มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

6. อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว (บทที่19-25)

คำถามเรื่องการหย่าร้าง

19 1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน

2ประชาชนจำนวนมากได้ติดตามพระองค์ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยที่นั่น

3ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า 'เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องจากเหตุใดก็ตาม?'

4พระองค์ทรงตอบว่า 'ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าพระผู้สร้างเมื่อแรกนั้นทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง

5และตรัสว่า เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน

6ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย'
7พวกเขาจึงทูลถามว่า 'แล้วทำไมโมเสสจึงได้สั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า?'

8พระองค์ตรัสว่า 'เพราะใจของท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่ถ

9เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี-เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง-'

 

การสมัครใจไม่แต่งงาน

10บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า 'ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย?'

11พระองค์ตรัสตอบว่า'บางคนเท่านั้นที่เข้าใจคำสอนนี้ คือผู้ที่พระเจ้าประทานให้

12เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด'

 


พระเยซูเจ้าและพวกเด็กเล็กๆ

13ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็กๆมาให้พระองค์ปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น

14พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้'

15พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น

 


เศรษฐีหนุ่ม

16ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า 'พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร?'

17พระองค์ตรัสกับเขาว่า 'เหตุใดจึงถามเราถึงความดี? ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิต ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด'

18เขาทูลถามว่า 'บทบัญญัติข้อใด?' พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง'

20ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า 'ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้ว ยังขาดอะไรอีกหรือ?'

21พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า 'ถ้าท่านอยากเป็นคนดีบริบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด'

22เมื่อได้ยินพระวาจานี้ หนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย

 


อันตรายจากทรัพย์สมบัติ

23พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก

24เราบอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์'

25เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า 'แล้วดังนี้ ใครเล่าจะสามารถรอดพ้นได้?'

26พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า 'สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้'

รางวัลของการสละทุกสิ่ง

27เปโตรจึงทูลถามว่า 'ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง?'

28พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาตระกูลอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูลด้วย

29และผู้ใดที่ได้สละบ้าน-เรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะได้รับการตอบแทน ร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย

30'หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก'

 

บทที่ 20

อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น

20 1อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น 2ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น

3ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน

4จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า "จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร"

5คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้าน ออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน 6ประมาณห้าโมง เย็น พ่อบ้านออกไปอีกพบคนอื่นๆยืนอยู่ จึงพูดกับเขาว่า "ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร?"

7เขาตอบว่า "เพราะไม่มีใครมาจ้าง" พ่อบ้านจึงว่า "จงไปทำ-งานในสวนองุ่นของฉันเถิด"

8ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า "ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้าย จนถึงคนแรก"

9เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ

10เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน

11ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อเจ้าของสวนว่า

12"พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลาง แดดตลอดวัน"

13เจ้าของสวนจึงตอบพวกนี้คนหนึ่งว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่ง เหรียญหรือ?

14จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน

15ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ? ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ?

16ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย'

 


พระเยซูเจ้าทรงทำนายเรื่องพระทรมานเป็นครั้งที่สาม

17พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกทั้งสิบสองคนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า

18'บัดนี้พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มบุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดามหาสมณะและบรรดา- ธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต

19และจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำไปตรึงกางเขน แต่วันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ'

 


มารดาของบุตรเศเบดีขออภิสิทธิ์

20มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์

21พระองค์จึงตรัสถามนางว่า 'ท่านต้องการอะไร?' นางทูลว่า 'ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรข้าพเจ้าสองคนนี้ นั่งข้างขวาคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์'

22พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านสามารถดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่?' เขาทั้งสองทูลตอบว่า 'ได้ พระเจ้าข้า'

23พระองค์ตรัสกับเขาว่า 'ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้'

 


ผู้นำต้องรับใช้ผู้อื่น

24เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น

25พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า 'ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าคนต่างชาติที่เป็นหัวหน้า ย่อมเป็นเจ้านาย เหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ

26แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น

27และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้

28เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์

 

คนตาบอดสองคนที่เมืองเยริโค

29ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองเยริโคพร้อมกับบรรดาศิษย์ ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์

30ชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมทาง เมื่อได้ยินว่าพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จผ่านมา เขาก็ร้องตะโกนว่า 'ข้าแต่โอรสของกษัตริย์ดาวิด โปรดเมตตาเราเถิด พระเจ้าข้า!'

31ประชาชนได้ดุเขาให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังกว่าเดิม 'ข้าแต่โอรสของกษัตริย์ดาวิด โปรดเมตตาเราเถิด พระเจ้าข้า!'

32พระเยซูเจ้าทรงหยุดและทรงเรียกเขาทั้งสองคนตรัสว่า 'ท่านอยากให้เราทำอะไรให้ท่าน?'

33คนตาบอดทั้งสองคนทูลว่า 'พระเจ้าข้า ขอให้ตาของเรามองเห็นได้เถิด'

34พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ทรงสัมผัสนัยน์ตาของเขา ทันใดนั้น เขากลับมองเห็น และติดตามพระองค์ไป

 

บทที่ 21
พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

21 1เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้ามาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม และเสด็จมาที่หมู่บ้านเบทฟายี บนภูเขามะกอก-เทศ พระองค์ทรงใช้ศิษย์สองคน

2ตรัสสั่งว่า 'จงไปที่หมู่บ้านข้างหน้า แล้วท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งถูกผูกอยู่ มีลูกอยู่ด้วย จงปลดเชือกและจูงมา ให้เราเถิด

3ถ้ามีใครถาม จงตอบว่า "พระ-อาจารย์ต้องการใช้มัน และจะส่งกลับคืนให้ทันทีเมื่อใช้เสร็จ"'

4เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสที่ตรัสทางประกาศกจะได้เป็นความจริงว่า

5จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า
ดูซิ กษัตริย์ของท่านเสด็จมาพบท่าน
มีพระทัยอ่อนโยน ประทับนั่งบนแม่ลา
บนลูกลา สัตว์ใช้งาน

6ศิษย์ทั้งสองคนได้ไปทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงสั่ง

7เขาจูงแม่ลามาถวายพระองค์พร้อมกับลูกลา เอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลา พระองค์ประทับนั่งบนหลังลา

8ประชาชนจำนวนมากเอาเสื้อคลุมของตนปูลาดบนทางเดิน บางคนตัดกิ่งไม้มาวางตามทางเดิน

9ประชาชนทั้งที่เดินไปข้างหน้าและที่ตามมาข้างหลัง ต่างโห่ร้องว่า
โฮซานนาแด่โอรสของกษัตริย์ดาวิด!
ขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!
โฮซานนา ณ สวรรค์สูงสุด!

10เมื่อพระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งเมืองพากันแตกตื่นถามว่า 'ผู้นี้เป็นใครหนอ?'

11ประชาชนที่ติดตามพระเยซูเจ้าก็ตอบว่า 'ผู้นี้คือพระเยซูประกาศกจากนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี'

 

พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระ-วิหาร

12พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่พระวิหาร ทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหาร ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน และม้านั่งของคนขายนกพิราบ

13ตรัสกับพวกเขาว่า 'มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร'

14คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารและพระองค์ทรงรักษาเขาให้หายจากโรค

15เมื่อบรรดามหา-สมณะและธรรมาจารย์เห็นอัศจรรย์ที่ทรงกระทำและได้ยินพวกเด็กๆร้องในพระวิหารว่า 'โฮซานนาแด่โอรสของกษัตริย์ดาวิด' จึงรู้สึกโกรธ พูดกับพระองค์ว่า

16'ท่านได้ยินหรือไม่ว่าพวกเขาร้องตะโกนว่าอะไร?' พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า 'ได้ยิน ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า "ท่านได้เตรียมคำสรรเสริญไว้จากปากของเด็กและทารก"

17แล้วพระองค์ทรงจากพวกเขา เสด็จออกจากเมืองไปยังหมู่บ้านเบธานีและทรงพักแรมที่นั่น

 


ต้นมะเดื่อเทศไร้ผล ความเชื่อและการอธิษฐานภาวนา

18เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมือง พระองค์ทรงรู้สึกหิว

19เมื่อทอดพระเนตรเห็นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งอยู่ริมทาง จึงเสด็จเข้าไปใกล้ แต่ไม่ทรงพบผลมะเดื่อ ทรงพบแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับมะเดื่อเทศต้นนั้นว่า'ตั้งแต่นี้ไป เจ้าอย่ามีผลอีกเลย'ทันใดนั้น มะเดื่อเทศก็เหี่ยวแห้ง ไป

20บรรดาศิษย์เห็นดังนั้นต่างพิศวง กล่าวว่า 'ต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวไปทันทีได้อย่างไร?'

21พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ และไม่สงสัย ท่านจะทำได้ทุกสิ่ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นมะเดื่อเทศต้นนี้เท่านั้น ถ้าท่านบอกภูเขาลูกนี้ว่า "จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปในทะเลเถิด" - ก็จะเป็นเช่นนั้น

22และทุกสิ่งที่ท่านจะอธิษฐานภาวนาวอนขอด้วยความเชื่อ ท่านก็จะได้รับ'

 


พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากผู้ใด

23พระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่ทรงสั่งสอนประชาชนอยู่นั้น บรรดาสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนเข้ามาพบพระองค์แล้วทูลถามว่า 'ท่านมีอำนาจอะไรจึงทำการเหล่านี้? ใครมอบอำนาจนี้ให้ท่าน'

24พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าท่านตอบเราก็จะบอกท่านว่า เราทำเช่นนี้ด้วยอำนาจอะไร?

25พิธีล้างของยอห์นมาจากไหน จากสวรรค์หรือจากมนุษย์?' บรรดาสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนจึงปรึกษากันว่า 'ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะกล่าวว่า "แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า?"

26ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ เราก็เกรงกลัวประชาชน เพราะทุกคนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก'

27เขาจึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า 'เราไม่ทราบ' พระองค์จึงตรัสว่า 'เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่า เราทำการเหล่านี้ด้วยอำนาจใด'

 


อุปมาเรื่องลูกสองคน

28'ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน เขาไปพบลูกคนแรกพูดว่า "ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงาน ในสวนองุ่นเถิด"

29ลูกตอบว่า "ผมไม่อยากไป" แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน

30พ่อจึงไปพบลูกคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน ลูกคนที่สองตอบว่า "ครับ คุณพ่อ" แต่แล้วก็ไม่ได้ไป

31สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ?' พวกเขาตอบว่า 'คนแรก' พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน

32เพราะว่ายอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบ-ธรรม ท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษี และหญิง โสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น

 

อุปมาเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่วร้าย

33'ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง

34เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต

35แต่คนเช่าสวนได้จับผู้รับใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง

36เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน

37ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งลูกชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า "คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง"

38แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นลูกเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า "คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะ ได้มรดกของเขา"

39เขาจึงจับลูกเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย

40ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอะไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น?'

41บรรดาผู้ฟังตอบว่า 'เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจ-อำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา'

42พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า'ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก'

43'เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่า "พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล'(44)

45เมื่อบรรดามหาสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่าพระองค์ตรัสถึงพวกเขา 46 จึงหาทางจะจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก

 

 

บทที่ 22
อุปมาเรื่องงานวิวาหมงคล

 

22 1พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาอีกว่า

2'อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส

3ทรงส่งข้ารับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา

4พระองค์จึงทรงส่งข้ารับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า"จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด"

5แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ
6คนที่เหลือได้จับข้ารับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย

7กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย

8แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้ารับใช้ว่า "งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้

9จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด"

10บรรดาข้ารับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็ม ห้องงานอภิเษกสมรส

11กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์

12จึงตรัสแก่เขาว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?" คนนั้นก็นิ่ง

13กษัตริย์จึงตรัสสั่งข้ารับใช้ว่า "จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง"

14เพราะว่าผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย'

 

การเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์

 15ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า

16จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า 'พระอาจารย์ พวกเราทราบว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีของพระเจ้าตามความจริงโดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร

17เพราะฉะนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่?'

18พระเยซูเจ้าทรงหยั่งทราบเจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า 'พวกคนเจ้าเล่ห์! เจ้ามาลองดีเราทำไม?

19จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง' เขาก็นำเงินเหรียญหนึ่งมาถวาย

20พระองค์จึงตรัสถามว่า 'รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?'

21เขาตอบว่า 'เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์' พระองค์จึงตรัสว่า 'ของพระจักรพรรดิซีซาร์ จงคืนให้พระจักรพรรดิซีซาร์ และของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้า'

22เมื่อคนเหล่านั้นได้ยิน ต่างพากันประหลาดใจ แล้วผละจากพระองค์ไป

 

การกลับคืนชีพของผู้ตาย

23ในวันนั้น ชาวสะดูสีมาเฝ้าพระองค์ -คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ- เขาได้ทูลถามพระองค์ว่า

24'พระอาจารย์ โมเสสสั่งไว้ว่าถ้าคนหนึ่งตายโดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงม่ายนั้นเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชายไว้

25ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกแต่งงานแล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร ทิ้งภรรยาไว้ให้น้องชาย 26และเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับคนที่สอง คนที่สาม จนถึงคนที่เจ็ด

27ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย

28เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนได้นางเป็นภรรยา?'

29พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'ท่านคิดผิดแล้ว เพราะไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักพระอานุภาพของพระเจ้า

30เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์

31ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพ ท่านไม่ได้อ่านพระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านหรือว่า

32เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น'

33ประชาชนที่ได้ฟังต่างพิศวงอย่างยิ่งในคำสอนของพระองค์

 

บทบัญญัติเอก

 34เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน

35พวกเขาคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า

36'พระ-อาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ?' พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

37'ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน

38นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก

39บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง

40ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้'

 


พระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งโอรสของกษัตริย์ดาวิดและทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย

 41ขณะที่ชาวฟาริสีมาชุมนุมกัน พระเยซูเจ้าทรงถามว่า

42'ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า? พระองค์ทรงเป็นโอรสของใคร?' ชาวฟาริสีทูลตอบว่า 'เป็น โอรสของกษัตริย์ดาวิด'

43พระองค์จึงตรัสว่า 'ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใด เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า จึง เรียกพระ-คริสต์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า และตรัสว่า

44"องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า เชิญประทับเบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านอยู่ใต้พระบาทของท่าน"

45'ถ้ากษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด ได้อย่างไร?'

46ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์ได้ และจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย

 

บทที่ 23

ความหน้าซื่อใจคดและความชอบโอ้อวดของ ธรรมาจารย์และชาวฟาริสี

23 1ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า

2'พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส

3ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูดแต่ไม่ปฏิบัติ

4เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว

5เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น

6เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม

7ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า "รับบี"

8ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า "รับบี" เพราะว่าอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน

9ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า "บิดา" เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์

10อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า "อาจารย์" เพราะว่าพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า

11ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น

12ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น

 

พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี

13'วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด!ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่าน ไม่เข้าไปและไม่ปล่อยให้คนที่อยากเข้าให้เข้าไปได้ (14)

15'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด! ท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อทำให้คนกลับ ใจเพียงคนเดียว และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า

16'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้นำทางที่ตาบอด! ท่านกล่าวว่า"ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงทองคำในพระวิหาร ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน"

17คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย! สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน ทองคำหรือพระ-วิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์

18ท่านยังกล่าวอีกว่า "ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน"

19คนตาบอดเอ๋ย! สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ทำให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์?

20เพราะฉะนั้นผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย

21และผู้ที่สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึงพระวิหารรวมทั้งพระผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย

22ผู้ที่สาบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระที่นั่งของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย

23'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด! ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่สำคัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์! บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่นๆ

24ผู้นำทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกน้ำ แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว!

25'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจ-คด! ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ด้านในเต็มไปด้วยของขโมยและความเสเพล

26ฟาริสีตาบอดเอ๋ย! จงล้างด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย

27'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจ-คด!ท่านเป็นเหมือนหลุมศพทาสีขาวภายนอกดูงดงาม แต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกทุกอย่าง

28ท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อ ใจคด และความอธรรม

29'วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจ-คด! ท่านสร้างหลุมศพให้บรรดาประกาศก ประดับอนุสาวรีย์ของผู้ชอบธรรม

30ท่านกล่าวว่า "ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษ เราคงจะไม่ร่วมมือในการหลั่งเลือดบรรดาประกาศกเหล่านี้"

31ดังนี้ ท่านก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า เป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าบรรดาประกาศก!

32ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำงานที่บรรพบุรุษของท่านได้เริ่มไว้ให้สำเร็จไปเถิด

 

ความผิดและโทษที่กำลังมาถึง

33'บรรดางูพิษ สัญชาติงูร้ายเอ๋ย ท่านจะหลีกโทษนรกได้อย่างไรเล่า?

34เราส่งประกาศก และผู้ปรีชากับธรรมาจารย์มาพบท่าน ท่านจะฆ่าบางคน จะนำบางคนไปตรึงกางเขน จะเฆี่ยนบางคนในศาลาธรรมของท่าน จะเบียดเบียนเขาตามเมืองต่างๆ 

35เมื่อเป็นดังนี้ โลหิตของผู้ชอบธรรมทุกคนที่หลั่งลงบนแผ่นดินจะตกลงเหนือท่าน นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบ-ธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ บุตรของบาราคิยาห์ ซึ่งท่านได้ประหารระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา

36เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแก่คนรุ่นนี้

 


คำเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม

37'เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาพบเจ้า! กี่ครั้งกี่หน แล้วที่เราอยากรวบ-รวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ต้องการ! บัดนี้!บ้านของท่านทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้าง

39เราบอกท่านว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีก จนกว่าท่านจะกล่าวว่าขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า"


ข. กาลอวสานและการเสด็จมาครั้งที่สอง
บทนำ

 

บทที่ 24
ข. กาลอวสาน และการเสด็จมาครั้งที่สอง

บทนำ

24 1ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงออกจากพระวิหาร บรรดาศิษย์เข้ามาใกล้ ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาคารต่างๆ ของพระวิหาร

2พระองค์ตรัสแก่เขาว่า 'ท่านทั้งหลายเห็นสิ่งเหล่านี้ไหม? เราบอกความจริงแก่ท่านว่า จะไม่มีก้อนหิน เหลือซ้อนกันอยู่เลย ทุกสิ่งจะถูกทำลาย'

3เมื่อพระองค์ประทับนั่งบนภูเขามะกอกเทศ บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า ทูลถามเป็นการส่วนตัวว่า 'โปรดบอกให้ เราทราบเถิดว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะมีเครื่องหมายใดบอกให้ทราบถึงการเสด็จมาของพระองค์ และการสิ้นพิภพ?'

 

ความทุกข์เริ่มต้น

4พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า 'จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้

5หลายคนจะอ้างนามของเรากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นพระคริสต์" และจะหลอกลวงคนจำนวนมากให้หลงผิดไป

6ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามทั้งใกล้และไกล จงระมัดระวัง อย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้อง เกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย

7ชนชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่งอาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง ความอดอยาก และ แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นหลายแห่ง

8ทั้งหมดนี้จะเปรียบเหมือนความทุกข์ที่เริ่มต้นในการคลอดบุตร

9'ต่อจากนั้น ท่านจะถูกจับไปทรมานและถูกประหารชนทุกชาติจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา

10ในเวลานั้นหลายคนจะละทิ้งความเชื่อ จะทรยศและเกลียดชังกัน

11ประกาศกเทียมจำนวนมากจะต้องเกิด และจะหลอกลวงคนมากมาย

12เพราะความอธรรมจะเพิ่มมากขึ้น ความรักของคนจำนวนมากจะเย็นลง

13แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอดพ้น

14'ข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลก เพื่อเป็นพยานสำหรับนานาชาติ เมื่อนั้น วาระสุดท้ายจะมาถึง

 

ความทุกขเวทนาอย่างใหญ่หลวงของกรุงเยรูซาเล็ม

15'เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายเห็นผู้ทำลายที่น่ารังเกียจยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ประกาศกดาเนียลได้กล่าวไว้

16เมื่อนั้น ให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา

17ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าก็อย่าลงมาเก็บข้าวของในบ้าน

18ผู้ที่อยู่ในทุ่งนาจงอย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมที่บ้าน

19น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น!

20จงอธิษฐานภาวนาอย่าให้ท่านต้องหนีในฤดูหนาว หรือในวันสับบาโต

21เพราะในเวลานั้น จะมีทุกขเวทนาใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกจนบัดนี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย

22ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลงแล้ว มนุษย์ทุกคนก็จะพินาศ พระองค์ทรงให้วันเหล่านั้นสั้นลง เพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้

23'เวลานั้น ถ้าผู้ใดจะกล่าวแก่ท่านว่า "พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "พระคริสต์อยู่ที่นั่น" จงอย่าเชื่อ

24เพราะจะมีพระคริสต์เทียม และประกาศกเทียมหลายคนเกิดขึ้น จะทำเครื่องหมายและปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งจะหลอกลวงแม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ ถ้าเป็นไปได้

25ท่านทั้งหลายจงฟังเถิด เราได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ให้ฟังไว้ก่อนแล้ว


การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์

26'เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอกท่านว่า "ดูซิ พระคริสต์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร" ท่านอย่าไปที่นั่น ถ้าผู้ใดบอกว่า "ดูซิ พระคริสต์ซ่อนอยู่ที่นี่" ท่านก็อย่าเชื่อ 

27สายฟ้าแลบจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาฉันนั้น

28ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งกาก็จะมาชุมนุมกัน

 

การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์มีความหมายสำหรับทุกคน

29'ทันทีหลังจากความทุกขเวทนาในวันเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน

30เมื่อนั้น เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏมาบนท้องฟ้า มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะข้อน-อก และจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในเมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระสิริ-รุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่

31พระองค์จะทรงใช้บรรดาทูตสวรรค์ให้เป่าแตรเสียงดัง รวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายหนึ่งจนถึงอีกปลายหนึ่งของท้องฟ้า

 

เวลาแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์

32'จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อต้นมะเดื่อเทศแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านย่อมทราบว่าฤดูร้อน ใกล้เข้ามาแล้ว

33เช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นสิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงเข้ามาใกล้จนถึงประตูแล้ว

34เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไป ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น

35ฟ้าดินจะล่วงพ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่ล่วงพ้นไปเลย

36ส่วนเรื่องวันและเวลานั้นไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูต-สวรรค์และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

 

จงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อม

37'สมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้น

38ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนทั้งหลายกิน ดื่ม ทำการแต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ

39ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย

40เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้

41หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้

42'จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร

43พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้

44ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย


อุปมาเรื่องผู้รับใช้ที่รับผิดชอบ

45'ใครเล่าเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนายแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่นๆ เพื่อแจกจ่ายอาหาร ให้ตามเวลาที่กำหนด?

46ผู้รับใช้นั้นย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาพบเขากำลังทำเช่นนี้

47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งปวงของตน

48แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นคิดว่า "นายจะมาช้า"

49แล้วเขาก็เริ่มตบตีเพื่อนผู้รับใช้ กินดื่มกับพวกขี้เมา

50นายของผู้รับใช้นั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้

51นายก็จะแยกเขาออกให้ไปอยู่กับพวกหน้าซื่อใจคด ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง'

 

บทที่ 25

อุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคน

25 1อาณาจักรสวรรค์จะเปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว

2ในสิบคนนี้ ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้าคนเป็นคนฉลาด

3หญิงโง่นำตะเกียงไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย 4ส่วนหญิงฉลาดนำน้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง 5 เพราะเจ้าบ่าวช้าอยู่ ทุกคนต่างง่วงและหลับไป 6ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอกว่า "เจ้าบ่าวมาแล้ว! จงออกไปรับกันเถิด"

7หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง

8หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า "ขอน้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว"

9หญิงฉลาดจึงตอบว่า "ไม่ได้ เพราะอาจไม่พอสำหรับเราและสำหรับพวกเธอด้วย จงไปพบคนขายแล้ว ซื้อเอาเองดีกว่า"

10ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไปซื้อน้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึงหญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไปในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด

11ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง กล่าวว่า "นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย"

12แต่เขาตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน"

13เพราะฉะนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา


อุปมาเรื่องเงินตะลันต์

14'อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล ได้เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้

15ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป

16คนที่ได้รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์

17คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน

18แต่คนที่ได้รับหนึ่งตะลันต์ได้ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้

19ต่อมา เป็นเวลานาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา

20คนที่ได้รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า "นายครับ ท่านให้ผมห้า-ตะลันต์ นี่คือ เงินอีกห้าตะลันต์ที่ผมทำกำไรได้"

21นายพูดว่า "ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด"

22คนที่ได้รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า "นายครับ ท่านให้ผมสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ผมทำกำไรได้"

23นายพูดว่า "ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด"

24คนที่ได้รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า "นายครับ ผมทราบว่าท่านเป็นคนเคร่งครัด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย

25ผมมีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน"

26นายจึงตอบว่า "ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน! เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ ที่ข้ามิได้โปรย

27เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย 

28จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์

29เพราะว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย

30ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง"

 

 

การพิพากษาครั้งสุดท้าย

31'เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลายพระองค์จะประทับนั่ง เหนือพระ-บัลลังก์อันรุ่งโรจน์

32บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยง แกะ แยกแกะออกจากแพะ

33ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย

34แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า "เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก

35เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านได้ให้เรากิน เรากระหาย ท่านได้ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับ

36เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาพบ"

37บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า "พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นพระองค์ทรงหิว แล้วได้ถวายพระ-กระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วได้ถวายให้ทรงดื่ม?

38เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วได้ต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วได้ถวายให้?

39เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วได้ไปเยี่ยม?"

40พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเรา คนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา" 

41แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า "ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้ เตรียมไว้ให้ปิศาจและพรรคพวกของมัน

42เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม

43เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ ไม่มาเยี่ยม"

44พวกนั้นจะทูลถามว่า "พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขก แปลกหน้าหรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ?"

45พระองค์จะตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา" 46แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร"

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown