียหายของมันใหญ่ยิ่ง!'

 

ความพิศวงของประชาชน

28เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนพากันพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์

29เพราะว่าพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown