บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2024 สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 660
ในจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัสที่เราได้ฟังในบทอ่านที่สองวันนี้ นักบุญเปาโลบอกเราว่า “พระเจ้าทรงเลือกสรรเราในพระคริสตเจ้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเนรมิตสร้างโลก ... พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรม” และยังมีคำ “ไว้ล่วงหน้า” อีกหลายครั้ง
เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรง “กำหนดไว้ล่วงหน้า” นี้ พระศาสนจักรสอนว่าหมายถึง พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคนมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง อย่างเช่นในกรณีของประกาศกเยเรมีย์ พระเจ้าทรงกำหนดให้ท่านเป็นประกาศก พระองค์ตรัสว่า “ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยกท่านไว้เป็นของเราแล้ว เราแต่งตั้งท่านให้เป็นประกาศกสำหรับนานาชาติ” (ยรม 1:5) หรือในกรณีของประกาศกอาโมสที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ พระเจ้าก็ทรงกำหนดให้ท่านไปประกาศพระวาจาแก่ชาวอิสราเอล พระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะ จงไปประกาศพระวาจาแก่อิสราเอล ประชากรของเรา”
สำหรับเราทุกคน นักบุญเปาโลบอกวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเราว่า “เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์ปราศจากมลทิน และให้เราเป็นบุตรบุญธรรม ตามพระประสงค์ที่พอพระทัย”
จะเห็นว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยและมีวัตถุประสงค์ที่ดีสำหรับเราทุกคน พระองค์ทรงสร้างเรามาและกำหนดให้เราทุกคนเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ปราศจากมลทิน เป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ และได้รับความรอดพ้น
บางคนอาจแย้งว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมยังมีบางคนต้องตกนรกด้วย?
การที่มีบางคนตกนรกนั้นเป็นเพราะว่า พระเจ้าไม่ทรงต้องการบังคับใครให้ไปสวรรค์ พระองค์ทรงสร้างเรามาตามฉายาของพระองค์ คือให้เรามีสติปัญญาและอำเภอใจ ซึ่งก็คือให้เรามีอิสระที่จะเลือกเดินหรือไม่เดินตามหนทางที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าก็ได้ ซึ่งเราต้องรับผิดชอบการเลือกของเราเอง หากเราเลือกที่จะไม่เดินตามหนทางของพระองค์ ก็เป็นตัวเราเองที่เลือกจะลงนรก
หรือหากครั้งหนึ่งเราเคยเป็นคนต่างศาสนา แล้วภายหลังหันกลับมาเชื่อพระเยซูเจ้าและรับศีลล้างบาป ก็มิได้หมายความว่าวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเราเปลี่ยนไป แต่หมายความว่า การหันกลับมาเชื่อพระเยซูเจ้าช่วยให้เรารู้วัตถุประสงค์ของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น คือให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากมลทิน และเป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์
แล้วใครกันล่ะที่จะช่วยพระเจ้านำพามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาตามฉายาของพระองค์ ให้มารู้จักพระเยซูเจ้า มาเชื่อพระองค์ และตระหนักถึงความรอดพ้นที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับพวกเขาแต่ละคน ?
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 750 ปีก่อนพระเยซูเจ้า บ้านเมืองของชาวยิวเต็มไปด้วยความอยุติธรรมในสังคม ผู้คนละทิ้งศาสนา พระเจ้าทรงส่งประกาศกอาโมสไปตักเตือนกษัตริย์และประชาชน แม้จะถูกประชาชนต่อต้านอย่างหนักและถูกสมณะอามาซิยาห์ไล่ให้กลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดเมืองนอน แต่อาโมสก็ยังมุ่งมั่นทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมาย คือประกาศพระวาจาแก่อิสราเอลอย่างเต็มกำลังดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้
ในพระวรสารวันนี้ก็เช่นกัน พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนออกไปประกาศข่าวดี ไปเทศน์สอนให้ประชาชนเชื่อข่าวดีและกลับใจ ไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่คนเจ็บป่วย
ทุกวันนี้ พระองค์ต้องการไม่เพียงอัครสาวกสิบสององค์เท่านั้น แต่ทรงต้องการเราทุกคน ซึ่งนักบุญเปาโลบอกว่าเป็นผู้ที่ “ได้ฟังพระวาจาแห่งความจริง คือข่าวดีอันนำความรอดพ้นมาให้ และได้เชื่อแล้ว” จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ที่จะต้องไปประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้า ไปทำให้ผู้คนกลับใจและเชื่อพระองค์ ไปทำเมตตากิจช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยและยากไร้ เพราะถึงที่สุดแล้ว “เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าจะทรงกระทำตามแผนการนี้ คือนำทุกสิ่งทั้งที่อยู่บนสวรรค์และบนแผ่นดิน ให้มารวมกันอยู่ใต้ปกครองของพระคริสตเจ้าพระประมุขแต่เพียงพระองค์เดียว” แล้วเราจะยอมพลาดโอกาสทองที่จะมีส่วนร่วมกับพระเยซูเจ้าหรือ?
ในการประกาศข่าวดี เราอาจพบกับการต่อต้านบ้าง พบกับความผิดหวังบ้าง แต่ไม่ต้องท้อใจ เพราะพระเยซูเจ้าทรงสอนเราในพระวรสารวันนี้ให้รู้จัก “สลัดฝุ่นจากเท้า” บ้าง คือให้เรารู้จักละวางความผิดหวังหรือความผิดพลาดของเราไว้กับกางเขนของพระองค์ ถือเสียว่าเป็นการแบกกางเขนร่วมกับพระองค์ แล้วเริ่มต้นวันใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มต้นงานประกาศข่าวดีใหม่ หากหมู่บ้านนี้หรือคนคนนี้ไม่ต้อนรับเรา เราไปหมู่บ้านอื่นหรือไปหาคนอื่นต่อก็ได้
ในบูชามิสซานี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เราตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับเราทุกคน คือให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และให้เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับพระองค์ในการประกาศข่าวดี ทั้งนี้เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้เข้ามารู้จักพระองค์และตระหนักถึงวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างและทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับพวกเขา ดังที่พวกเราได้เชื่อและได้ตระหนักด้วยเทอญ