บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 459
สหัสวรรษใหม่เริ่มมาได้ยี่สิบปีเศษแล้ว แต่เราก็ยังคงเห็นความรุนแรงแบบเก่าๆ แทบไม่มีวันใดเลยที่เราจะไม่ได้ยินข่าวเศร้าๆ เกี่ยวกับความรุนแรงและความโหดร้ายที่ถูกกระทำต่อผู้บริสุทธิ์ ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือผู้กระทำผิดมักจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองโดยอ้างว่ากำลังทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ในนามของพระเจ้า อย่างเช่นสงครามครูเสด กลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถาน อัลกออิดะห์ในอิรัก และกองทัพต่อต้านพระเจ้าในยูกันดา
จริงๆ แล้วบทอ่านวันนี้ก็เป็นการเรียกร้องให้เราทำสงคราม เพียงแต่ไม่ใช่สงครามกับคนอื่น แต่เป็นสงครามต่อต้านบาปและการทุจริตคอรัปชั่น ไม่ใช่สงครามกับคนที่เรามองว่าชั่วร้าย แต่เป็นสงครามกับมารร้าย ให้เราฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้า
“51ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรานำความแตกแยกมาต่างหาก 52ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน 53บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี” (ลก 12:51-53)
ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์บอกว่า การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ “จุดประสงค์” ของการเสด็จมาของพระองค์ แต่เกี่ยวกับ “ผลที่ตามมา” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเสด็จมาของพระองค์
พระองค์เสด็จมาเพื่อจะบอกว่าใครคือบุตรที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งฟังพระวาจาของพระองค์ และใครคือบุตรของโลกนี้ที่ต่อต้านแผนการของพระเจ้า และนี่ทำให้มนุษยชาติแบ่งออกเป็นสองค่าย คือ ค่ายของผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้า และค่ายของคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ จะมีความขัดแย้งและสงครามระหว่างสองค่ายนี้ตลอดไปเนื่องจากค่ายหนึ่งพยายามยกโลกขึ้นไปหาพระเจ้า แต่อีกค่ายหนึ่งพยายามดึงมันลงนรก ทั้งสองค่ายนี้ไม่ได้อาศัยอยู่คนละส่วนของโลก แต่พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้ชิดกับเรา เคียงบ่าเคียงไหล่เรา อยู่หมู่บ้านเดียวกับเรา หรือแม้แต่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับเรา และในความเป็นจริง พลังแห่งความดีและความชั่วมักมีอยู่ร่วมกันในตัวเราแต่ละคน
สงครามที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราทำนั้น ไม่ใช่สงครามกับชนชาติใดชนชาติหนึ่ง ไม่ใช่สงครามกับวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง และก็ไม่ใช่สงครามกับลัทธิหรืออุดมการณ์ใดๆ แต่เป็นสงครามที่ก่อนอื่นเราต้องตระหนักถึงพลังแห่งความชั่วร้ายในตัวเราและในคนที่เรารักดังเช่น บิดา บุตรชาย มารดา บุตรหญิง แม่สามี บุตรสะใภ้ เป็นต้น แล้วประกาศสงครามกับพลังเหล่านี้อย่างแน่วแน่
แล้วพลังแห่งความชั่วร้ายที่เราต้องทำสงครามด้วยมีอะไรบ้าง?
ขอให้เราเริ่มที่บาปต้นเจ็ดประการก่อน คือ
1. ความหยิ่งจองหอง ที่ทำให้เราคิดว่าตนเหนือกว่าคนอื่น
2. ความโลภ ทำให้เราชอบแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยยอมแลกกับการสูญเสียวิญญาณ
3. ตัณหา เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก การดูภาพลามกอนาจาร การปฏิบัติต่อสตรีราวกับเป็นวัตถุเพื่อความพึงพอใจของตน
4. ความโกรธ ความขมขื่น ความเกลียดชัง และความแค้นเคือง
5. ความตะกละ ชอบกินและดื่มมากเกินควร
6. ความอิจฉา การเกลียดชังตนเอง การชิงดีชิงเด่น
7. ความเกียจคร้าน ชอบแสวงหาความสำเร็จโดยไม่อยากทำงาน
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นมารดาแห่งความชั่วร้ายเลยก็คือ “ความอยุติธรรม” หากเราประกาศสงครามกับสิ่งนี้ ก็แสดงว่าเรากำลังทำสงครามศักดิ์สิทธิ์
ในการทำสงคราม เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายหรือความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นเพราะศัตรูก็กำลังต่อสู้กับเราเช่นเดียวกัน อย่างเช่นประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ ท่านทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับบรรดาประกาศกเท็จเทียมซึ่งจะทำนายเฉพาะสิ่งที่กษัตริย์และบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ต้องการจะได้ยินเท่านั้น แต่ท่านยึดติดอยู่กับความจริง ผลก็คือท่านถูกมัดมือโยนลงไปในบ่อโคลน กระนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงส่งคนต่างด้าวซึ่งเป็นชาวเอธิโอเปียมาช่วยท่าน พระเจ้าไม่เคยละทิ้งประชากรของพระองค์
นอกจากนั้น พระเยซูเจ้าผู้นำของเราในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานและความตายบนไม้กางเขน แต่ในวันที่สาม พระเจ้าทรงยกพระองค์ขึ้นสู่ชัยชนะ พระเจ้าไม่เคยละทิ้งประชากรของพระองค์
เช่นเดียวกัน พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเราหากเราทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ นั่นคือทำสงครามกับความชั่วร้ายในตัวเราและในโลก
ด้วยความคิดที่ว่าพระเจ้าไม่เคยละทิ้งสงครามของพระองค์เอง ในบทอ่านที่สองผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูจึงกระตุ้นเราไม่ให้อ่อนล้าหรือท้อแท้ ท่านแนะนำว่า “3ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ที่ทรงอดทนต่อการคัดค้านเช่นนี้ของคนบาป ท่านจะได้ไม่ท้อถอยหมดกำลังใจ 4ในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย” (ฮบ 12:3-4)
อย่าท้อถอย ในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย !