มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2025 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา

     มีศิลปินชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งนามว่า Paul Gustave Doré (6 มค. 1832–23 มค. 1883) ระหว่างเดินทางในยุโรป เขาทำพาสปอร์ตหาย เมื่อกลับมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝรั่งเศส เขาบอกชื่อของตนแก่เจ้าหน้าที่โดยหวังว่าเจ้าหน้าที่จะรู้จักและยอมให้เขาผ่าน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมโดยอ้างว่ามีคนมากมายพยายามจะข้ามพรมแดนโดยอ้างชื่อเป็นคนโน้นคนนี้ซึ่งไม่จริง แต่เมื่อเขาคะยั้นคะยอว่าเขาคือ Doré ตัวจริง เจ้าหน้าที่จึงยื่นกระดาษและดินสอให้เขาพร้อมกับบอกว่า “ถ้าคุณวาดภาพชาวนาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ เราจึงจะเชื่อว่าคุณคือ Doré ตัวจริงและจะยอมให้ผ่านแดน” เขาจึงลงมือวาดภาพด้วยความรวดเร็วและชำนาญจนเจ้าหน้าที่แน่ใจว่าเขาคือ Doré ตัวจริง
เท่ากับว่าการกระทำของ Doré คือเครื่องยืนยันตัวตนที่แท้จริงของตน
แต่ปัญหาใหญ่ของเราคริสตชนก็คือ เราไม่รู้ว่าจะบอกชาวโลกว่าเราเป็นใครได้อย่างไร?
     ที่ผ่านมาในอดีต บางยุคและบางแห่ง เขาใช้เครื่องแบบเป็นเครื่องประกาศตัวตนเหมือนนักบวชคณะต่างๆ ที่สวมเครื่องแบบแตกต่างกันไปเพื่อบ่งบอกว่าพวกเขาสังกัดคณะใด
     แต่สำหรับพระเยซูเจ้า สิ่งสำคัญที่ทำให้คริสตชนแตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสตชน ไม่ได้อยู่ที่เราแต่งเครื่องแบบอย่างไร แต่อยู่ที่เราดำเนินชีวิตอย่างไร
พระองค์ตรัสก่อนจะถูกยูดาสทรยศและถูกจับกุมว่า “เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:34-35)
     เท่ากับว่าความรักคือเครื่องยืนยันตัวตนของเราคริสตชน ความรักคือเครื่องแบบของเราคริสตชน และความรักคือนิสัยประจำตัวของเราคริสตชน
หากขาดความรัก เราก็ไม่ใช่ศิษย์ของพระเยซูเจ้า เราไม่ใช่คริสตชนที่แท้จริง
และความรักที่เราต้องมี ต้องเป็นความรักแบบที่พระองค์ทรงรักเราด้วย เพราะพระองค์ทรงสั่งให้เรา “รักกันและกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา” (เทียบ ยน 13:34)
แล้วพระองค์ทรงรักเราอย่างไร ?
     ประการแรกก็คือ พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่เห็นแก่ตัว
ปกติความรักตามประสามนุษย์มักมีความเห็นแก่ตัวเจือปนอยู่ด้วยเสมอ เมื่อเรารักใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรามักคิดถึงตัวเองเป็นลำดับแรก เช่น เขาจะให้ความสุขและความมั่นคงแก่เราได้หรือไม่ จนอาจกล่าวได้ว่าเบื้องหลังของความรักก็คือความสุขของตัวเรานั่นเอง
     แต่ความรักของพระเยซูเจ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวเจือปนอยู่แม้แต่นิดเดียว พระองค์คิดถึงชีวิตของผู้อื่นมากกว่าจะคิดถึงชีวิตของพระองค์เอง จนพี่น้องของพระองค์คิดว่าพระองค์เสียสติ
     ประการที่สอง พระองค์ทรงรักเราอย่างเสียสละ
นอกจากไม่ทรงคิดถึงตัวพระองค์เองแล้ว หากความรักเรียกร้องให้พระองค์เสียสละ พระองค์ไม่มีคำว่าลังเล แต่ทรงเต็มพระทัยมอบแม้กระทั้งชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา !
ความเสียสละของพระองค์ไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ !!!
ประการที่สาม พระองค์ทรงรักเราอย่างเข้าใจ
     ปกติ ผู้ที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน จะพบเห็นเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดของกันและกันเท่านั้น แต่พระเยซูเจ้าทรงใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกับบรรดาศิษย์ยาวนานถึงสามปี จนล่วงรู้ปัญหา ความอ่อนแอ และข้อบกพร่องต่างๆ ของศิษย์แต่ละคนเป็นอย่างดี
กระนั้นก็ตาม พระองค์ทรงรักพวกเขาทุกคนเพราะทรงเข้าใจและทรงยอมรับข้อบกพร่องของแต่ละคน
พระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น พระองค์ทรงเข้าใจพวกเขา
ประการสุดท้าย พระองค์ทรงรักเราอย่างให้อภัย
     ในบรรดาศิษย์ของพระองค์ ไม่มีใครเลยที่เข้าใจพระองค์จริงๆ พวกเขาเรียนรู้ช้าและดื้อ
ยามที่พระองค์ถูกจับกุมและต้องการพวกเขามากที่สุด พวกเขากลับหลบหนีไป แล้วปล่อยให้พระองค์ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูตามลำพัง แม้แต่หัวหน้าของพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง
กระนั้นก็ตาม พระองค์ไม่เคยถือโทษพวกเขา เพราะไม่มีความผิดใดที่พระองค์ให้อภัยไม่ได้ !!
นี่คือความรักแบบพระเยซูเจ้า !
     พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้โลกรู้ว่าเราเป็นศิษย์ของพระองค์ เราจึงต้องประกาศข่าวดีและเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ให้แก่ผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา แต่การประกาศข่าวดีและเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ที่ได้ผลมิได้อยู่ที่การพูดแบบน้ำไหลไฟดับ แต่อยู่ที่การดำเนินชีวิตอยู่ในความรักตามแบบอย่างของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีจึงสอนสมาชิกของท่านว่า “จงประกาศข่าวดีตลอดเวลา และจงพูดหากจำเป็น”
ครั้งหนึ่งมีคนถามมหาตมะ คานธี ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับศาสนาคริสต์ คำตอบของคานธีคงช่วยให้เราเห็นว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ 2 ใน 3 ของประชากรโลกอยู่ห่างจากศาสนาคริสต์
คานธีตอบว่า “ข้าพเจ้าให้ความเคารพต่อศาสนาคริสต์มาก ข้าพเจ้าอ่านบทเทศน์บนภูเขาบ่อยๆ และได้ประโยชน์จากบทเทศน์นี้มาก ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีใครอุทิศตนเพื่อมนุษยชาติมากเท่าพระเยซูเจ้า อันที่จริง ศาสนาคริสต์ไม่มีอะไรผิดพลาด แต่ปัญหาอยู่ที่คริสตชน พวกคุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพวกคุณ”
     เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตชนิดที่ว่าเมื่อผู้คนรอบข้างเห็นการดำเนินชีวิตของเรา พวกเขาจะสามารถเห็นความรักอันไม่มีขอบเขตและไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าที่แสดงออกในพระเยซูเจ้า
ให้เราขอบพระคุณพระเยซูเจ้าที่พระองค์ทรงให้แบบอย่างความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ที่พร้อมจะเสียสละ ที่พร้อมจะเข้าใจ และพร้อมจะให้อภัยแก่เรา และขอพระองค์โปรดช่วยเราให้ดำเนินชีวิตอยู่ในความรักตามแบบอย่างของพระองค์ด้วยเทอญ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown