บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2024 อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 922
จากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ เราทราบว่าเมื่อครั้งที่ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกันที่ภูเขาโฮเรบ พวกเขาอ้อนวอนพระเจ้าว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าอีก เกรงว่าข้าพเจ้าจะต้องตาย”
นั่นคือ พวกเขากลัวว่าจะต้องตายหากพบปะกับพระเจ้าโดยตรง พวกเขาจึงต้องการคนกลางระหว่างพระเจ้ากับพวกเขาเหมือนอย่างที่โมเสสกำลังทำอยู่
ในสมัยของโมเสส คนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ก็คือประกาศก ประกาศกคือคนที่พูดกับประชาชนในนามของพระเจ้า และพูดกับพระเจ้าในนามของประชาชน
พระเจ้าเห็นด้วยกับคำอ้อนวอนของประชาชน จึงสัญญาผ่านทางโมเสสว่า “เราจะบันดาลให้ประกาศกคนหนึ่งเหมือนท่านเกิดขึ้นจากบรรดาพี่น้องของเขา เราจะใส่ถ้อยคำของเราไว้ในปากของเขา และเขาจะพูดทุกอย่างที่เราสั่ง”
ประมาณพันห้าร้อยปีต่อมา คำสัญญาของพระเจ้าก็เป็นจริง พระองค์ไม่เพียงส่งมนุษย์อย่างโมเสสเท่านั้น แต่ทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวคือพระเยซูเจ้าลงมาทำหน้าที่เป็นคนกลาง เป็นประกาศกที่มีถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในปาก เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์เข้าไปสั่งสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม ผู้ฟังจึงรู้สึกประทับใจอย่างมาก “เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์”
คำสอนของพระองค์ทรงอำนาจก็เพราะวิธีพูดของพระองค์ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์และก็ไม่เหมือนบรรดาประกาศกคนอื่นๆ ด้วย
พวกธรรมาจารย์มักเริ่มต้นว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า.....” แล้วก็อ้างอิงคำสอนของรับบีที่มีชื่อเสียงในอดีต จากนั้นจึงลงเอยด้วยคำสอนของตนเอง
ประกาศกในพระธรรมเก่าก็เช่นกัน พวกท่านมักเริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่า...”
แต่วิธีการของพระเยซูเจ้าแตกต่างจากพวกธรรมาจารย์และบรรดาประกาศกอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงสอนด้วยการเริ่มต้นว่า “แท้จริง เรากล่าวแก่ท่านว่า.....” !!!
จะเห็นว่า พระองค์สอนโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจของผู้อื่น พระองค์ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงรับบีหรือผู้เชี่ยวชาญคนใด เพราะพระองค์เองคือองค์พระผู้เป็นเจ้า คำสอนของพระองค์คือพระสุรเสียงอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพระเจ้า !
นอกจากวิธีพูดวิธีสอนของพระองค์จะแตกต่างจากบรรดาธรรมาจารย์และประกาศกแล้ว คำพูดของพระองค์เองก็มีอำนาจชนิดที่ปีศาจยังต้องเชื่อฟัง
อาศัยเพียงคำพูดสั้นๆ เข้าใจง่าย และชัดเจน ทว่าแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจอย่างยิ่ง “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” (มก 1:25) แค่นี้ปีศาจที่สิงชายในศาลาธรรมก็ต้องระเห็จระหนออกจากร่างของชายผู้นั้นทันที
คำพูดของพระองค์สามารถเปลี่ยนชายที่ถูกปีศาจสิงให้กลับมาเป็นตัวของตัวเอง กลับมาเป็นชายที่ปกติได้
เช่นเดียวกัน พระวาจาของพระองค์ซึ่งเราฟังอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งนี้ ก็สามารถเปลี่ยนเราจากคนอ่อนแอ จากคนบาป จากคนที่มีปีศาจสิงอยู่ในใจ ให้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม และมาเป็นบุตรของพระเจ้าได้
ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงมีพระวาจาที่เปี่ยมด้วยอำนาจ ชนิดที่ปีศาจเองยังต้องเชื่อฟัง เราจึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องเชื่อฟัง และต้อง “อุทิศตนแด่พระองค์”
พี่น้องครับ เพื่อจะ “อุทิศตนแด่พระเจ้า” นักบุญเปาโลได้ให้คำแนะนำแก่เราในบทอ่านที่สองดังนี้
“ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านปราศจากความกังวล ผู้ที่มิได้แต่งงานย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า... ผู้ที่แต่งงานก็ย่อมสาละวนกับการงานของโลก หาวิธีทำให้ภรรยาพอใจ เป็นความกังวลหลายด้าน...”
นั่นคือ นักบุญเปาโลให้เราเลือกระหว่าง “แต่งงาน” กับ “ไม่แต่งงาน”
ในความคิดของนักบุญเปาโล การไม่แต่งงาน หรือชีวิตพรหมจรรย์ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการอุทิศตนรับใช้พระเจ้า
แต่นักบุญเปาโลก็บอกด้วยว่า “ถ้าท่านแต่งงาน ท่านก็มิได้ทำบาป และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงาน เธอก็มิได้ทำบาป” (1 คร 7:28) และยังบอกอีกว่า ผู้ที่แต่งงาน “ก็ทำดี” (1 คร 7:38)
แปลว่าการแต่งงานนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งบริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่การถือพรหมจรรย์คือทางเลือกที่ดีกว่าในการอุทิศตนรับใช้พระเจ้าโดยปราศจากความกังวลเท่านั้น
ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่แต่งงานจะมีหนทางใดในการอุทิศตนรับใช้พระเจ้าบ้างล่ะ ?
แน่นอนว่าหนทางในการรับใช้พระเจ้าสำหรับผู้ที่แต่งงานกับผู้ที่ถือพรหมจรรย์ย่อมแตกต่างกัน จะให้ผู้ที่แต่งงานแล้วตะลอนๆ ไปประกาศข่าวดีตามวัดต่างๆ นั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่เป็นไปได้ก็คือการประกาศข่าวดีให้กับคนในบ้าน ให้กับลูกหลานของเรา ให้กับคนใกล้ชิดข้างบ้าน หรือกับผู้ร่วมงานในที่ทำงาน อย่างนี้เป็นต้น
นอกจากนี้ นักบุญเปาโลยังให้คำแนะนำว่า “ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา” (1 คร 7:29)
นั่นก็คือ ขอให้ผู้ที่แต่งงานแล้ว อย่าไปยึดติดกับวิถีชีวิตแบบชาวโลก แต่ให้ดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าคือให้รักแบบอากาเป นั่นคือคิดและมุ่งหวังแต่จะทำให้คู่ครองของเรา ไม่ใช่ตัวเรา บรรลุถึงความดี ความสุขสูงสุด
เมื่อเราคิดถึงความสุขของคู่ครองก่อนคิดถึงตนเองเช่นนี้ ความรักในครอบครัวของเราก็จะมั่นคง และมีความสุข
ในเมื่อเรามั่นคง และมีความสุข เราก็จะเริ่มขยายความรักของเราไปสู่คนอื่นในวงกว้างขึ้น คิดถึงคนอื่นในวงกว้างขึ้น คิดถึงเพื่อนมนุษย์ คิดถึงผู้คนรอบข้างตัวเรา
เราจะเริ่มมีจิตใจเอื้อเฟื้อ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากขึ้น
พี่น้องครับ จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน เราก็รับใช้พระเจ้าโดยผ่านทางเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ทั้งนั้น
ฝ่ายใดจะมีคุณค่ามากหรือน้อยกว่ากัน ก็วัดกันตรงการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์นี่แหละ
ขอพระเยซูเจ้า ซึ่งพระบิดาเจ้าทรงส่งมาตามที่ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่นานมาแล้ว โปรดให้เราเชื่อและฟังพระองค์ผู้ทรงมีพระวาจาอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ และขอให้เราอุทิศตนรับใช้พระองค์โดยผ่านทางเพื่อนมนุษย์ เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้าตลอดไป