มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

4. ธรรมล้ำลึกแห่งอาณาจักรสวรรค์ (บทที่11-13)

ก. เรื่องเล่า

บทที่ 11

11 1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์ทั้งสิบสองคนเสร็จแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่างๆในแคว้นกาลิลี

 

คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง คำชมเชยของพระเยซูเจ้า

2ขณะที่ยอห์นถูกจองจำอยู่ในคุก เขาได้ยินข่าวกิจกรรมของพระเยซูเจ้าจึงใช้ศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่า 3'ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก?'

4พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น

5คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี

6ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเราย่อมเป็นสุข'

7ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังจากไป พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า 'ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร? ไปดูต้นอ้อไหวไปมาตามสายลมหรือ? มิใช่เช่นนั้น

8แล้วท่านไปดูอะไรเล่า? ดูคนสวมเสื้อผ้าหรูหราหรือ? คนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราอยู่ในราชวัง

9ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร? ไปดูประกาศกหรือ? ถูกแล้ว เราบอกท่าน

10และยิ่งกว่าประกาศกเสียอีก ผู้นี้เองที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน เพื่อเตรียมหนทางไว้สำหรับท่าน

11'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้าง ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น

12ตั้งแต่สมัยของยอห์นผู้ทำพิธีล้างมาจนถึงวันนี้ อาณาจักรสวรรค์ถูกความรุนแรงจู่โจม และถูกผู้ใช้ความรุนแรงยึดได้

13ประกาศกทั้งหลายและธรรมบัญญัติต่างประกาศพระวาจาถึงสมัยของยอห์น

14ถ้าท่านทั้งหลายยอมเชื่อ ยอห์นนี่เองคือประกาศกเอลียาห์ซึ่งจะต้องมา

15ใครมีหู ก็จงฟังเถิด!


พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย

16'เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใด? เขาเป็นเสมือนเด็กๆที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องกับเพื่อนๆว่า

17พวกเราเป่าขลุ่ย พวกเจ้าก็ไม่เต้นรำ พวกเราร้องเพลงโศกเศร้า พวกเจ้าก็ไม่ร่ำไห้

18'ยอห์นมา ไม่กิน ไม่ดื่ม เขาก็ว่า "คนนี้มีปิศาจสิง"

19บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม เขาก็ว่า "ดูซิ นักกิน นักดื่มเป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป" แต่พระปรีชาญาณของพระเจ้าพิสูจน์ด้วยกิจการได้ว่าถูกต้องแล้ว


พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบรรดาเมืองริมทะเลสาบ

20แล้วพระเยซูเจ้าได้ทรงตำหนิบรรดาเมืองที่พระองค์ทรงทำอัศจรรย์มากกว่าที่เมืองอื่น เพราะพวกเขาไม่ยอมกลับใจว่า

21'จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน! จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา! เพราะว่า ถ้าการอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบ เอาขี้เถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนานแล้ว

22ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า

23ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ? ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย เพราะว่าถ้าการอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองโสดมแล้ว เมืองโสดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้

24ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองโสดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า'


ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี

25เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า 'ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยให้บรรดาผู้ต่ำต้อยได้ทราบ

26ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น

27พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้าไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้ทราบ


พระคริสตเจ้าทรงเป็นเจ้านายที่สุภาพอ่อนโยน

28'ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน

29จงรับเอาแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน

30เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา'

 

บทที่ 12

บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต

12 1ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน

2เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า 'ดูซิ ศิษย์ของท่านกำลังทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต'

3พระองค์ตรัสตอบว่า 'ท่านไม่ได้อ่านหรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำอะไรเมื่อหิวโหย?

4พระองค์ได้เสด็จเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ได้เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะรับประทานไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น

5ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโต ได้โดยไม่มีความผิด

6เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก

7ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำที่ว่า "เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา" ท่านคงจะไม่ กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด

8เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต'

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

9พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นเข้าไปในศาลาธรรม

10ทรงพบชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคนถามพระองค์ว่า 'ธรรมบัญญัติอนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่?' ทั้งนี้เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์

11แต่พระองค์ทรงตอบเขาว่า 'ท่านใดมีแกะอยู่ตัวเดียว และแกะนั้นตกบ่อในวันสับบาโต เขาจะไม่ไปจับมันฉุดขึ้นมาดอกหรือ?

12มนุษย์คนหนึ่งย่อมมีค่ากว่าแกะมากนัก ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงอนุญาตให้ทำความดีได้ในวันสับบาโต'

13แล้วพระองค์ตรัสกับชายผู้นั้นว่า 'จงเหยียดมือเถิด เขาได้เหยียดมือ และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง

14ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร


พระเยซูเจ้าทรงเป็น 'ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์'

15พระเยซูเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงเสด็จไปจากที่นั่น ผู้คนเป็นอันมากติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค

16แต่ทรงกำชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบ

17ทั้งนี้ เพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า

18นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้ นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน เราจะประทานจิตของเราให้แก่เขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่นานาชาติ

19เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ

20เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ช้ำแล้ว เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่

21จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา


พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบุล

22ครั้งหนึ่ง มีผู้นำคนตาบอดเป็นใบ้และถูกปิศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น

23ประชาชนทุกคนต่างประหลาดใจพูดว่า 'คนนี้เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดใช่ไหม?'

24เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดว่า 'คนนี้ขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบุล เจ้าแห่งปิศาจนั่นเอง'

25พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า 'อาณาจักรใดแตกแยกกันเองย่อมพินาศ เมืองใดหรือครอบครัวใดแตกแยกกันเองย่อมจะตั้งอยู่ไม่ได้

26ถ้าซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกันเอง แล้วอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ได้อย่างไร?

27ถ้าเราขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบุล พวกพ้องของท่านขับไล่ปิศาจด้วยอำนาจของใครเล่า? เพราะฉะนั้น พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินท่าน

28แต่ถ้าเราขับไล่ปิศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว

29 'ผู้ใดจะสามารถเข้าไปในบ้านของผู้เข้มแข็ง และปล้นทรัพย์สินของเขาได้ถ้าไม่มัดผู้เข้มแข็งไว้เสียก่อน? เมื่อทำเช่นนี้แล้วเท่านั้น เขาจึงสามารถปล้นบ้านนั้นได้

30'ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ผู้ใดไม่รวบรวมสิ่งต่างๆไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป

31เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งคำผรุสวาทด้วย แต่คำผรุสวาทต่อพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย

32ใครที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่กล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับ การอภัยเลย ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า


คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ

33'ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์เลว ผลย่อมเลวด้วย ท่านจะรู้จักต้นไม้จากผลของมัน

34เจ้าสัญชาติงูร้ายเอ๋ย เจ้าจะพูดดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเป็นคนเลว? ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ

35คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งเลวออกจากขุม-ทรัพย์ที่เลวของตน

36เราบอกท่านทั้งหลายว่าในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่เขาได้พูด

37เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน'


เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์

38เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า 'พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน

39พระองค์ทรงตอบว่า 'คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต้องการเห็นเครื่องหมายรึ! จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่ เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น

40โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น

41ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะ-เวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจ เมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก

42ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลาย แผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก


ปิศาจกลับมาอีก

43'เมื่อปิศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ

44มันจึงพูดว่า 'ข้าจะกลับไปยังบ้านของข้าที่ข้าได้จากมา' เมื่อกลับมาถึงมันพบว่าบ้านนั้นว่าง ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย

45มันจึงไปพาปิศาจอื่นอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าสภาพเดิม คนชั่วร้ายของยุคนี้จะเป็นเช่นนี้'


ญาติพี่น้องแท้จริงของพระเยซูเจ้า

46ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น มารดาและพี่น้องของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการจะพูดกับพระองค์

(47)48พระองค์จึงทรงตอบผู้ที่มาทูลนั้นว่า 'ใครเป็นมารดา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?'

49แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า 'นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา

50เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของ เรา'

 

ข. คำเทศนาเป็นอุปมา

บทนำ

บทที่ 13

13 1วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ 2ประชาชนจำนวนมากพากันมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง 3พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นเรื่องอุปมา

อุปมาเรื่องผู้หว่าน

พระองค์ตรัสว่า 'จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช

4ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด

5บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก

6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก

7บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป

8บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง

9ใครมีหู ก็จงฟังเถิด!'

 

เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา

10บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า 'ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาเล่า?'

11พระองค์ทรงตอบว่า 'พระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายทราบธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น

12เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย

13เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ

14สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า
ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ!
จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น

15เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องใช้ตามอง ไม่ต้องใช้หูฟัง จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา

16'ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง!

17เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมเป็นจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง

 

คำอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน

18เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด

19เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง

20เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที

21แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที

22เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล

23ส่วนเมล็ดที่หว่านลงไปในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง'


อุปมาเรื่องข้าวละมาน

24พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า 'อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน

25ในขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป

26เมื่อต้นข้าวเติบโตออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย

27บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายกล่าวว่า "นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ? แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า?"

28นายตอบว่า "ศัตรูได้มาหว่านไว้" ผู้รับใช้จึงถามว่า "นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม?"

29นายตอบว่า "อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย

30จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดโตขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เอาไปเผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน"'

 

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

31พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า 'อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา

32และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้วกลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้'


อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง

33พระองค์ยังได้ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า 'อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมา เคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งฟูขึ้นทั้งหมด'


พระเยซูเจ้าทรงสอนประชาชนเป็นอุปมาเท่านั้น

34พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา

35ทั้งนี้เพื่อให้พระ-ดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ซ่อนไว้ตั้งแต่สร้างโลก


คำอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน

36หลังจากนั้น พระองค์ทรงละประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า 'โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด'

37พระองค์ตรัสตอบว่า 'ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์

38ท้องนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระ-อาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย

39ศัตรูที่หว่านคือปิศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์

40ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น

41บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร

42แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง

43ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด!


อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ และเรื่องไข่มุก

44'อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีเอามาซื้อที่นาแปลงนั้น

45'อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม

46เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี เอามาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น

 

อุปมาเรื่องอวน

47'อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเลติดปลาทุกชนิด

48เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป

49เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลกทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม

50ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง


สรุป

51'ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่?' บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า 'เข้าใจแล้ว'

52พระองค์จึงตรัสว่า 'ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน'

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown