บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 981
มีคนงานคนหนึ่งไปสมัครงาน เขาไม่ได้มีทักษะหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดเลย ขณะสัมภาษณ์เขาเรียกร้องค่าจ้างสูงกว่าคนงานที่เชี่ยวชาญเสียอีก โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากเขาใหม่ต่องานจึงต้องใช้ความพยายามและใช้เวลามากกว่าผู้ที่ชำนาญงานแล้ว เพราะฉะนั้นเขาควรต้องได้รับค่าจ้างมากกว่า
แม้เหตุผลนี้ฟังดูออกจะแปลกๆ สักหน่อย แต่ก็ยังมีนักการศึกษาและเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วย นามว่า Booker Washington ที่คิดเช่นเดียวกับคนงานผู้นี้ โบเคอร์ กล่าวว่า “ผมได้เรียนรู้ว่า ความสำเร็จนั้นไม่น่าจะวัดกันด้วยตำแหน่งที่คนคนหนึ่งได้รับ แต่ควรจะวัดกันที่อุปสรรคต่างๆ ที่คนคนนั้นเอาชนะได้ขณะที่พยายามจะบรรลุความสำเร็จ”
แต่วิธีคิดที่ไม่ค่อยจะมีคนคิดแบบนี้นี่แหละที่สะท้อนให้เห็นในพระวรสารวันนี้ เพราะผู้รับใช้ที่รอนายกลับจากงานสมรสก็ดี หรือผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และรอบคอบ ทำหน้าที่ดูแลผู้รับใช้คนอื่นๆ อย่างดีก็ดี พวกเขาต้องออกแรงทำงานมากกว่า ใช้เวลามากกว่า พวกเขาจึงควรได้รับค่าตอบแทนมากกว่า และพวกเขาก็ได้จริงๆ คือได้เลื่อนขั้นไปดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของนาย
และด้วยความคิดเช่นนี้นี่เอง พระเยซูเจ้าจึงทรงกระตุ้นเราในพระวรสารวันนี้ให้ พยายามมากขึ้น มั่นคงในความเชื่อยิ่งขึ้น และออกแรงเตรียมตัวอย่างเต็มที่ขณะที่เรากำลังรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ โดยพระองค์ทรงเล่าอุปมา 2 เรื่องให้เราฟัง
เรื่องแรกเป็นเรื่องผู้รับใช้ที่เตรียมพร้อมรอคอยนายกลับจากงานสมรสไม่ว่าจะเป็นเวลาสองยามหรือสามยามก็ตาม พระองค์เล่าเรื่องนี้เพื่อให้เรามีกำลังใจตื่นเฝ้าและเตรียมพร้อมขณะที่รอคอยพระองค์เสด็จกลับมา พระองค์จะเสด็จกลับมาแน่ แต่จะกลับมาเมื่อใดนั้นไม่มีใครรู้
อันที่จริง พระเยซูเจ้าก็เสด็จเข้ามาในชีวิตของเราทุกวัน แต่การเสด็จมาครั้งสุดท้ายคือเวลาเราตายนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัว และการเตรียมตัวเพื่อจะพบกับพระองค์ที่ดีที่สุดก็คือ ทุกๆ วันให้เราตื่นเฝ้าและพยายามมองให้เห็นพระองค์ให้ได้เมื่อพระองค์เสด็จมาหาเราผ่านทางเหตุการณ์และบุคคลต่างๆ ที่เราพบในแต่ละวัน
หากเหตุการณ์นั้นไม่เป็นคุณสำหรับเรา ก็ถือว่าพระองค์กำลังทดสอบเราเพื่อให้เราเข้มแข็งยิ่งขึ้น
แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นเป็นคุณสำหรับเรา ก็ถือว่าพระองค์กำลังประทานพรให้แก่เรา ให้เราขอบพระคุณพระองค์
และที่สำคัญ เราต้องพยายามมองให้เห็นพระองค์ในเพื่อนพี่น้องที่เราพบปะอยู่ทุกๆ วันให้ได้
นี่คือการตื่นเฝ้าและเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด เพราะหากเรามองเห็นและจำพระองค์ได้ทุกๆ วัน ในวันอันสำคัญที่พระองค์จะเสด็จมาหาเรานั้น เราก็จะจำพระองค์ได้ และจะเปิดประตูให้พระองค์เสด็จเข้ามา ไม่ว่าพระองค์จะมาเวลาใดก็ตาม
ส่วนอุปมาที่สองนั้น พระองค์ทรงชี้ให้เห็นพฤติกรรมของผู้รับใช้สองคนที่แตกต่างกันระหว่างที่นายไม่อยู่ คนหนึ่งซื่อสัตย์และรอบคอบ อีกคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ที่ฉลาดและซื่อสัตย์นั้นทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์มั่นคงแม้นายไม่อยู่ ส่วนผู้รับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์และโง่เขลานั้นดำเนินชีวิตเอาแต่ใจตนเอง คิดแต่ว่านายไม่อยู่ นายจะมาช้า
เมื่อนายกลับมา ผู้รับใช้ที่ฉลาดก็ได้เลื่อนขั้น ส่วนผู้รับใช้ที่โง่เขลาก็ถูกแยกออกไปอยู่กับพวกที่ไม่ซื่อสัตย์
แล้วเราอยากเป็นผู้รับใช้ที่ฉลาด ซื่อสัตย์ และรอบคอบ หรืออยากจะเป็นผู้รับใช้ที่โง่เขลาและไม่ซื่อสัตย์ล่ะ ?
พร้อมกันนี้ พระเยซูเจ้ายังทรงขยายความเรื่องการลงโทษผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์อีกด้วย พระองค์ตรัสว่า “ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย” (ลก 12:47-48)
ที่ผ่านมา เราคุ้นเคยว่าในวันพิพากษาจะเหลือเพียงสองกลุ่ม คือกลุ่มแกะที่อยู่เบื้องขวากับกลุ่มแพะที่อยู่เบื้องซ้าย หรือกลุ่มคนดีกับคนชั่ว หรือคนที่ซื่อสัตย์กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่วันนี้พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงคนที่ถูกเฆี่ยนน้อย
พระองค์ต้องการหมายถึงใคร ?
แน่นอนว่านักบุญในสวรรค์จะไม่ถูกเฆี่ยนเลย ส่วนคนบาปในนรกย่อมถูกเฆี่ยนมาก แล้วใครกันละที่ถูกเฆี่ยนน้อย
ข้อความทำนองนี้นำไปสู่ข้อสรุปว่า ระหว่างสวรรค์กับนรก ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เราคาทอลิกเรียกว่าไฟชำระ ไฟชำระเป็นสถานที่ชั่วคราวสำหรับเยียวยาโทษของผู้มีความเชื่อที่ตายไปขณะมีบาปเบา คนเหล่านี้เข้าสวรรค์ทันทีไม่ได้เพราะยังมีความผิดอยู่ แต่จะส่งพวกเขาลงนรกก็ไม่ได้เช่นกันเพราะพวกเขาไม่ได้มีบาปที่ทำให้ตาย นักบุญยอห์นบอกเราว่า “ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุกชนิดทำให้ตาย” (1 ยน 5:17)
พวกโปรแตสตันท์ไม่เชื่อเรื่องไฟชำระ เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับหนังสือมัคคาบีเป็นพระคัมภีร์ โดยเฉพาะมัคคาบีฉบับที่สอง บทที่ 12:38-45 ซึ่งกล่าวถึงการถวายบูชาอุทิศแก่ทหารผู้ล่วงลับโดยหวังว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพ ซึ่งสนับสนุนความคิดเรื่องไฟชำระอย่างชัดเจน รวมถึงข้อความในพระวรสารวันนี้ด้วย
คำสอนเรื่องไฟชำระนี้ทำให้เราเห็นว่าพระเจ้านั้นทั้งทรงเมตตาและยุติธรรม นี่เป็นข่าวดีและเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่สำหรับเราคนบาป เพราะว่าแม้เราจะไม่สมบูรณ์ครบครันแต่เราก็จะ “ถูกเฆี่ยนน้อย” และอีกไม่นานเราก็จะได้เข้าสู่ความสุขนิรันดรในสวรรค์
ในบูชามิสซานี้ ขอพระเยซูเจ้าโปรดทวีความเชื่อและความหวังในตัวเรา เพื่อเราจะได้ตื่นเฝ้ารอรับพระองค์ด้วยความกระตือรือร้นและทำหน้าที่ของเราอย่างซื่อสัตย์มั่นคงตลอดชีวิต