มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

บทที่ 2 : ประชากรของพระเป็นเจ้า

พันธสัญญาใหม่และประชากรใหม่
    9. เป็นความจริงในทุกยุคทุกสมัยและในทุกชาติทุกภาษา ใคร ๆ ที่รับรู้จักพระเป็นเจ้าและประพฤติตามความยุติธรรม เขาผู้นั้นก็เป็นที่รักโปรดปรานของพระองค์ทั้งนั้น (เทียบ กจ. 10,35), กระนั้นก็ดี  พระเป็นเจ้าได้ทรงพอพระทัย ประสาทความศักดิ์สิทธิ์และความรอด  ไม่ใช่แก่มนุษย์คนละคนต่างหากโดยไม่สนพระทัยใยดีต่อความเกี่ยวข้องผูกพันธ์ใด ๆ ของพวกเขาก็หามิได้, แต่ได้ทรงพอพระทัยจัดตั้งพวกเขาขึ้นเป็นประชากรให้มารับรู้จักพระองค์ด้วยความจริงใจ และมาปรนนิบัติรับใช้พระองค์อย่างดีศักดิ์สิทธ์ ดังนี้เองพระองค์จึงได้ทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นประชากรของพระองค์, ได้ทรงสั่งสอนเขาทีละขั้นทีละตอนให้มารู้ถึงองค์ของพระองค์ท่าน และโครงการน้ำพระทัยของพระองค์ทรงแสดงออกให้เห็นประจักษ์ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา  และทรงบันดาลให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระองค์ท่าน, ทุกสิ่งทุกอย่างนี้อันเป็นขึ้นมาเพื่อเตรียมพวกเขไว้ล่วงหน้า และเพื่อเป็นรูปแบบแห่งพันธสัญญาใหม่อันสมบูรณ์,  ที่จะกระทำขึ้นในองค์พระคริสตเจ้า, ทั้งเป็นการไขแสดงเปิดเผยยิ่งขึ้น,  เป็นการไขแสดงครบถ้วนโดยทางพระวจนาตถ์ของพระเป็นเจ้าผู้มารับเป็นมนุษย์ “นี่แน่ะ  จะถึงวันเวลา, พระสวามีเจ้าทรงพระดำรัสไว้,  เราจะกระทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลเอง และกับประชายูดา… เราจะนำบัญญัติของเราใส่เข้าไปในไส้พุงของพวกเขา, เราจะเป็นพระเป็นเจ้าของพวกเขา  และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา… เหตุด้วยว่าพวกเขาทุกคนจะรู้จักเราทั่วถ้วนหน้า แต่เล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุด, พระสวามีเจ้าตรัสไว้ดังนี้” (ยรม. 31,31-34).  พันธสัญญาใหม่นั้น พระคริสตเจ้าได้ทรงกระทำขึ้น, เป็นพันธสัญญาใหม่ที่ตกลงกันด้วยพระโลหิตของพระองค์ท่านเอง (เทียบ 1 คร. 11,25), พระองค์ได้ทรงเรียกประชากรนี้มาจากชาวยิวและจากชาวต่างชาติ,  เป็นประชากรที่รวบรวมมาอยู่ในเอกภาพไม่ใช่ทางด้านเนื้อหนัง  แต่โดยทางพระจิตเจ้า,  และตั้งขึ้นเป็นประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า เหตุด้วยว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระคริสตเจ้า, เขาเกิดใหม่ไม่ใช่จากเชื้อที่เสื่อมเสียได้  แต่จากเชื้อที่ไม่รู้เสื่อมเสีย โดยทางพระวจนะของพระเป็นเจ้าผู้ทรงชีวิต (1 ปต. 1,23) ไม่ใช่มาจากเนื้อหนังแต่มาจากน้ำและพระจิตเจ้า (เทียบ ยน. 3,5-6), ทีสุดพวกเขานี้ถูกตั้งขึ้นเป็น  “เชื้อสายที่ทรงคัดเลือกไว้, เป็นคณะสงฆ์แห่งพระราชา,  เป็นชาติศักดิ์สิทธิ์  เป็นประชากรที่ทรงจัดหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง… ผู้ที่ครั้งหนึ่งไม่ใช่ประชากรของพระเป็นเจ้า”  แต่บัดนี้เป็นประชากรของพระเป็นเจ้า  (1 ปต. 2,9-10),

ประชากรแห่งพระแมสไซอะห์นี้ มีพระคริสตเจ้าเป็นศีรษะ  (ประมุข). “พระองค์คือผู้ได้ถูกขายเพราะบาปความผิดของชาวเราและทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ เพื่อบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์” (รม. 4,25), และบัดนี้พระองค์ทรงกอปรด้วยพระนามอันอยู่เหนือนามทั้งหลาย,  ทรงเสวยราชย์ในสวรรค์เพียบพร้อมด้วยพระเกียรติมงคล, ประชากรใหม่ตามศักดิ์ฐานะของเขา เขาก็มีเกียรติศักดิ์และอิสระเสรี ฉันบุตรของพระเป็นเจ้า… ในใจของเขาก็มีพระจิตเจ้าประทับอยู่ดังพระองค์สถิตอยู่ในโบสถ์.  เขายึดถือพระบัญญัติใหม่เป็นกฎหมาย,  พระบัญญัตินี้สั่งให้รักกันและกัน  ดุจดังพระคริสตเจ้าทรงรักชาวเรา  (เทียบ ยน. 13,34) ที่สุดปลายทางของเขาคือพระราชัยของพระเป็นเจ้า  ซึ่งเริ่มจากพระองค์บนแผ่นดินนี้,  จะขยับขยายต่อ ๆ ไป  จนกระทั่งสิ้นกาลเวลา, จะบรรลุผลสมบูรณ์จากพระเป็นเจ้า ในคราวเมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จประจักษ์มา,  พระองค์คือชีวิตของชาวเรา  (เทียบ คส. 3,4) และ  “ตัวสัตว์โลกเองจะรอดพ้นความเป็นทาสของความเสื่อมสลาย  กลับเข้าสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ประสาลูก ๆ ของพระเป็นเจ้า”  (รม. 8,21),  เพราะฉะนั้นประชากรแห่งพระแมสไซอะห์นี้ แม้ในปัจจุบันไม่ครอบคลุมประชากรทั่วทั้งโลก,  บ่อยครั้งยังปรากฏว่าเป็นฝูงแกะน้อย ๆ,  ถึงกระนั้นมนุษยชาติทั้งหมด  ประชากรนี้ก็เป็นพืชพันธุ์อันมั่นคงที่สุดด้านเอกภาพ, ด้านความหวังและความรอด,  ประชากรนี้  พระคริสตเจ้าได้ทรงสถาปนาขึ้น  ให้มาร่วมกับพระองค์ท่านในด้านชีวิต, ความรักและความจริง,  และประชากรนี้ พระองค์ท่านเองยังได้ทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อไถ่มนุษย์ทุก ๆ คน,  และทรงใช้เขาไปสู่โลกจักรวาล,  ดังเป็นแสงสว่างส่องโลก, ดังเป็นเกลือดองแผ่นดิน (เทียบ มธ. 5,13-16).

ชาวอิสราเอล  ในฐานะเป็นคนมีเนื้อหนัง คราวระเหเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย  เขายังได้ชื่อว่า  เป็นพระศาสนจักรแล้ว,  ฉันใด (2 นหม. 13,1; เทียบ กดว. 20,4; ฉธบ. 23,1…) ก็ฉันนั้น  อิสราเอลใหม่ที่กำลังจาริกอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ก็ตามแสวงหานครในภายหน้าและนครอันสถาพร  (เทียบ ฮบ. 13,14) ยังได้รับนามว่าเป็นพระองค์ท่านเองได้ทรงจัดหามาด้วยอาศัยพระโลหิตของพระองค์ (เทียบ กจ. 20,28)  ได้ทรงประสาทพระจิตของพระองค์แก่เขาอย่างเต็มที่, ทรงตกแต่งเขาให้บริบูรณ์ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อันเหมาะสมให้บรรลุถึงเอกภาพอันแลเห็นได้  และเป็นเอกภาพทางสังคม.  กลุ่มของฝูงชนที่มีความเชื่อยกตาขึ้นหาพระเยซู, เจ้าแห่งความรอด  และหลักแห่งเอกภาพและสันติภาพ, ก็กลุ่มนี้แหละ พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกมาและทรงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นพระศาสนจักรหวังให้เป็นศักดิ์สิทธิการอันแลเห็นได้แห่งเอกภาพที่ทำความรอดและเป็นเอกภาพทางสังคม, นี้สำหรับมนุษย์ทุกคนและคนละคน. เอกภาพนี้จะต้องแผ่ขยายไปยังทุก ๆ ประเทศ และแทรกเข้าอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทั้งหลาย  แม้ขณะนี้เอกภาพดังกล่าวก็ผ่านเลยขอบเขตประชากรต่าง ๆ  ในด้านเวลาและสถานที่. พระศาสนจักรเดินหน้าไปท่ามกลางการประจญล่อลวงและความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ อาศัยอิทธิฤทธิ์แห่งพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า  ที่พระสวามีเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่ท่าน  ท่านจึงเกิดมีพละกำลัง จนว่าแม้ท่านจะอ่อนแอตามประสามีเนื้อหนัง  ท่านก็ไม่เพลี่ยงพล้ำถึงกับเสียความสมบูรณ์แห่งความสัตย์ซื่อของท่าน,  ท่านยังคงบำเพ็ญตนเป็นภริยาที่เหมาะสมของพระคริสตเจ้า และโดยพระจิตเจ้าทรงทำงาน,  ท่านก็รื้อฟื้นชุบตัวของท่านอยู่เสมอมิได้ขาด  ทั้งนี้จนกว่าท่านจะผ่านกางเขน ไปสู่ความสว่างอันมิรู้ดับ.

สังฆภาพทั่วไป
    10.  พระคริสต์สวามีเจ้า, มหาสงฆ์จากมวลมนุษย์  (เทียบ ฮบ. 5,1-5).  พระองค์ท่านได้ทรงจัดตั้งประชากรใหม่ “ให้เป็นพระราชัยและหมู่สงฆ์ (20) ถวายแด่พระเป็นเจ้าและพระบิดาของพระองค์”  (วว. 1,6; เทียบ 5,9-10)  เหตุผลก็คือบรรดาผู้ได้รับศักดิสิทธิการ – ล้างบาป,  เขาเหล่านี้โดยการเกิดใหม่ และโดยทางการเจิมของพระจิตเจ้า, เขาได้รับอภิเษกขึ้นเป็นเคหะด้านจิตวิญญาณและเป็นสังฆภาพอันศักดิ์สิทธิ์  เพื่อด้วยอาศัยกิจการทั้งหลายของคนคริสตัง  เขาจะได้ถวายบูชาทางจิตใจ  และประกาศฤทธิ์อำนาจของพระองค์ท่าน ผู้ได้ทรงเรียกเขาจากความมืดมาสู่ความสว่างอันน่าพิศวงของพระองค์  (1 ปต. 2,4-10). ดังนั้นบรรดาศิษย์ของพระคริสตเจ้าทั้งสิ้นที่เพียรบำเพ็ญภาวนา  และพร้อมใจกันสรรเสริญพระเป็นเจ้า (เทียบ กจ. 2,42-47)  เขาก็แสดงให้ปรากฏว่าตัวเขาเป็นบูชาที่มีชีวิต, เป็นบูชาศักดิ์สิทธิ์,  บูชาที่สบพระทัยพระเป็นเจ้า  (เทียบ รม. 12,7)  และทั่วทุกแห่งหนบนแผ่นดิน เขาก็เป็นพยานยืนยันถึงพระคริสตเจ้า,  และเมื่อใครถามหาเหตุผล, เขาก็ตอบตามที่มีอยู่ในใจว่า  เป็นเพราะเขาหวังจะได้ชีวิตนิรันดร (เทียบ 1 ปต. 3,15),

สังฆภาพทั่วไปของสัตบุรุษ กับสังฆภาพของศาสนบริกรหรืออีกนัยหนึ่งของผู้อยู่ในพระฐานานุกรม  แม้แตกต่างกันทางด้านสภาวะ  (ด้านธรรมชาติ), มิใช่แตกต่างกันที่หลั่นชั้น, ถึงกระนั้นสังฆภาพทั้งสองก็เกี่ยวข้องประสานกันและกัน  เหตุว่าสังฆภาพแต่ละอัน  ตามทำนองพิเศษเฉพาะของตน ๆ ก็ได้รับปันส่วนมาจากสังฆภาพอันหนึ่งอันเดียวของพระคริสตเจ้า. พระสงฆ์ศาสนบริกร (21)  โดยที่ท่านประกอบด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงก่อสร้างการปกครองประชากร – สงฆ์, ท่านกระทำพิธีสดุดีบูชาอันเป็นตัวแทนของพระ คริสตเจ้า  และท่านถวายสดุดีบูชาอันนี้แด่พระเป็นเจ้าในนามของประชากรทั้งสิ้น,  ส่วนบรรดาสัตบุรุษ,  อาศัยราชสังฆภาพของพวกเขา, เขาก็ร่วมมือในการถวายสดุดีบูชา,  ร่วมมือในการรับศีลศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ ในการบำเพ็ญภาวนา และในการสนองขอบพระคุณานุคุณ, เขายังปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเขา ด้วยการครองชีพอย่างศักดิ์สิทธ์เป็นพยานยืนยัน, ด้วยความเสียสละต่าง ๆ และด้วยการออกแรงทำกิจกรรมแสดงความเมตตาจิต.

การปฏิบัติกิจกรรมของสังฆภาพทั่วไป  โดยทางการรับศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ
        11.  ลักษณะศักดิ์สิทธิ์  อันจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมสงฆ์ ออกฤทธิ์ประสิทธิ์กิจกรรมของตน  ทั้งโดยอาศัยศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ ทั้งโดยอาศัยฤทธิ์กุศล  (หรือคุณธรรม) ต่าง ๆ ด้วย,  สัตบุรุษโดยทางศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป เขาเข้ามาอยู่ในสังกัดพระศาสนจักร ; เขาได้รับประทับตราให้เข้าร่วมในคารวกิจของพระคริสตศาสนา,  และเขาเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า, เขาได้รับความเชื่อจากพระเป็นเจ้า,  โดยผ่านทางพระศาสนจักร,  เขาจึงมีหน้าที่ต้องแสดงความเชื่อนั้นให้ปรากฏต่อหน้ามวลมนุษย์. โดยทางศักดิ์สิทธิการแห่งพละกำลัง (22)  เขากระชับสายสัมพันธ์กับพระศาสนจักรยิ่งขึ้น โดยที่เขาร่ำรวยขึ้นด้วยกำลังพิเศษของพระจิตเจ้า,  เขาจึงมีหน้าที่เร่งรัดยิ่งขึ้น  ในการแผ่ขยายและในการป้องกันความเชื่อด้วยวาจาและด้วยกิจการในฐานะเป็นพยานแท้ของพระคริสตเจ้า.  เมื่อเขาเข้าไปร่วมมีส่วนในสดุดีบูชาอันเป็นบ่อเกิดและสุดยอดแห่งชีวิตคริสตังทั้งหมด,  เขาก็ถวายแด่พระเป็นเจ้า,  ซึ่งองค์พระเจ้าเป็นเครื่องบูชา ทั้งถวายตัวเขาเองร่วมกับสักการบูชาอันนั้นด้วย  จึงเป็นอันว่าในการถวายและในการร่วมกับศักดิ์สิทธิการมหาสนิท, ทุก ๆ คนไม่ใช่อย่างคละ ๆ กันไป แต่ทุก ๆ คนต่างคนต่างบำเพ็ญส่วนของตนในพิธีกรรมอันนั้น  อนึ่งเมื่อได้รับพระกายของพระคริสตเจ้าในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว เขาก็แสดงออกให้ปรากฏชัดเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งเอกภาพแห่งประชากรของพระเป็นเจ้า  เพราะว่าศักดิ์สิทธิการอันวิสุทธิ์อย่างยิ่งนี้ เป็นทั้งเครื่องหมายทั้งเครื่องผลิตเอกภาพนั้น เป็นที่อัศจรรย์ใจนักหนา.

ส่วนคนที่เข้าไปรับศักดิ์สิทธิการอภัยบาป (23) เพราะพระเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า เขาก็ได้รับการยกบาปความผิดที่ได้กระทำต่อพระเป็นเจ้า และพร้อมกันนั้นเขาก็ได้รับการคืนดีกับพระศาสนจักรด้วย,  เพราะว่าการทำบาปคือ การทำร้ายพระศาสนจักร  ซึ่งท่านก็พยายามแผ่เมตตาจิต,  ทำตนเป็นแบบอย่างและบำเพ็ญภาวนาให้เขากลับใจ. โดยอาศัยศักดิ์สิทธิการเจิมทาคนไข้ (24) และโดยคำภาวนาของคณะสงฆ์ พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรก็เฝ้าฝากฝังคนไข้ไว้กับพระสวามีเจ้าผู้ทรงทนทุกข์และประกอบด้วยเกียรติมงคล  ขอให้พระองค์ทรงทุเลาบรรเทาเขา และช่วยให้เขาได้รอด  (เทียบ ยค. 5,14-16) กว่านั้นอีกท่านยังตักเตือนคนไข้ให้มอบตัวเขาไว้กับพระมหาทรมานและมรณกรรมของพระคริสตเจ้า  (เทียบ รม. 8,17; คล. 1,24; ทม. 2,11-12; ปต. 4,13) เพื่อเป็นทางพลีส่วนบุญกุศลของตน  ให้เป็นประโยชน์แก่ประชากรของพระเป็นเจ้า  อนึ่งท่ามกลางบรรดาสัตบุรุษผู้ได้รับประทับตราของศักดิ์สิทธิการแห่งพระอนุกรม (25) เพื่อเลี้ยงดูพระศาสนจักรด้วยวาจา และพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า, เขาได้รับแต่งตั้งขึ้นในนามของพระ   คริสตเจ้า. ที่สุดสามีภรรยาคริสตังด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิการแห่งการสมรส (26) ซึ่งเป็นเครื่องหมาย  ทั้งมีส่วนร่วมในพระอคาธัตถ์เอกภาพและความรักอันผลิตผลระหว่างพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร  (เทียบ อฟ. 5,32)  สามีภรรยาคริสตัง  ในชีวิตสมรส เขาต่างช่วยเหลือกันและกัน, ช่วยกันในการสืบพันธุ์และอบรมเลี้ยงดูเชื้อชาติของตนไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์,  ยิ่งกว่านั้นโดยฐานะการดำรงชีวิต และระเบียบประเพณีของเขา  เขาก็ผลิตคุณประโยชน์เฉพาะของเขาขึ้นในประชากรของพระเป็นเจ้า (เทียบ 1 คร. 7,7). จากการสมรสก็เกิดมีครอบครัว,  ในครอบครัวก็มีพลเมืองใหม่ของสังคมมนุษย์  พลเมืองใหม่นี้อาศัยพระหรรษทานของพระจิตเจ้า  เขาจึงถูกตั้งขึ้นเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า  โดยทางศักดิ์สิทธิการล้างบาป,  จึงเป็นทางธำรงประชากรของพระเป็นเจ้าให้คงอยู่ต่อไปในกระแสศตวรรษ  ครอบครัวเป็นดังพระศาสนจักรภายในบ้านเรือน ฉะนั้นในครอบครัว บิดามารดาต้องเป็นคนแรกที่ประกาศสอนความเชื่อให้แก่ลูก ๆ ของตน  ด้วยวาจาและด้วยแบบอย่าง,  บิดามารดาจำต้องสนับสนุนกระแสเรียกเฉพาะของลูกแต่ละคน, เฉพาะอย่างยิ่งต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อกระแสเรียกอันศักดิ์สิทธิ์.

สัตบุรุษของพระคริสตเจ้าทุกคน ประกอบอยู่ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ของความรอดมากมายก่ายกองถึงเพียงนี้แล้ว ทุก ๆ คนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะและชั้นวรรณะใด ๆ พระสวามีเจ้าก็ทรงเรียกร้องให้ต่างคนต่างเดินตามทางเฉพาะของตนไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์อันสมบูรณ์ อย่างที่พระบิดาเจ้าเองเป็นผู้ดีบริบูรณ์นั้นแล.

ทิศทางของความเชื่อ (27) และพิเศษพรของประชากรคริสตัง
    12.  ประชากรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า  ย่อมมีส่วนในหน้าที่ประภาษกของพระคริสตเจ้าด้วยเพราะเขาบำเพ็ญตนเป็นพยานเป็น ๆ  (ที่มีชีวิต)  ของพระองค์  เฉพาะอย่างยิ่งเผยแพร่ด้วยการบำเพ็ญชีวิตความเชื่อและความรัก, ด้วยการถวายสักการะแด่พระเป็นเจ้า,  เป็นการบูชาสรรเสริญอันเป็นผลเกิดจาปากที่เขาใช้เทิดทูนพระนามของพระองค์ (เทียบ ฮบ. 13,15)  สัตบุรุษผู้ได้รับการเจิมจากองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์  (เทียบ 1 ยน. 2,20 และ 27) เมื่อนำมารวมกันเข้าทั้งหมด  เขาก็ไม่อาจหลงไปในเรื่องความเชื่อได้  และลักษณะอันพิเศษของพวกเขานี้ เขาแสดงออกโดยเป็นความรู้สึกอันเหนือธรรมชาติทางความเชื่อถือของประชากรทั้งหมด,  เมื่อ “จากบรรดาพระสังฆราชลงไปจนถึงสัตบุรุษฆราวาสคนสุดท้ายแสดงความเห็นพ้องต้องกันโดยทั่วไป ในเรื่องความเชื่อและศีลธรรมเพราะด้วยว่าความรู้สึกทางความเชื่ออันนี้ มีพระจิตเจ้าเป็นผู้ปลุกเสก และ  เป็นผู้พยุงไว้, ประชากรของพระเป็นเจ้าภายใต้การนำแห่งพระอาจริยานุภาพ (28) อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเขาเคารพเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ,  เมื่อนั้นเขาได้รับไม่ใช่คำพูดของมนุษย์  แต่ได้รับพระวาจาของพระเป็นเจ้าโดยแท้ (เทียบ ธส. 2,13) และเป็นพระวาจาแห่งความเชื่อ  ซึ่งบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมอบไว้แล้ว  (เทียบ ยค. 3) และยังคงติดตรึงอย่างไม่รู้เสื่อมคลาย และตามคำตัดสินอันถูกต้อง พระวาจานั้นก็แทรกซ่านลึกเข้าไปในความเชื่อ และนำความเชื่อนี้มาประยุกต์ในชีวิตให้กว้างขวางยิ่ง ๆ ขึ้นไป.”

นอกนั้นพระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้ ไม่ใช่แต่เพียงโดยทางศักดิ์สิทธิการและโดยทางภาระหน้าที่เท่านั้นที่พระองค์ประทานความศักดิ์สิทธิ์ และทรงแนะนำประชากรของพระเป็นเจ้า และทรงตกแต่งให้ประกอบด้วยคุณธรรมต่าง ๆ แต่พระองค์ยังประทานพระคุณนานาของพระองค์ “ทรงแบ่งปันแก่คนละคน ตามแต่ทรงพอพระทัย” (1 คร. 12,11),  ท่ามกลางสัตบุรุษทุกชั้นวรรณะพระองค์ประทานพระคุณพิเศษให้ด้วย, เป็นพระหรรษทานที่ทำให้พวกเขาเหมาะสมและสรรพพร้อมจะรับทำงานและหน้าที่ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ฟื้นฟูและขยับขยายพระศาสนจักร  ทั้งนี้เป็นไปตามวาทะที่ว่า  “ทุก ๆ คน ได้รับการแสดงองค์ของพระจิตเจ้า เพื่อทำคุณประโยชน์”  (1 คร. 12,7), อันพระพรานุพรที่เป็นพรใหญ่โตรุ่งโรจน์ก็ดี,  และที่เป็นพระพรชั้นรอง ๆ ซึ่งมีดาษดื่นก็ดี  เพราะเป็นสิ่งที่เหมาะสมและเพื่อประโยชน์ความต้องการของพระ ศาสนจักร,  เมื่อได้รับ ชาวเราต้องรับเอาด้วยใจกตัญญูขอบพระคุณและด้วยความเบาใจ, พระพรต่าง ๆ นอกปกติธรรมดาเหล่านี้ ชาวเราอย่าแสวงหาด้วยความเบาความ  และอย่าชะล่าใจหวังจะได้รับผลในกิจกรรมแพร่ธรรมของตน, แต่เป็นหน้าที่ของหัวหน้าในพระศาสนจักร  ที่จะตัดสินความแท้ไม่แท้ของพระคุณนั้น ๆ ทั้งในการใช้พระคุณให้เป็นระเบียบ  เฉพาะอย่างยิ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่กล่าวมา,  ไม่ใช่เพื่อให้ท่านดับพระจิตเจ้า แต่เพื่อให้ท่านพิสูจน์ทุก ๆ สิ่ง และยึดเอาแต่สิ่งที่ดี  (เทียบ ธส. 5,12 และ 19-21),

สากลภาพ  หรือ  “ความเป็นคาทอลิก” แห่งประชากรแต่ประชากรเดียวของพระเป็นเจ้า
    13.  ประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้านั้น มนุษย์ทุกคนเชิญให้เข้ามาสู่  เพราะฉะนั้นประชากรนี้มีอันเดียวและคงเป็นอยู่แต่อันเดียวเท่านั้น, อันที่จะแผ่กระจายไปสู่ทั่วโลกจักรวาล และตลอดกระแสศตวรรษทั้งหลาย เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งประสงค์ของพระเป็นเจ้า  ผู้ซึ่งในเบื้องต้นได้ทรงสร้างธรรมชาติมนุษย์มาแต่ธรรมชาติเดียว,  และลูก ๆ ของพระองค์ที่ได้กระจัดกระจายไปนั้น  พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะนำกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด  (เทียบ ยน. 11,15).  เพราะเหตุนี้เองพระเป็นเจ้าจึงได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา,  ทรงแต่งตั้งให้เป็นทายาทของโลกจักรวาล  (เทียบ ฮบ. 1,2),  ให้เป็นพระอาจารย์,  พระราชา,  และพระสงฆ์ของทุก ๆ คน ให้เป็นประมุข (หัวหน้า)  ของประชากรใหม่, ประชากรสากลแห่งลูก ๆ ของพระเป็นเจ้า, ที่สุดเพราะเหตุนี้เอง  พระเป็นเจ้าได้ทรงส่งพระจิตแห่งพระบุตรของพระองค์มา, พระจิตนี้เป็นพระสวามีเจ้า, เป็นผู้บันดาลชีวิต,  พระองค์นี้แหละสำหรับพระศาสนจักรทั้งหมด  ทั้งสำหรับผู้มีความเชื่อคนละคนและทุก ๆ คนรวมกัน,  ทรงเป็นแหล่งที่มาแห่งการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน  และเอกภาพในคำสอนของพวกอัครสาวก,  แห่งสหพันธ์,  การหักปัง,  และการบำเพ็ญภาวนา (เทียบ กจ. 2,42 กริก)

เพราะฉะนั้นประชากรแต่ประชากรเดียวของพระเป็นเจ้า  มีอยู่ในทุกชาติภาษาบนแผ่นดิน  เพราะประชากรนี้ยืมพลเมืองของตนมาจากทุกชาติภาษา, มีลักษณะพิเศษเป็นราชัย ไม่ใช่ราชัยฝ่ายโลกนี้  แต่เป็นราชัยฝ่ายสวรรค์  เหตุว่าสัตบุรุษทุกคนที่กระจายอยู่ทั่วโลก ต่างก็ร่วมสหพันธ์ในพระจิตเจ้า  กับสัตบุรุษอื่นทั้งหลาย,  เป็นอันว่า  “คนที่พำนักอยู่กรุงโรม ก็ทราบว่าชาวอินเดียเป็นสมาชิก  (อวัยวะ)  ของตน”

เพราะพระราชัยของพระคริสตเจ้า ไม่ใช่เป็นของโลกนี้  (เทียบ ยน. 18,36),  ฉะนั้นพระศาสนจักร,  อีกนัยประชากรของพระเป็นเจ้าที่ประกอบขึ้นเป็นราชัยนี้, ท่านไม่ลักลอบเอาทรัพย์ฝ่ายโลกอันใดจากประชากรใด ๆ เลย,  แต่ตรงข้าม  อันความสามารถ, ทรัพยากรและขนบประเพณีของประชากรต่าง ๆ อะไรที่เป็นชองดีท่านก็สนับสนุนและรับเอาไว้,  เมื่อรับไว้ท่านก็ชำระสะสาง, ปลูกฝังให้มั่นคงและเชิดชูขึ้น. ท่านสำนึกอยู่เสมอว่าตัวท่านจำต้องเก็บรวบรวมร่วมกับพระราชาพระองค์นั้น, พระองค์ที่นานาชาติทั้งหลายถูกมอบให้เป็นมรดกของพระองค์ท่าน  (สดด. 2,8)  และ “ยังพระบุตรของพระองค์ท่านเขานำเอาของขวัญและเครื่องบรรณาการมาถวาย”  (เทียบ สดด. 71 (72); อสย. 60,4-7; วว. 21,24).  ลักษณะสากลภาพอันนี้ ที่พากันประดับบรรดาประชากรของพระเป็นเจ้าก็เป็นพระคุณของพระสวามีเจ้าเอง และด้วยพระคุณอันนี้  พระศาสนจักรคาทอลิกมุ่งมั่นอย่างได้ผลและสม่ำเสมอ นำมนุษยชาติทั้งหมดพร้อมกับทรัพยากรทั้งสิ้นของเขา  กลับเข้ามามอบให้แด่พระคริสตเจ้าองค์พระประมุข  (ศีรษะ) ร่วมเอกภาพกับพระจิตของพระองค์ท่าน.

เดชะฤทธิ์แห่งสากลภาพอันนี้ ส่วนแต่ละส่วนต่างนำเอาพรโดยเฉพาะของตนมามอบให้แก่พระ  ศาสนจักรทั้งหน่วยด้วย จึงเป็นอันว่าตัวหน่วยทั้งหมดและส่วนแต่ละส่วนของหน่วยนั้นย่อมเจริญขึ้น  เพื่อจากที่ทุกๆ คนต่างนำเอาพรของตนๆ มามอบให้แก่กันและกัน และต่างพากันมุ่งมั่นไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ในเอกภาพ จังเป็นอันว่าประชากรของพระเป็นเจ้ารวมตัวกันขึ้น ไม่ใช่เพียงเพราะมีประชากรต่าง ๆ กันเท่านั้น  แต่ยังเจริญเติบโตขึ้นในตัวตนเอง เพราะมีการประสานสมานกันหลายสิ่งหลายอย่างอีกด้วย ระหว่างสมาชิก  (อวัยวะ)  ของพระศาสนจักรมีความแตกต่างกัน, บ้างก็ในด้านหน้าที่, ในเมื่อบางท่านบำเพ็ญ   ศาสนบริการเพื่อประโยชน์ของพี่น้องของตน,  บ้างก็ในด้านฐานะการดำเนินชีวิต,  ในเมื่อมีหลาย ๆ ท่านสังกัดอยู่ในฐานะนักบวช, เขาดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่รัดกุมเคร่งครัดยิ่งขึ้น โดยเขามุ่งไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์,  แบบอย่างของเขาจึงเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนพวกพี่น้อง  เป็นเพราะเหตุนี้เองด้วย ที่ในสหพันธ์ของพระศาสนจักรมีพระศาสนจักรปลีกย่อยหลายพระศาสนจักร.  ซึ่งก็เป็นไปตามคลองธรรม.  พระศาสนจักรปลีกย่อยเหล่านี้มีขนบประเพณีของโดยเฉพาะ ทั้ง ๆ ที่คงดำรงอยู่โดยความครบถ้วน ภายใต้การเป็นประมุขเอก (29) ของพระอาสนแห่งท่านเปโตร (30)  ผู้เป็นประธานในที่ประชุมสโมสรสันนิบาตสากลทั่วไปของบรรดาผู้มีความรัก,  ท่านเปโตรก็ปกป้องความแตกต่างอันเป็นไปตามคลองธรรม, ท่านปกป้องความแตกต่างพิเศษนี้  อย่าเข้าใจว่าเพื่อไม่ให้ทำร้ายต่อเอกภาพ แต่เพื่อให้ลักษณะพิเศษนั้นกลับเป็นคุณต่อเอกภาพอีกด้วย  ที่สุดเพราะเหตุนี้เองด้วย ท่ามกลางความแตกต่างกันเองของพระศาสนจักร ก็มีสายสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อต่อกันในด้านทรัพยากรฝ่ายวิญญาณ,  ด้านบุคลากรในงานแพร่ธรรม,  และในด้านการอุปถัมภ์ช่วยเหลือกันและกันทางโภคทรัพย์ฝ่ายแผ่นดิน.  ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสมาชิก (อวัยวะ) แห่งประชากรของพระเป็นจ้าได้รับเรียกมา  เพื่อนำทรัพยากรต่าง ๆ มาแบ่งปันกันและกัน, วาทะของท่านอัครสาวกจึงเหมาะสมกับพระศาสนจักร แต่ละพระศาสนจักรว่า : “ทุก ๆ คนจงนำเอาพระหรรษทานที่ตนได้รับมาแบ่งปันรับใช้กันและกัน,  อย่างเช่นที่เป็นผู้จำหน่ายจ่ายแจกที่ดีงามแห่งพระหรรษทานหลายสิ่งหลายอย่างของพระเป็นเจ้า” ( 1 ปต. 4,10)

เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกคนได้รับเชิญให้เข้ามาสู่เอกภาพสากล (คาทอลิก)  แห่งประชากรของพระเป็นเจ้า เอกภาพสากลอันนี้เป็นทั้งเครื่องหมายบ่งล่วงหน้า  และเป็นทั้งเครื่องหมายสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดมีสันติภาพสากล : มนุษย์ทุกคนมีความเกี่ยวข้อง  หรือได้รับการจัดให้โน้มเอียงเกี่ยวข้องกับสันติภาพสากลด้วยทำนองต่าง ๆ กัน :  บ้างเป็นสัตบุรุษคาทอลิกด้วยกันก็ดี,  บ้างเป็นคนอื่นที่เชื่อในพระคริสตเจ้าก็ดี, บ้างในที่สุดเป็นมนุษย์ทั้งหลายทั่วไปก็ดี,  ทุกคนต่างได้รับคำเชื้อเชิญจากพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า  ให้เข้ามาสู่ความรอดด้วยกันทั้งนั้น.

สัตบุรุษคาทอลิก
    14.  พระสังคายนาสากลศักดิ์สิทธิ์ หันมาพิจารณาดูสัตบุรุษคาทอลิกเป็นอันดับแรก ท่านถือเอาพระคัมภีร์และพระกิตติ (31)  เป็นหลัก  จึงสอนว่าพระศาสนจักรที่กำลังเร่ร่อนอยู่ในโลกขณะนี้  เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเอาตัวรอด,  เหตุด้วยว่ามีพระคริสตเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเป็นคนกลาง  และเป็นหนทางแห่งความรอด พระองค์ทรงเป็นอยู่ขณะนี้สำหรับเราในพระวรกายของพระองค์  ซึ่งก็คือพระศาสนจักรนั่นเอง พระองค์ได้ทรงพร่ำสอนด้วยพระวาจาอันชัดเจน  (เทียบ มก. 16,16; ยน. 3,5)  พร้อมกับทรงยืนยันว่าพระศาสนจักรเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งมนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในนั้น โดยทางศักดิ์สิทธิการล้างบาป  ซึ่งเป็นดังประตูทางเข้า จึงเป็นอันว่าไม่สามารถเอาตัวรอดได้ บุคคลที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระเป็นจ้าได้ทรงตั้งพระศาสนจักรคาทอลิกขึ้นโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า ในฐานะที่เป็นพระศาสนจักรอันจำเป็น, กระนั้นก็ดี  เขาไม่ยอมเข้าสังกัดหรือไม่ยอมสังกัดอยู่ต่อไป.

นับว่าเป็นสมาชิกแห่งสังคมพระศาสนจักรโดยแท้ บุคคลที่มีพระจิตของพระคริสตเจ้า  เขารับเอาหลักเกณฑ์ของพระศาสนจักรทุกประการ  และวิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาตัวรอดอันกำหนดอยู่ในพระศาสนจักร, และเขาร่วมกับพระคริสตเจ้าในโครงสร้าง (32) อันแลเห็นได้,  กล่าวคือเขามีความสัมพันธ์ในการประกาศแสดงออกซึ่งความเชื่อ, ในศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ ในการปกครองและสมาพันธ์.  ถึงกระนั้นเอาตัวไม่รอด  บุคคลที่แม้สังกัดเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร  หากเขาไม่คงดำรงอยู่ในความรัก, ถูกหละคนเช่นนี้อยู่ในแวดวง “ร่างกาย” ของพระศาสนจักร, แต่หาได้อยู่ใน  “จิตใจ”  ของท่านไม่.  ทุก ๆ คนจงจำใส่ใจไว้ว่าฐานะอันประเสริฐที่เราได้เป็นบุตรของพระศาสนจักรนั้น ไม่ใช่เราได้มาเพราะคุณงามความดีอะไรของเรา แต่ได้มาเพราะพระหรรษทานพิเศษของพระคริสตเจ้า  ซึ่งหากเราไม่สนองตอบด้วยความคิด,  ด้วยวาจา, และด้วยกิจการแล้วไซร้, อย่าว่าแต่เราจะเอาตัวรอดเลย  เรากลับจะถูกพิพากษาอย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น

ส่วนคริสตชนสำรอง ผู้ที่พระจิตเจ้าทรงดลใจ  และเขาแสดงออกอย่างแน่วแน่ปรารถนามาสังกัดในพระศาสนจักร การตั้งสัตย์อธิษฐานอันนี้ก็ทำให้เขาสังกัดอยู่ในพระศาสนจักรแล้ว และพระศาสนจักรผู้เป็นมารดาก็ทรงรับเขาไว้ในความรัก และความเอาใจใส่ดูแล.

สัมพันธภาพของพระศาสนจักร กับคริสตชนที่ไม่ใช่คาทอลิก
    15.  บุคคลที่ได้รับศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป, ประกอบอยู่ด้วยเกียรตินามว่าเป็นคริสตชน,  แต่เขาไม่ประกาศรับรองความเชื่อทั้งครบ หรือเขาไม่รับรู้เอกภาพแห่งสหพันธ์ภายใต้อำนาจผู้สืบตำแหน่งของท่านเปโตร, พระศาสนจักรก็ทราบดีว่าตัวท่านมีความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ คนเหล่านี้ส่วนมากเคารพพระคัมภีร์ และยึดถือเอาเป็นหลักของความเชื่อ และของการประพฤติดำรงชีวิต  เขาจริงใจแสดงความร้อนรนภักดีต่อพระศาสนา,  เขาเชื่อด้วยใจรักในพระเป็นเจ้า  พระบิดาทรงสรรพานุภาพ  และในพระคริสตเจ้าพระเทวบุตรผู้ทรงกอบกู้,  เขาได้รับประทับตราของศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป  จึงร่วมสนิทกับพระคริสตเจ้า, กว่านั้นอีกเขารับรู้และเข้าไปรับศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ ในศาสนจักรกลุ่มของเขา  หรือในหมู่ (34) ศาสนจักรของเขา,  ในพวกเขา, มีหลาย ๆ ท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นพระสังฆราช, เขาทำพิธีถวายสดุดีบูชา ทั้งยังส่งเสริมความภักดีต่อพระนางพรหมจาริณี, พระเทวมารดา, นอกนั้นเขายังมีสหพันธ์ของการอธิษฐานภาวนา และของพระคุณานุคุณด้านวิญญาณอย่างอื่น ๆ อีก. ยิ่งกว่านั้นเขามีสหพันธ์อย่างหนึ่งในพระจิตเจ้า, พระองค์ทรงแผลงฤทธิ์ทำงาน,  ประทานพระคุณต่าง ๆ แม้กระทั่งในตัวเขา,  พระองค์ทรงใช้ฤทธิ์เดชบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่าน  ทำให้บางคนในพวกเขามีใจกล้าหาญ ยอมพลีหลั่งโลหิตของตนเพื่อพระศาสนา.  นี่แหละพระจิตเจ้าทรงปลุกให้สานุศิษย์ทั้งหลายของพระคริสตเจ้า เกิดมีความปรารถนาและการออกแรงทำงาน เพื่อให้ทุก ๆ คนเข้ามารวมกัน ในทำนองที่พระคริสตเจ้าทรงกำหนดไว้, ให้รวมกันเป็นหนึ่งโดยสันติ เพื่อจะได้เป็นฝูงแกะเดียว และนายชุมพาบาลแต่ผู้เดียว. ไม่หยุดยั้งที่จำบำเพ็ญภาวนา, เฝ้าคอยความหวัง,  และออกแรงทำงานและตักเตือนลูก ๆ ของท่านให้ชำระตน,  ให้ปฏิรูปตนใหม่ เพื่อสัญลักษณ์ของพระคริสตเจ้าจะได้เปล่งรัศมีแจ่มจรัสขึ้นบนใบหน้าของพระศาสนจักร.

บรรดาผู้ที่มิใช่คริสตชน
    16.  ที่สุดก็ถึงบุคคลที่ยังมิได้รับพระวรสารแต่เขาก็มีความเกี่ยวข้องกันประชากรของพระเป็นเจ้าด้วยเหตุผลหลายประการ พวกแรกคือประชากรนั้น ที่ได้รับพันธไมตรีและพันธสัญญาต่าง ๆ และจากประชากรนี้เอง พระคริสตเจ้าทรงถือกำเนิดมาทางด้านเนื้อหนัง (เทียบ รม. 9,4-5) เป็นประชากรที่พระทรงเลือกสรร, ประชากรสุดที่รัก เพราะพวกบรรพบุรุษของพวกเขา : พระเป็นเจ้ามิได้ทรงเสียพระทัยที่ได้ประทานพระคุณานุคุณและพระกระแสเรียกแก่พวกเขา (เทียบ รม. 11, 28-29)  แต่จุดประสงค์มุ่งความรอด ยังผูกพันบุคคลเหล่านั้นที่รับรู้จักพระผู้สร้าง,  ท่ามกลางพวกนี้มีชาวมุสลิมเป็นต้น, เขาประกาศยืนยันว่าพวกเขายึดถือความเชื่อของอับราฮัม, เขานมัสการพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว ร่วมกันพวกเรา (คาทอลิก) เขานับถือพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว  ผู้ทรงเมตตากรุณา, และในวันสุดท้ายจะทรงพิพากษามวลมนุษย์.  สำหรับบุคคลอื่น ๆ ที่ในเงาในรูปภาพแสวงหาพระเป็นเจ้าที่เขาไม่รู้จัก, พระเป็นเจ้าเองก็ทรงไม่ห่างจากคนพวกนี้  เพราะว่าพระองค์ประทานให้ทุก ๆ คนมีชีวิต, มีความดลบันดาลใจและมีสารพัด (เทียบ กจ. 17,25-28) และพระผู้กอบกู้ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนเอาตัวรอด (เทียบ 1 ทม.2,4) คนเหล่านี้ไม่รู้ถึงพระวรสารของพระคริสตเจ้า, ไม่รู้ถึงพระศาสนจักรของพระองค์ โดยไม่มีความผิด, ถึงกระนั้นเขาก็แสวงหาพระเป็นเจ้าด้วยใจอันสุจริต  และน้ำพระทัยของพระองค์ที่เขาทราบโดยทางการบอกกล่าวของมโนธรรมและภายใต้อิทธิพลของพระหรรษทาน  เขาพยายามสนองตามนั้นด้วยกิจการของตน, เขาก็อาจบรรลุถึงความรอดตลอดนิรันดร์. ทั้งพระญาณสอดส่องของพระเป็นเจ้าก็ไม่เพิกเฉย ประทานความช่วยเหลืออันจำเป็นสำหรับความรอดแก่พวกคนที่โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขา,  ที่เขายังไม่ได้บรรลุถึงการรู้จักพระเป็นเจ้าอย่างกระจ่างแจ้ง  และเขาพยายามปฏิบัติโน้มชีวิตของเขาไปในทางที่ถูกต้อง แน่นอนโดยพระหรรษทานช่วยเหลือ. เพราะว่าทุก ๆ สิ่งที่ดี, ที่จริงอันนี้มีอยู่ในตัวพวกเขา, พระศาสนจักรถือว่าเป็นการเตรียมตัวเบื้องแรกแห่งพระวรสารแล้ว, และเป็นสิ่งที่พระองค์ท่าน, องค์ผู้ส่องสว่างมนุษย์ทุกคนประทานให้ หวังให้เขาได้รับชีวิตในที่สุด.  แต่ก็มีบ่อยเหมือนกันที่มนุษย์ถูกปีศาจล่อล่วง จึงหลงไหลไปในความนึกคิด, เขาเปลี่ยนความจริงของพระเป็นเจ้า เป็นคำปดมดเท็จ, เขารับใช้สัตว์โลกมากกว่าพระผู้สร้าง (เทียบ รม.1,21 และ 25) หรือขณะอยู่ในโลกนี้ เขามีชีวิตและตายไปโดยไม่มีพระเป็นเจ้า, คนพวกนี้ล่อแหลมต่อความหมดหวังเป็นอย่างยิ่ง. เพราะเหตุนี้เอง เพื่อส่งเสริมพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า และเพื่อช่วยให้คนเหล่านี้ทั้งหมดได้เอาตัวรอด, พระศาสนจักรจึงระลึกถึงพระบัญชาของพระสวามีเจ้าว่า “พวกท่านจงไปประกาศพระวรสารแก่สัตว์โลกทุกตัวตน”  (มก. 16,15) และท่านเอาใจใส่อนุเคราะห์แคว้นมิสซัง (35) ต่าง ๆ

เอกลักษณ์การเป็นธรรมทูตของพระศาสนจักร
    17.  พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาฉันใด  พระบุตรก็ทรงใช้บรรดาอัครสาวกไปฉันนั้น,  (เทียบ ยน. 20,21) พระองค์มีพระดำรัสว่า “ท่านทั้งหลาย  จงไปสั่งสอนนานาชาติ,  จงทำศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาปแก่เขาในนามของพระบิดา และพระบุตรและพระจิต  จงสั่งสอนเขาให้ปฏิบัติทุกสิ่ง ที่ข้าฯ บัญชาสั่งพวกท่านไว้.”  และ “นี่แหละข้าฯ อยู่กับพวกท่านเรื่อยไปจวบจนสิ้นพิภพ” (มธ. 28.18-20) พระคริสตบัญชาอันมีสง่า : สั่งให้ประกาศความจริงอันช่วยให้รอดนี้, พระศาสนจักรได้รับมาจากอัครสาวก ให้ปฏิบัติเรื่อยไปจนสุดแดนดิน  (เทียบ กจ. 1,8) ฉะนั้น ท่านจึงนำเอาวาทะของท่านอัครสาวกมาใช้กับท่านเอง  ที่ว่า : “กรรมของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าไม่ประกาศพระวรสาร” (1 คร. 9,16) เพราะฉะนั้นพระศาสนจักรจึงดำเนินงานส่งธรรมทูตต่าง ๆ มาไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งพระศาสนจักรต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นใหม่  บรรลุถึงผลสมบูรณ์ และทำภาระกิจประกาศพระวรสารสืบต่อไปเป็นทอด ๆ  พระจิตเจ้าทรงปลุกกระตุ้นให้เขาร่วมงานจนบรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งมาดของพระเป็นเจ้า ผู้ได้ทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าขึ้นเป็นแหล่งที่มาแห่งความรอดสำหรับทั่วโลกจักรวาล ในการประกาศพระวรสารพระศาสนจักรโน้มนำให้บรรดาผู้ฟังมีความเชื่อ  และประกาศแสดงความเชื่อนั้นอย่างเปิดเผย,  ท่านจัดเตรียมให้เขารับศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป, ให้เขาเจริญวัฒนาขึ้นโดยอาศัยความรักของพระองค์ไปจนถึงขั้นความสมบูรณ์,  พระศาสนจักรออกแรงทำงาน  เพื่อเมื่อพบเห็นสิ่งที่ดีงามในใจ, ในความนึกคิดของมนุษย์,  หรือที่พบเห็นกระจายอยู่ในจารีตพิธี  และวัฒนธรรมอันเป็นของเฉพาะตัวเองประชาชาติต่าง ๆ, ท่านไม่เพียงแต่ไม่ทำลายให้ดับสูญ,  แต่ท่านกลับเยียวยารักษา,  ตกแต่งเชิดชูขึ้น, และนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลให้เป็นเกียรติมงคลแด่พระเป็นเจ้า เป็นที่อัปยศอับอายแก่ปีศาจและเป็นความผาสุกแก่มวลมนุษย์.  ไม่ว่าใครที่เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า  เขาทุกคนมีหน้าที่โดยเฉพาะของตน  และมีภาระต้องเผยแพร่ความเชื่อ จริงอยู่ไม่ว่าใครก็ทำศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาปได้แก่ผู้มีความเชื่อ แต่ก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะก่อสร้างพระวรกายด้วยถวายสดุดีบูชา ทั้งนี้เพื่อให้สำเร็จเป็นไปตามพระวจนะของพระเป็นเจ้าที่พระองค์มีพระดำรัสทางท่านประภาษกว่า : “จากตะวันออกจนถึงตะวันตก พระนามของข้าฯ  ยิ่งใหญ่ต่อหน้านานาชาติและในทุก ๆ สถานที่ก็มีการถวายสักการะและบูชาแด่พระนามของข้าฯ ด้วยเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์” (มลค. 1,11),  ดังนี้แหละ  พระศาสนจักรทั้งอธิษฐานภาวนา ทั้งออกแรงทำงานพร้อม ๆ กันไป เพื่อให้ทั้งโลกบรรลุถึงความสมบูรณ์ มาเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า  เป็นพระวรกายของพระสวามีเจ้า  และเป็นโบสถ์ที่ประทับของพระจิตเจ้า  และเพื่อให้พระคริสตเจ้าองค์พระประมุขของทุกคน, ให้พระผู้สร้างและพระบิดาของโลกจักรวาลได้รับเกียรติยศและเกียรติมงคลทุก ๆ ประการ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown