สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้ฟังพระเยซูเจ้าตำหนิบรรดาผู้นำทางศาสนาของชาวยิวหลายครั้ง
     ในอุปมาเรื่องบุตรสองคน พวกเขาถูกเปรียบเป็นบุตรคนที่สองที่พูดว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานในสวนองุ่นตามความประสงค์ของบิดา (มธ 21:30)
ในอุปมาเรื่องคนเช่าสวน พวกเขาถูกเปรียบเป็นคนเช่าสวนชั่วร้าย ซึ่งนอกจากจะเบี้ยวค่าเช่าแล้ว ยังทำร้ายผู้รับใช้ที่ไปเก็บค่าเช่าอีกด้วย (มธ 21:33-46)
และล่าสุดในอุปมาเรื่องงานวิวาหมงคลที่เราได้ฟังเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว พวกเขาก็ถูกเปรียบเป็นแขกซึ่งปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์ (มธ 22:1-14)
อาทิตย์นี้ถึงคราวพวกเขา “เอาคืน” พระองค์บ้าง !
     พวกเขาวางแผนกำจัดพระองค์อย่างแยบยลด้วยการตั้งคำถามต่อหน้าผู้คนมากมาย โดยหวังจะลดความน่าเชื่อถือของพระองค์อาศัยคำตอบจากปากของพระองค์เอง
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คำถามของพวกเขายังเป็น “คำถามพิฆาต” อีกด้วย !
ที่ว่าเป็นคำถามพิฆาตก็เพราะผู้ถามต้องการคำตอบเพียง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” และไม่ว่าผู้ตอบจะตอบอย่างไรก็ไม่มีทางรอดพ้นจากความผิดไปได้เลย
ยกตัวอย่างเช่น “คุณเลิกโกงแล้วใช่ไหม ?”
หากตอบ “ใช่” ก็แปลว่าคุณเคยโกงมาก่อน
หากตอบ “ไม่ใช่” ก็แปลว่าคุณยังโกงอยู่
     ครั้งนี้พวกเขาเริ่มต้น “เอาคืน” ด้วยการพูดดีแต่เจตนาร้ายว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร”
หลังจากประจบประแจงเพื่อบีบให้พระองค์ต้องตอบแล้ว พวกเขาก็ยิงคำถามพิฆาตใส่พระองค์ทันที “ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่”
คำถามนี้แหละ แหลมคมและเป็นคำถามพิฆาตจริงๆ !
     หากพระองค์ตอบว่าไม่ต้องเสียภาษีแก่ซีซาร์ พวกเขาก็จะฟ้องซีซาร์ แล้วพระองค์ก็จะถูกจับกุมทันทีในข้อหายุยงประชาชนให้ก่อการกบฏ
     ตรงกันข้าม หากพระองค์ตอบว่าต้องเสียภาษีแก่ซีซาร์ ชาวยิวก็จะตราหน้าพระองค์ว่าทรยศต่อพระเจ้า เป็นคนขายชาติ แล้วเลิกติดตามพระองค์
ไม่ว่าพระองค์จะตอบประการใด ล้วนส่งผลร้ายต่อชีวิตและภารกิจของพระองค์ทั้งสิ้น
     แต่ด้วยทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของพวกเขา พระองค์จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง”
สมัยก่อน รวมถึงสมัยนี้ด้วย เหรียญเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นกษัตริย์ ทันทีที่กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์พระองค์จะผลิตเหรียญที่มีรูปและคำจารึกของพระองค์เองขึ้นมา และถือกันว่าเหรียญเหล่านี้เป็นสมบัติของผู้ที่มีรูปอยู่บนเหรียญ
เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” พวกเขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์”
พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
     นี่คือสุดยอดปรีชาญาณของพระเยซูเจ้า เพราะแทนที่จะตอบเป็น “กฎเกณฑ์” ว่า “ต้องเสียภาษีให้ซีซาร์” ซึ่งล้าสมัยได้เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่มีซีซาร์ พระองค์กลับตอบเป็น “หลักการ” ซึ่งไม่ขึ้นกับเวลาและไม่มีวันล้าสมัย
หลักการของพระองค์ก็คือหลักของความยุติธรรม ซึ่งคงอยู่ตลอดไป ไม่มีล้าสมัย นั่นคือ “ของของใคร ก็จงคืนให้คนคนนั้น” !!
     เนื่องจากรัฐไทยให้ความมั่นคงปลอดภัย ตลอดจนจัดให้มีบริการสาธารณะดังเช่น ถนนหนทาง โรงเรียน โรงพยาบาล หากไม่มีรัฐไทยเราคงดำรงชีพด้วยความยากลำบาก หรืออาจไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป
ในเมื่อรัฐไทยมีบุญคุณต่อเราเช่นนี้ ตามความยุติธรรม เราคริสตชนไทยจึงต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการทำหน้าที่พลเมืองไทยอย่างดีและอย่างรับผิดชอบ ดุจเดียวกับซีซาร์ซึ่งปกป้องคุ้มครองชนชาติยิว ชาวยิวจึงต้องตอบแทนบุญคุณซีซาร์ด้วยการเสียภาษี
     นอกจากนี้ ทุกสิ่งที่เราเป็นและทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ไซรัส ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ก็เป็นผู้ให้ตำแหน่งและคาดอาวุธให้แก่กษัตริย์ไซรัส ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ ดังนั้นคริสตชนทุกคนจึงมีหน้าที่ตามความยุติธรรมที่จะต้องกตัญญูต่อพระเจ้า รับใช้พระองค์ และต้องรับผิดชอบชีวิตของเราต่อหน้าพระองค์ด้วย
ดังนั้น ในบูชามิสซาวันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดช่วยเราให้สามารถดำเนินชีวิตยึดมั่นอยู่ในความยุติธรรม ของของรัฐก็คืนให้รัฐ ของของพระเจ้าก็คืนให้พระเจ้า และของของใคร ก็คืนให้คนคนนั้น
และที่สุด ขออวยพรพี่น้องดังที่นักบุญเปาโลอวยพรชาวเธสะโลนิกาในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ขอพระหรรษทานและสันติ + สถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”