มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

3. พระเยซูเจ้าทรงประกาศอาณาจักรสวรรค์ (บทที่8-10)

ก. เรื่องเล่า : การอัศจรรย์สิบประการ

บทที่ 8

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อน

8 1เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขา ประชาชนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์

2ทันใดนั้น คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ กราบลงทูลว่า 'พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัยก็ทรงสามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายได้'

3พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า 'เราพอใจ จงหายเถิด' โรคเรื้อนก็หายไปทันที

4พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า 'ระวัง อย่าบอกให้ใครทราบเลย จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนดเพื่อเป็นพยานหลักฐานแก่คนทั้งหลาย'

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย

5เมื่อพระองค์เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า

6"พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส"

7พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า 'เราจะไปรักษาเขาให้หาย'

8แต่นายร้อยทูลตอบว่า 'พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค

9ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า "ไป" เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า "มา" เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า "ทำนี่" เขาก็ทำ'

10เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า 'เราบอกความจริง แก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย

11เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวัน-ออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในอาณาจักรสวรรค์

12แต่บุตรแห่งอาณาจักรจะถูกขับไล่ออกไปในที่มืดข้างนอก ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่น เคือง'

13แล้วพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า 'จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อนั้นเถิด' ผู้รับใช้ของเขาก็หายจาก โรคใน เวลานั้นเอง

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาเปโตร

14เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้อยู่

15พระองค์จึงทรงจับมือนาง ไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก

16เย็นวันนั้น ประชาชนนำผู้ถูกปิศาจสิงจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปิศาจเหล่านี้ออกไปด้วยพระวาจา และทรงบำบัดรักษาผู้ป่วยทุกคน

17เพื่อให้พระวาจาที่ได้ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า พระองค์ทรงรับเอาความอ่อนแอของเราไว้ และทรงแบกความเจ็บป่วยของเรา

 

ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องอุทิศตนโดยไม่มีเงื่อนไข

18พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสั่งบรรดาศิษย์ให้ข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่ง

19ธรรมา-จารย์คนหนึ่งเข้ามาทูลว่า 'พระอาจารย์ ข้าพเจ้าอยากติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะไป'

20พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า 'สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ'

21ศิษย์อีกคนหนึ่งทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน'

22แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด'

 

พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ

23พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย

24ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับอยู่

25บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่แล้ว!'

26พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า 'ทำไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน?' แล้วทรงลุกขึ้น บังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบอย่างยิ่ง

27คนทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจ พูดว่า 'ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้?'


ชาวกาดาราผู้ถูกปิศาจสิง

28พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผู้ถูกปิศาจสิงสองคนออกจากบริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทั้งสองคนดุร้ายมากจนไม่มีใครเดินผ่านทางนั้นได้

29ทันใดนั้น ทั้งสองคนร้องตะโกนว่า 'ข้าแต่บุตรของพระเจ้า ท่านมายุ่งกับเราทำไม ท่านมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนเวลาหรือ?'

30ไม่ไกลจากที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่

31พวกปิศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า 'ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้ส่งเราเข้าไปอยู่ในหมูฝูงนั้นเถิด'

32พระองค์ตรัสกับมันว่า 'จงไปเถิด' พวกปิศาจจึงได้ออกไปสิงในหมู หมูทั้งฝูงจึงพากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบจมน้ำตาย

33และพวกคนเลี้ยงหมูหนีเข้าไปในเมืองเล่าเรื่องทั้งหมดนี้และเรื่องผู้ถูกปิศาจสิงด้วย

34คนทั้งเมืองจึงพากันออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นพระองค์ ก็ได้ขอร้องพระองค์ให้เสด็จออกไป จากเขตแดนของเขา

 

บทที่ 9

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนง่อย

9 1พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับมายังเมืองของพระองค์

2ทันใดนั้น มีผู้หามคนง่อยคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนง่อยว่า 'มานะเถิด ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว'

3ธรรมาจารย์บางคนจึงคิดในใจว่า 'คนคนนี้กล่าวผรุสวาทต่อพระเจ้า'

4พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า 'ท่านคิดร้ายในใจทำไม?

5อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า "บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว" หรือบอกว่า "ลุกขึ้น เดินไปเถิด?"

6แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัย-บาปได้บนแผ่นดินนี้' -พระองค์จึงตรัสแก่คนง่อยว่า- 'จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด'

7เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน

8เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์


พระเยซูเจ้าทรงเรียกมัทธิว

9ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า 'จงตามเรามาเถิด' เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป


พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป

10ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว มีคนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วม โต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์

11เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า 'ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า?'

12พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า 'คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ

13จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า 'เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป'


การถกเถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร

14วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า 'ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย?'

15พระองค์ทรงตอบว่า 'ผู้รับเชิญมาในงานสมรสจะโศกเศร้าได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา? แต่จะมีวันหนึ่งที่ เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร

16ไม่มีใครเอาผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่เอามาปะเสื้อ-เก่านั้นจะหดตัว ทำให้รอยขาดเลวร้ายกว่าเดิม

17ไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย


พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงตกโลหิต ทรงปลุกบุตรสาวของหัวหน้าให้คืนชีวิต

18ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบแทบพระบาท ทูลว่า 'บุตรสาวของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต'

19พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์

20ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตมาสิบสองปีแล้ว ได้เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์

21นางคิดว่า 'ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค'

22พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า 'ลูกเอ๋ย ทำใจดีๆไว้ ความเชื่อของเจ้า ช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว' หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น

23เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า

24'ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น' พวกนั้นพากันหัวเราะเยาะพระองค์

25เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น

26ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแว่นแคว้นนั้น


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดสองคน

27ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จออกจากที่นั่น คนตาบอดสองคนตามพระองค์ไป ร้องตะโกนว่า 'โอรสของกษัตริย์ดาวิด โปรดเมตตาเราเถิด'

28เมื่อเสด็จมาถึงบ้าน คนตาบอดเข้ามาเฝ้าพระองค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามว่า 'ท่านเชื่อว่าเราทำเช่นนั้น ได้หรือ?' เขาทั้งสองตอบว่า 'เชื่อ พระเจ้าข้า'

29พระองค์จึงทรงสัมผัสตาของเขา ตรัสว่า 'จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด'

30แล้วตาของเขาทั้งสองคนก็เริ่มมองเห็น พระเยซูเจ้าทรงกำชับเขาอย่างเข้มงวดว่า 'ระวังอย่าบอกให้ ใครรู้เรื่องนี้'

31แต่เมื่อทั้งสองคนออกไปก็ได้ประกาศเรื่องของพระองค์ทั่วแว่นแคว้นนั้น


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนถูกปิศาจสิง

32เมื่อคนที่เคยตาบอดทั้งสองคนจากไปแล้ว มีผู้พาคนใบ้ถูกปิศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า

33ครั้นปิศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนพากันพิศวง กล่าวว่า "ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล"

34แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า 'คนนี้ขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปิศาจนั่นเอง'

 

ความทุกข์ของประชาชน

35พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่ง-สอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด

36เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงรู้สึกสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง

37แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า 'ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด'

 

ข. คำสั่งสอนสำหรับบรรดาอัครสาวก

บทที่ 10

พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกทั้งสิบสองคน

10 1พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนเข้ามาพบประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปิศาจได้ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดได้

2อัครสาวกทั้งสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมนผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย

3ฟิลิปและบาร์โธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัส และธัดเดอัส

4ซีโมนจากกลุ่มผู้รักชาติ และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระองค์

5พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกทั้งสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า 'อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้า ไปในเมืองของชาวสะมาเรีย

6แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน

7จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว

8จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปิศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย

9อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้

10เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัวอย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะว่าคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว

11'เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป

12เมื่อท่านเข้าไปในบ้าน จงให้พรแก่บ้านนั้น

13ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน

14ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นที่เท้าของท่านออกเสียด้วย

15เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น

16จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะท่ามกลางสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ


ธรรมทูตจะถูกเบียดเบียน

17'จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาลและเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา

18ท่านจะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เนื่องจากเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยัน แก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่าง-ศาสนา

19เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจใน เวลานั้นเอง

20เพราะว่า ท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน

21'พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย

22คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้นได้

23เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จกลับมาแล้ว

24'ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย

25ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า "เบเอลเซบูล" เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด?

 

ธรรมทูตต้องไม่เกรงกลัวที่จะพูด

26'อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้

27สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน

28'อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่สามารถทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศ ไปในนรกได้

29นกกระจอกสองตัวเขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ? ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกยังพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ

30ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว

31เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านก- กระจอกจำนวนมาก

32'ทุกคนที่รับรู้เราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับรู้ผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์

33และใครที่ไม่รับรู้เราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับรู้ผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย

 

พระเยซูเจ้าทรงเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง

34'อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำสันติภาพ แต่มาเพื่อนำดาบมาให้

35เรามาเพื่อแยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรสาวจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี

36ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง


การสละตนเองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า

37'ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา

38ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา

39ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก


สรุปคำสั่งสอน

40'ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

41'ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเราเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม

42'ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆเหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของ เรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน'

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown