บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2024 อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา (วันอาทิตย์พระวาจาของพระเจ้า)
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 767
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนคือ ซีโมนกับอันดรูว์ และยากอบกับยอห์น พระองค์ตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด”
เราเคยคิดกันว่าเมื่อผู้ใดก็ตามได้รับการเรียกจากพระเจ้าหรือมีกระแสเรียก ผู้นั้นจะต้องเปลี่ยนอาชีพหรือการงานที่ตั้งใจไว้ ไปเป็นพระสงฆ์ หรือเป็นนักบวชกันหมด
อันที่จริงความคิดเช่นนี้ถูกต้องสำหรับบางคนเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับคริสตชนส่วนใหญ่ เหตุผลก็ดูได้จากศิษย์สี่คนที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกในพระวรสารวันนี้
ศิษย์ทั้งสี่คนเป็นชาวประมง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเรียกพวกเขา พระองค์ตรัสว่า “เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” เห็นไหม พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้พวกเขาเลิกอาชีพประมง พระองค์เพียงต้องการให้พวกเขาเปลี่ยนรูปแบบอาชีพหรืองานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ให้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับรับใช้พระองค์ นั่นคือเป็นชาวประมงหามนุษย์
แปลว่าเมื่อเราแต่ละคนได้รับเรียกจากพระเจ้า เราต้องตัดสินใจว่า เราจะประกอบอาชีพแบบเดิมเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ หรือเราจะประกอบอาชีพการงานในปัจจุบันเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ควบคู่ไปด้วย
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พระองค์ต้องการให้เราคงอาชีพการงานเดิมไว้ เพียงแต่เราต้องยกระดับให้สูงยิ่งขึ้น นั่นคือ จากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็ยกขึ้นไปเป็นการเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง หรือจากการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน ก็ยกขึ้นไปเป็นการแสวงหาเกียรติมงคลของพระเจ้าและผลประโยชน์ของมวลมนุษย์ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เราต้องพร้อมยอมรับก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เราติดตามและรับใช้พระองค์นั้น มันมักจะส่งผลให้เราต้องออกไปหาผู้คน หรือไปในสถานที่ที่เราไม่เคยคิดว่าจะต้องไปเลย อย่างเช่นโยนาห์ในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ที่ต้องไปกรุงนีนะเวห์
นีนะเวห์เป็นนครหลวงของอาณาจักรอัสซีเรีย ซึ่งเคยยกทัพมายึดครองอิสราเอล เคยปล้นและทำลายพระวิหาร และเคยกวาดต้อนชาวยิวไปดินแดนเนรเทศ
ประมาณ 100 ปีก่อนพระเยซูเจ้า นีนะเวห์ในสายตาของชาวยิวก็คือเมืองของคนบาป เมืองที่ไม่มีพระเจ้า เมืองที่ไม่มีศีลธรรม มีแต่คอรัปชั่น มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และเต็มไปด้วยวัตถุนิยมในทุกรูปแบบ
สำหรับชาวยิวที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างเช่นประกาศกโยนาห์ นีนะเวห์ก็คือนครแห่งความเลวร้ายชนิดที่หมดหวังจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ หมดหวังที่จะได้รับความโปรดปรานใดๆ จากพระเจ้า จึงไม่น่าแปลกใจที่โยนาห์แรกๆ ก็ปฏิเสธที่จะไปเมืองนี้ เพราะไปก็เปล่าประโยชน์
แต่เรื่องราวกลับจบลงแบบพลิกความคาดหมาย ชาวนีนะเวห์กลับใจหันมาเชื่อฟังพระเจ้า อดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนใหญ่ที่สุดจนถึงคนเล็กที่สุด จนพระเจ้าเห็นความพยายามของพวกเขา และทรงพระเมตตายกโทษให้พวกเขา
พี่น้องครับ ทุกวันนี้ พระเจ้าก็ยังทรงต้องการเราทุกคน ทั้งชายและหญิง เพื่อพระองค์จะได้ส่งเราไปหาชาวนีนะเวห์ ชาวนีนะเวห์สำหรับเราทุกวันนี้ก็คือเด็กๆ ที่เริ่มห่างเหินจากวัด ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ บรรดาผู้ที่ละทิ้งความเชื่อ ละทิ้งศาสนา ละทิ้งวัด บรรดาผู้ถูกคุมขัง ผู้เจ็บป่วย ผู้ยากไร้ ตลอดจนผู้อยู่ตามตรอก ซอก ซอย ซึ่งเป็นแหล่งเพาะบ่มปัญหาโสเภณี ยาเสพติด และอาชญากรรมทุกรูปแบบ
พี่น้องครับ โยนาห์ไม่ได้ถูกส่งไปหาชาวยิวที่ศรัทธาในพระเจ้าอยู่แล้วฉันใด เราก็ไม่ได้ถูกส่งไปหาผู้ศรัทธาที่มาวัดเป็นประจำอยู่แล้วฉันนั้น แต่พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้นำข่าวดีไปยังเด็กๆ ไปยังผู้คนและสถานที่ที่เราไม่เคยนึกฝันว่ายังจะมีความหวังหลงเหลืออยู่อีก
พี่น้องครับ ท่ามกลางผู้คนและสถานการณ์ที่เราคิดว่าสิ้นหวังแล้วนี้ จริงๆ แล้วก็มิได้สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะในเมื่อชาวนีนะเวห์ยังกลับใจมาหาพระเจ้าได้ ทำไมพวกเขาเหล่านี้จะกลับมาหาพระองค์ไม่ได้ !
นี่คือประเด็นแรกที่พระวรสารวันนี้ฝากไว้ให้พี่น้องได้ไตร่ตรองและนำไปปฏิบัติ !
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ในเมื่อพระเจ้าตรัสเรียกว่า “จงตามเรามาเถิด” ก็แปลว่านับจากนี้ไป เราจะต้องเดินตามค่านิยมและตามจิตตารมณ์ของพระองค์ ซึ่งมักจะขัดแย้งและสวนทางกับค่านิยมและจิตตารมณ์ของชาวโลก
แล้วเราจะแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างไร ?
วิธีแก้ก็คือให้เราอยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลก ดังที่พระเยซูเจ้าทรงวอนขอพระบิดาเพื่อเราว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย” (ยน 17:15)
อยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลก ก็คือให้เรารู้จักปล่อยวาง อย่าไปยึดติดกับค่านิยมหรือการดำเนินชีวิตแบบชาวโลก ดังที่นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์...”
จะเห็นว่านักบุญเปาโลไม่ได้สอนให้เราหนีจากโลก ท่านไม่ได้ห้ามเราแต่งงาน ไม่ได้ห้ามเราร้องไห้ ไม่ได้ห้ามเรามีความสุข ไม่ได้ห้ามเราซื้อของ ไม่ได้ห้ามเราใช้สิ่งของของโลกนี้ เพียงแต่ขอให้เราอย่าไปยึดติดกับมัน อย่าไปทุ่มเทหัวใจ อย่าไปทุ่มเทจิตวิญญาณ อย่าไปทุ่มเทความหวัง และอย่าไปทุ่มเทความไว้วางใจให้กับสิ่งเหล่านี้
พี่น้องครับ นักประดาน้ำเวลาอยู่ใต้น้ำ เขาไม่ได้หายใจเอาน้ำเข้าไป แต่หายใจเอาอากาศเข้าไปฉันใด เราคริสตชนก็ควรจะอยู่ในโลก โดยไม่หายใจเอาจิตตารมณ์ของชาวโลกเข้าไป แต่หายใจเอาจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าเข้าไปฉันนั้น
ที่สุด วันนี้นักบุญเปาโลบอกว่า “เวลานั้นสั้นนัก” และพระเยซูเจ้าเองก็ทรงประกาศในพระวรสารวันนี้ว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด”
คำว่า “กลับใจ” ตรงกับภาษาฮีบรู shub ซึ่งหมายถึง “หมุน หันกลับ” เพราะฉะนั้นการกลับใจจึงหมายถึง “การเปลี่ยนแปลงจิตใจชนิดกลับหลังหันอันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตและความประพฤติของตน”
พี่น้องครับ ฟังดูเหมือนยาก เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนประกาศกโยนาห์ที่คิดว่าไม่มีทางที่ชาวนีนะเวห์จะกลับใจ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้เสมอ หากพี่น้องเชื่อฟังและมุ่งมั่นดำเนินชีวิตตามเสียงของพระเจ้าดังเช่นประกาศกโยนาห์ ที่แม้แรกๆ จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ในที่สุดก็นบนอบและดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์