มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

5. พระศาสนจักรเป็นแผลแรกแห่งอาณาจักรสวรรค์ (บทที่14-18)

ก. เรื่องเล่า

พระเยซูเจ้าเสด็จเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ

53เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น

54มายังถิ่นกำเนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรมของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจ และพูดว่า 'คนนี้เอาปรีชาญาณและอำนาจทำอัศจรรย์มาจากที่ใด?

55เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ?

56พี่สาวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ? เขาไปได้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด?'

57คนเหล่านี้รู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า 'ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดและในบ้านของตน'

58พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ

 

บทที่ 14

กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า

14 1เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า

2จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า 'คนนี้คือยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่ได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย เพราะฉะนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้'


ยอห์น ผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศีรษะ

3กษัตริย์เฮโรดได้ทรงสั่งให้จับกุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟิลิป พระอนุชา

4ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า 'ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี'

5กษัตริย์เฮโรด ปรารถนาจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก

6ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์เฮโรด บุตรสาวของนางเฮโรเดียส ได้เต้นรำต่อหน้าแขกรับเชิญเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ เฮโรดอย่างยิ่ง 7พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ

8นางจึงทูลตามคำแนะนำที่ได้รับจากมารดาว่า 'โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด'

9กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้ประทานตามที่นางขอ

10กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก

11เขาจึงนำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา

12บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ


พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังครั้งแรก

13เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพัง เมื่อประชาชนทราบก็พากันเดินเท้าจากเมืองต่างๆมาเฝ้าพระองค์

14เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรคภัย

15เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า 'สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเถิด'

16พระเยซูเจ้าตรัสว่า 'เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด'

17เขาทูลตอบว่า 'ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น'

18พระองค์จึงตรัสว่า 'เอามาให้เราที่นี่เถิด'

19พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระ-พักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน

20ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง 21จำนวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก


พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนผิวน้ำ

22หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปทันที ขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับไป

23เมื่อทรงอำลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาตามลำพัง ครั้นเวลาค่ำ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว

24ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม

25เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์

26เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า 'ผีมา' และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว

27ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า 'ทำใจให้ดี!เราเอง! อย่ากลัวเลย'

28เปโตรทูลตอบว่า 'พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด'

29พระองค์ตรัสว่า 'มาเถิด' เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า

30แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า 'พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย'

31ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า 'ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า?'

32เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ

33คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ทูลว่า 'พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง'

พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เจ็บป่วยที่เมืองเยนเนซาเรท

34พระเยซูเจ้าได้ทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท

35ผู้คนที่นั่นจำพระองค์ได้ จึงส่งข่าวต่อๆกันไปทั่วบริเวณนั้น เขาได้นำผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์

36ทูลขอสัมผัสเพียงฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรคภัย

 

บทที่ 15

ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี

15 1เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลว่า

2'ทำไมศิษย์ของท่านละเลยขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ? เขาไม่ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร

3พระองค์ตรัสตอบว่า 'แล้วท่านล่ะ ทำไมจึงละเมิดบทบัญญัติของพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน'

4เช่น พระเจ้าตรัสว่า 'จงนับถือบิดามารดา' และ 'ใครสาปแช่งบิดามารดา ต้องมีโทษถึงตาย'

5แต่ท่านสอนว่า "ผู้ใดบอกบิดามารดาว่า สิ่งที่ลูกจะนำมาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ถวายพระเสียแล้ว

6ผู้นั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป" ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งหลายทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของท่าน

7คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย! ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องถึงท่านทั้งหลายว่า

8ประชาชนเหล่านี้ ให้เกียรติเราเพียงแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา

9เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม'


สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่เป็นมลทิน

10พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามา ตรัสว่า 'จงฟังและเข้าใจเถิด

11สิ่งที่เข้าไปทางปากไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหากทำให้มนุษย์มีมลทิน'

12บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินคำนี้?'

13พระองค์ทรงตอบว่า 'ต้นไม้ต้นใดที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มิได้ทรงปลูกไว้ จะถูกถอนทิ้งเสีย

14ปล่อยเขาเถิด เขาเป็นคนตาบอดที่นำทางคนตาบอดด้วยกัน ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในคู'

15เปโตรทูลพระองค์ว่า 'โปรดอธิบายข้อความที่เป็นปริศนานี้เถิด' 16พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า 'ท่านก็ไม่เข้าใจด้วยหรือ?

17ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่างๆที่เข้าไปในปากย่อมลงไปในท้องแล้วถูกขับถ่ายลงท่อระบายไป

18แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้น ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละทำให้มนุษย์มีมลทิน

19ใจเป็นที่เกิดของความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การมีชู้ การสำส่อน การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย

20การกระทำเหล่านี้ทำให้มนุษย์มีมลทิน ส่วนการรับประทานโดยไม่ล้างมือ ไม่ทำให้มนุษย์มีมลทิน'


พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรสาวของหญิงชาวคานาอัน

21พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน

22ทันใดนั้น หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ร้องว่า 'โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย เถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปิศาจสิงต้องทรมานมาก'

23แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า 'โปรดประทานตามที่นางทูลขอเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา'

24พระองค์ทรงตอบว่า 'เราถูกส่งมาเพื่อแกะที่พลัดหลงไปของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น

25แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า "พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด"

26พระองค์ทรงตอบว่า "ไม่สมควรที่จะเอาขนมปังของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน" นางทูลว่า

27'ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย'

28พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า 'หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด' และบุตรสาวของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่บัดนั้น


พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วย

29พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลสาบกาลิลีแล้วเสด็จขึ้นบนภูเขาประทับนั่งที่นั่น

30ประชาชนมากมายเข้ามาเฝ้าพระองค์ นำคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆจำนวนมากมาไว้แทบพระบาท พระองค์ทรงรักษาเขาให้หายจากโรคภัย

31เมื่อประชาชนเห็นคนใบ้พูดได้ คนขาพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดแลเห็นได้ เขาต่างประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล


อัศจรรย์การทวีขนมปังครั้งที่สอง

32พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า 'เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอาหารรับประทาน เพราะไม่อยากปล่อยให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้รับประทานอาหาร เขาจะหมดเรี่ยวแรงขณะเดินทาง

33บรรดาศิษย์จึงทูลว่า 'ในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เราจะหาขนมปังจากที่ไหนให้ประชาชนเหล่านี้รับประทานอิ่มได้?'

34พระเยซูเจ้าตรัสว่า 'ท่านมีขนมปังกี่ก้อน?' เขาทูลว่า 'เจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆอีกสองสามตัว'

35พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงที่พื้นดิน

36ทรงหยิบปลาและขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า ทรงแบ่งขนมปังและปลา ประทานให้บรรดาศิษย์ เขาได้แจก-จ่ายให้แก่ประชาชน

37ทุกคนรับประทานจนอิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกถึงเจ็ดตะกร้า

38คนที่รับประทานมีผู้ชายประมาณสี่พันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก

39พระองค์ทรงส่งประชาชนกลับไป แล้วเสด็จลงเรือไปยังเขตเมืองมากาดัน

 

บทที่ 16

ชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากฟ้า

16 1ชาวฟาริสีและชาวสะดูสีเข้ามาจับผิดพระองค์ ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้า

2พระองค์ทรงตอบพวกเขาว่า 'ตอนเย็น ท่านทั้งหลายกล่าวว่าอากาศจะดี เพราะฟ้าสีแดง'

3ตอนเช้า ท่านกล่าวว่า "วันนี้จะมีพายุ เพราะฟ้าสีแดงคล้ำ" ท่านรู้ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรจากลักษณะท้องฟ้า แล้วเหตุใดจึงไม่สามารถเข้าใจเครื่องหมายแห่งกาลเวลาเล่า?

4คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์อยากเห็นเครื่องหมายหรือ?จะไม่มีเครื่องหมายอะไรให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์' แล้วพระองค์ทรงละทิ้งคนเหล่านั้น เสด็จจากไป

 

เชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี

5บรรดาศิษย์ได้ข้ามฝั่งทะเลสาบ และลืมนำขนมปังไปด้วย

6พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า 'จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี'

7บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า 'นี่เป็นเพราะเราไม่ได้นำขนมปังมา'

8พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า'ท่านช่างมีความเชื่อน้อย ทำไมจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปัง?

9ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? ท่านจำไม่ได้หรือเรื่องขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้กี่กระบุง?

10หรือเรื่องขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้กี่ตะกร้า

11ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้พูดเรื่องขนมปัง? เราบอกให้ระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี'

12บรรดาศิษย์จึงเข้าใจว่าพระองค์มิได้ตรัสให้ระวังเชื้อแป้งขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี


เปโตรประกาศความเชื่อ

13พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิป และตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า 'คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร?'

14เขาทูลตอบว่า 'บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง'

15พระองค์ตรัสกับเขาว่า 'ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร?'

16ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า 'พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต'

17พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า 'ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านมีสุข! เพราะว่า ไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านทราบ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย

18เรากล่าวแก่ท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้

19เรามอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย

20แล้วพระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า


พระเยซูเจ้าทรงทำนายเรื่องพระทรมานเป็นครั้งแรก

21ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม

22เปโตรได้นำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า 'ขอทีเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน'

23แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า 'เจ้าซาตาน! ไปให้พ้น เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์'


เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า

24พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า 'ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา

25ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร

26มนุษย์จะได้ประโยชน์อันใดในการที่ได้ทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องสูญเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปนั้นให้กลับคืนมา?

27'บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา

28เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จกลับมาในพระอาณาจักรของพระองค์

 

บทที่ 17
พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งเรือง

17 1ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์นน้องชายไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน

2แล้วพระ- วรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง

3โมเสสและประกาศกเอลียาห์สำแดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์

4เปโตร จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า 'พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์'

5ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ เสียงหนึ่งดังจากเมฆนั้นว่า 'ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด'

6เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง

7พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า 'จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย'

8เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น

 

คำถามเกี่ยวกับประกาศกเอลียาห์

9ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำชับศิษย์ทั้งสามว่า 'อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย'

10บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า 'เหตุใดบรรดาธรรมา-จารย์จึงว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน?'

11พระองค์ตรัสตอบว่า 'เอลียาห์จะมาและจะจัดทุกสิ่งให้อยู่ในสภาพเดิม

12เราบอกท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว แต่ประชาชนไม่รู้จักและกระทำต่อท่านตามใจชอบ บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานจากประชาชนเช่นเดียวกัน'

13บรรดาศิษย์จึงเข้าใจว่า พระองค์ได้ตรัสกับเขาถึงยอห์นผู้ทำพิธีล้าง


พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนถูกปิศาจสิง

14เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบประชาชน ชายผู้หนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าลงทูลว่า

15'พระเจ้าข้า โปรดสงสารลูกชายของข้าพเจ้าเถิด เขาเป็นโรคลมชักทนทรมานมาก เคยตกไฟตกน้ำหลายครั้ง

16ข้าพเจ้าพาเขามาหาศิษย์ของพระองค์ แต่เขาไม่สามารถรักษาให้หายได้'

17พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "คนหัวดื้อ และชั่วร้าย! เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้าอีกนานเท่าใด? จะต้องทนพวกเจ้าอีกนานเท่าใด? พาเด็กมาพบเราที่นี่เถิด'

18พระเยซูเจ้าทรงสำทับปิศาจ มันจึงออกไปจากเด็กนั้น เด็กก็หายเป็นปกติตั้งแต่บัดนั้น

19บรรดาศิษย์จึงเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัว ทูลว่า 'ทำไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้?'

20พระองค์ตรัสว่า 'เพราะท่านมีความเชื่อน้อย' เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อสักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด แล้วพูดกับภูเขานี้ว่า "จงย้ายจากที่นี่ไปที่โน่น" มันก็จะย้ายไป และไม่มีอะไรที่ท่านจะทำไม่ได้ (21)

 

พระเยซูเจ้าทรงทำนายเรื่องพระทรมานเป็นครั้งที่สอง

22เมื่อบรรดาศิษย์ชุมนุมอยู่กับพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า 'บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบ ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย

23และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ' บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก

พระเยซูเจ้าและเปโตรเสียภาษีบำรุงพระวิหาร

24เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับบรรดาศิษย์ พวกเก็บภาษีบำรุงพระวิหารเข้ามาหาเปโตร ถามว่า 'อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบำรุงพระวิหารหรือ?'

25เปโตรตอบว่า 'เสียซิ' เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า 'ซีโมน ท่านมีความเห็นอย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้ทรงเก็บภาษีจากใคร? จากโอรสธิดาหรือจากคนอื่น?'

26เปโตรทูลตอบว่า 'จากคนอื่น' พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า 'ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น

27แต่เพื่อมิให้ใครตำหนิเรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกที่ตกได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึ่งเหรียญ จงนำเงินนั้นไปเสียภาษีสำหรับเราและท่านเถิด'

 


บทที่ 18

ข. คำเทศน์เกี่ยวกับพระศาสนจักร

ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุด

18 1ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า 'ผู้ใดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์?'

2พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งให้มายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา

3แล้วตรัสว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย

4เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆคนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์

 

การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป

5'ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆเช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา

6ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆที่มีความเชื่อในเราทำบาป ถ้าเขาจะถูกแขวนคอด้วยหินโม่ถ่วงลงใต้ทะเล ก็ยังดีกว่าสำหรับเรา

7น่าเสียดายที่โลกนี้ยังมีผู้ที่เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาป! ผู้เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาปต้องมีอย่างแน่นอนแต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้นั้นเถิด!

8'ถ้ามือหรือเท้าของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านเข้าสู่ชีวิตโดยมีมือหรือเท้าข้างเดียวยังดีกว่ามีมือหรือเท้าทั้งสองข้าง แต่ถูกทิ้งลงไปในไฟนิรันดร

9ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้าง แต่ต้องถูกทิ้งลงไปในไฟนรก

10'จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆเหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ (11)


แกะที่พลัดหลงไป

12'ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทางไป เขาจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ?

13เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลงไป

14พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆเหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป

 


การตักเตือนกันฉันพี่น้อง

15'ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา

16ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราว ให้เรียบร้อย

17ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีกจงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด

18'เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ ในโลกก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย'


การอธิษฐานภาวนาร่วมกัน

19'เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานให้

20เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา'


การให้อภัยความผิด

21เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า 'พระเจ้าข้า ถ้าพี่-น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่?'

22พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง'

 

อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา

23อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้

24ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท

25ชายผู้นี้ไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้

26ผู้รับใช้ผู้นั้นกราบลงแทบพระบาททูลอ้อนวอนว่า 'ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด'

27กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้

28ขณะที่ผู้รับใช้ผู้นี้ออกไป เขาก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาได้เข้าไปคว้าคอบีบ ไว้แน่น กล่าวว่า 'เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร? จงจ่ายให้หมด'

29เพื่อนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า 'กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้'

30แต่ชายผู้นั้นไม่ยอมฟังนำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด

31เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆเห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์

32พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า 'เจ้าคนสารเลวข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง

33เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ?'

34กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น 35พระบิดาของเราผู้ทรงสถิต ในสวรรค์จะทรงกระทำกับท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง'

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown