มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

บทที่ 7 ลักษณะบั้นปลายของพระศาสนจักรที่กำลังหกหันไปข้างหน้า และการร่วมสหภาพของท่านกับพระศาสนจักรในสวรรค์

 

 

 

บทที่  7 ลักษณะบั้นปลายของพระศาสนจักรที่กำลังหกหันไปข้างหน้า  และการร่วมสหภาพของท่านกับพระศาสนจักรในสวรรค์
    
ลักษณะบั้นปลายแห่งกระแสเรียกของคริสตชน
    
48.  เราทั้งหลายได้รับเชิญให้เข้ามาอยู่ในพระศาสนจักรโดยองค์พระคริสตเยซู  และเมื่ออยู่ในพระศาสนจักรแล้ว อาศัยพระหรรษทาน  ชาวเราก็ประสบพบความศักดิ์สิทธิ์,  พระศาสนจักรนั้นจะบรรลุถึงความสำเร็จสมบูรณ์  ก็ต่อเมื่อได้รับเกียรติมงคลในสวรรค์,  ในคราวเมื่อจะถึงเวลาที่สรรพสิ่งจะฟื้นตัวขึ้นใหม่  (กจ. 3,21)  และพร้อมกับมนุษย์ชาติ โลกทั้งโลกที่เกี่ยวข้องผูกพันกับมนุษย์อย่างแนบแน่นนั้นโดยทางมนุษย์ ก็จะเข้าไปสู่จุดหมายของตน  และจะบรรลุถึงความครบครันสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้า (เทียบ อฟ. 1,10; คส. 1,20; ปต. 3,10-13).

พระคริสตเจ้า ผู้ได้รับการยกขึ้นเหนือแผ่นดิน,  ได้ทรงดึงดูดทุก ๆ คนเข้ามาหาพระองค์ (เทียบ ยบ. 12,32 กริก) เมื่อทรงคืนพระชนม์ชีพแล้ว (เทียบ รม. 6,9), ได้ทรงส่งพระจิตผู้บันดาลชีวิตมายังสานุศิษย์  และโดยพระจิตนี้ พระองค์ได้ทรงสถาปนาพระวรกายของพระองค์ขึ้น  นั่นคือพระศาสนจักร, ที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นดังศักดิ์สิทธิการ สำหรับบันดาลความรอดแก่ทุก ๆ คน, เมื่อประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา, พระองค์ก็ยังทรงปฏิบัติงานอยู่เสมอมิได้ขาด : เพื่อนำมวลมนุษย์ไปสู่พระศาสนจักร  และเพื่อโดยทางพระศาสนจักรนี้  พระองค์จะได้ทรงทำให้มนุษย์ใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น : โดยทางทรงเลี้ยงดูมนุษย์ด้วยพระกายและพระโลหิตของพระองค์ท่านเอง,  ทรงบันดาลให้เขามีส่วนร่วมในพระชนม์ชีพนิรันดรของพระองค์ สถานะใหม่กล่าวคือ  การกลับสู่สถานะเดิม ที่ได้ทรงสัญญาไว้นั้น  และที่ชาวเรากำลังรอคอย ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วในพระคริสตเจ้า,  การส่งพระจิตเจ้ามาก็เทิดชูขึ้นอีก และโดยอาศัยพระจิตเจ้า  ก็คงดำรงอยู่ในพระศาสนจักร.  ในพระศาสนจักรนี้อาศัยความเชื่อ  ชาวเราเรียนรู้ความหมาย  กระทั่งแม้เรื่องชีวิตในโลกปัจจุบัน,  และเมื่องานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เรากระทำในโลกนี้  เรารับปฏิบัติไปจนถึงที่สุด  ด้วยหวังว่าจะได้รับทรัพยากรในเบื้องหน้า,  เราก็ปฏิบัติตามความรอดของเรา  (เทียบ ฟล. 2,12).

ฉะนั้น บั้นปลายของโลกพิภพได้มาถึงชาวเราแล้ว (เทียบ 1 คร. 10,11)  และการฟื้นตัวขึ้นใหม่ของโลก ก็ถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่มีการคืนคำ และอันที่จริงการฟื้นตัวนั้นเป็นมาล่วงหน้าก็ว่าได้ : เหตุว่าในโลกนี้พระศาสนจักรประกอบอยู่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริง แม้ยังไม่ครบครันนัก. ถึงกระนั้น จนกว่าจะถึงยุคฟ้าใหม่  แผ่นดินใหม่ อันเป็นที่สถิตของความชอบธรรม  (เทียบ 2 ปต. 3,13), พระศาสนจักรผู้กำลังจาริกอยู่ อาศัยศักดิ์สิทธิการและสถาบันของท่านที่เกี่ยวข้องกับโลกนี้,  ท่านก็อยู่ในรูปแบบของโลกที่กำลังจะล่วงพ้นไป, และตัวท่านเองก็คงอยู่ในท่ามกลางสัตว์โลกทั้งหลาย ที่ร้องไห้คร่ำครวญทนทุกขเวทนา,  รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งการคลอดลูก เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้  และท่านรอคอยการประจักษ์มาแห่งพระบุตรของพระเจ้า  (เทียบ รม. 8,19-22).

ชาวเราสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าในพระศาสนจักรแล้ว,  และเราได้รับประทับตราของพระจิตเจ้า  “ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา”  (อฟ. 1,14), เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเป็นเจ้าโดยแท้  และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง  (เทียบ 1 ยน. 3,1),  แต่เรายังไม่ได้ปรากฏตัวร่วมกับพระคริสตเจ้าในพระเกียรติมงคล  (เทียบ คส. 3,4),  ซึ่งในนั้นเราจะเหมือนพระองค์,  เพราะเราจะแลเห็นพระองค์อย่างที่ทรงเป็น  (เทียบ ยน. 9,2).  เพราะฉะนั้น “ตราบใด  เรายังอยู่ในร่างกาย, ตราบนั้นเราก็ถูกเนรเทศจากพระสวามีเจ้า” (2 คส. 5,6), และแม้เราได้รับมัดจำของพระจิตเจ้าแล้ว  เราก็ยังคร่ำครวญกับตัวเรา (เทียบ รม. 8,23),  เราปรารถนาใฝ่ฝันจะได้อยู่กับพระคริสตเจ้า  (เทียบ ฟล. 1,23), ความรักอันนี้เองต้องกระตุ้นเร่งเร้าเราให้ดำรงชีพเพื่อพระองค์มากขึ้น  พระองค์ผู้ได้ทรงมรณะและเสด็จคืนพระชนม์ชีพ เพื่อเห็นแก่เรา  (เทียบ 2 คร. 5,15). ฉะนั้น ชาวเราจึงพยายามทำความพึงพอใจแด่พระสวามีเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง (เทียบ 2 คร. 5,9) และเราคาดกระชับอาวุธของพระเป็นเจ้า เพื่อสามารถยืนหยัดต้านกโลบายของปีศาจและต่อกรในวันร้าย  (เทียบ อฟ. 6,11-13), เพราะด้วยว่า เราไม่ทราบวันและเวลา,  อย่างที่พระสวามีเจ้าได้ทรงเตือนไว้, เราจึงต้องตื่นเฝ้าไม่หยุดหย่อนอยู่เรื่อยไป, เพื่อว่าเมื่อจบรอบ อันมีเพียงรอบเดียวแห่งชีวิตของเราบนโลกนี้แล้ว  (เทียบ ฮบ. 9,27), เราจะได้สมควรเข้าไปสู่งานวิวาห์มงคล  และมีบุญนับเข้าอยู่ในจำนวนผู้ได้รับพระพร  (เทียบ มธ. 25,31-46), และขออย่าให้เราเป็นเหมือนคนใช้เลวและเกียจคร้าน  (เทียบ มธ. 25,26) ที่ถูกบังคับให้ถอยไปสู่ไฟนิรันดร (เทียบ มธ. 25,31-46), ไปสู่ความมืดข้างนอก, ที่นั่น  “จะมีแต่การร้องห่มร้องไห้ และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มธ. 22,13 และ 25,30) เหตุว่า  ก่อนที่เราจะได้เสวยราชย์ร่วมกับพระคริสต์ผู้ทรงศรี เราทุกคนจะต้องไปปรากฏตัว “เฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้าเสียก่อน  เพื่อที่ทุก ๆ คนจะได้รับตอบสนองตามกรรมที่เขาได้กระทำขณะอยู่ในร่างกาย,”  “ตามแต่ได้ประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว (2 คร. 5,10).  ในบั้นปลายของโลก  “ผู้ที่ได้สร้างความดีจะเดินหน้าไปสู่การกลับคืนชีวิต  และพวกที่ได้สร้างความชั่วก็จะกลับคืนชีพ เพื่อถูกพิพากษาปรับโทษ”  (ยน. 5,29; เทียบ 25,4-6). ฉะนั้น  เพราะชาวเราตีราคาเห็นว่าความทุกขเวทนาในโลกนี้ มีค่าไม่คู่ควรกับพระเกียรติมงคลในภายหน้า ซึ่งจะปรากฏขึ้นในตัวเรา, (รม. 8,18; เทียบ 2 ทม. 3,11-12)  “เราจึงตั้งมั่นแข็งขันในความเชื่อ,  เรารอคอยความหวังอันเป็นความสุข และการมาถึงแห่งพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่,  และของพระเยซูคริสตเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดของชาวเรา”  (ทท. 2,13)  “พระองค์จะทรงดลบันดาลร่างกายอันอาภัพอัปภาคย์ของเรา  ให้ละม้ายคล้ายกับพระวรกายอันรุ่งโรจน์แจ่มจรัสของพระองค์ท่าน” (ฟล. 3,21),  และพระองค์จะเสด็จมา “เพื่อรับเกียรติมงคลในบรรดานักบุญของพระองค์ และจะทรงกลายเป็นที่ชื่นชมอภิรมย์ยินดียิ่งนัก สำหรับทุก ๆ คน ที่ได้มีความเชื่อ” (2 ธส. 1,10).

สหพันธ์ระหว่างพระศาสนจักรในสวรรค์ กับ  พระศาสนจักรบนแผ่นดิน
    
49.  พระสวามีเจ้าจะเสด็จมา ประกอบด้วยพระมหิทธิศักดิ์, อินทร์พรหมเทวดาทั้งหลายเป็นบริวารห้อมล้อมพระองค์  (เทียบ มธ. 25,31),  และเมื่อนั้นความตายจะทลายสูญสิ้น  และสรรพสิ่งต่าง ๆ จะอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ท่าน  (เทียบ 1 คร. 26-27)  แต่ก่อนจะถึงเวลาที่กล่าวนี้,  ศิษยานุศิษย์ของพระองค์, บ้างกำลังเดินทางระเหระหนอยู่ในแผ่นดิน,  บ้างก็ถึงแก่กรรมแล้ว, กำลังชำระล้างตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง,  บ้างกำลังเสวยพระเกียรติมงคล,  กำลังเพ่งมองดูพระผู้เป็นเจ้าอย่างกระจ่างชัดเจน แลเห็นสามพระบุคคล  และพระเป็นเจ้าเดียวอย่างที่ทรงเป็น, “ถูกแล้ว แม้เราคนละคนมีหลั่นชั้นและแบบทำนองต่างกัน แต่เราต่างคนต่างมีความรักอันเดียวกันต่อพระเป็นเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์,  เราขับร้องเพลงสดุดีบทเดียวกัน เพื่อถวายเกียรติมงคลแด่พระเป็นเจ้า,  เราทุกคนรวมกันเป็นของพระคริสตเจ้า,  ต่างก็มีพระจิตเจ้าของพระองค์ และต่างก็ผนึกแน่นติดกับพระองค์ (เทียบ อฟ. 4,16).  ฉะนั้น  ความสัมพันธ์ของพวกที่กำลังเดินทางกับบรรดาพี่น้องที่ได้สิ้นใจ  หลับอยู่ในสันติสุขของพระคริสตเจ้า,  ก็หาเป็นการแตกต่างจากกันไม่.  แต่ความเชื่อที่พระศาสนจักรยึดมั่นอยู่เสมอมา, ความสัมพันธ์อันนั้นกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีก ด้วยการมีส่วนร่วมกันทางทรัพยากรด้านวิญญาณนั่นเอง.  เพราะการที่ชาวสวรรค์สนิทชิดเชื้อกับพระคริสตเจ้ามากขึ้น  มีความศักดิ์สิทธิ์แน่นหนาขึ้น,  คารวกิจที่พระศาสนจักรประกอบถวายแด่พระเป็นเจ้าในโลกนี้  บรรดาชาวสวรรค์ก็ช่วยเพิ่มศักดิ์ศรีขึ้น  และพวกท่านก็สนับสนุนด้วยทำนองหลายสีหลายอย่างให้พระศาสนจักรเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น (เทียบ 1 คร. 12,12-27).  เหตุว่า เมื่อพวกท่านได้บรรลุถึงถิ่นฐาน  (เที่ยงแท้) แล้ว,  ท่านอยู่ใกล้ชิดกับองค์พระคริสตเจ้า  (2 คร. 5,8),  ท่านอยู่โดยพระองค์, ร่วมกับพระองค์และในพระองค์,  ท่านไม่หยุดหย่อนทำการเสนอวิงวอนพระเป็นเจ้า  เพื่อประโยชน์ของชาวเรา, ท่านนำขึ้นทูลถวายบุญกุศลที่ท่านได้ประกอบขึ้นบนแผ่นดิน, ได้ประกอบขึ้นโดยอาศัยองค์คนกลางแต่ผู้เดียว คือพระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง (เทียบ 1 ธส. 2,5), ท่านช่วยบริการรับใช้พระสวาเจ้าในทุก ๆ เรื่อง,  ท่านเสริมสร้างสิ่งที่ยังขาดอยู่ในพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า,  ทั้งนี้เพื่อพระวรกายของพระองค์  นี่คือ  เพื่อพระศาสนจักรนั่นเอง (เทียบ คส. 1,24).  ฉะนั้น  ความสลวนห่วงใยประสาพี่น้องของพวกท่าน  จึงช่วยทุเลาความอ่อนแอทุพพลภาพของชาวเราได้มากมายเป็นอเนกอนันต์.

ความเกี่ยวข้องติดต่อระหว่างศาสนจักรบนแผ่นดิน  กับพระศาสนจักรในสวรรค์
    
50.  อันความสัมพันธ์ของพระกายทิพย์ทั้งหมดของพระคริสตเจ้านั้น พระศาสนจักรของบรรดาผู้กำลังเดินทาง ได้สำนึกรู้แต่แรกเริ่มมาแล้ว, ฉะนั้น นับแต่เริ่มต้นพระคริสตศาสนา, ท่านได้ปลูกฝังธรรมเนียมการระลึกถึงผู้ตายด้วยความเลื่อมใสยิ่งนัก และเพราะว่า  “เป็นความคิดอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นบุญกุศล อันที่จะภาวนาอ้อนวอนอุทิศแก่ผู้ตาย เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากบาป” (2 มกบ. 12,46) ตลอดจนการทำบุญอุทิศแก่เขาด้วย. ส่วนพวกอัครสาวก  และบรรดามรณสักขี  (martyr)  ของพระคริสตเจ้า,  ผู้ได้หลั่งโลหิตเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อและความรักอย่างเอกอุนั้น, พระศาสนจักรได้เชื่อถือเรื่อยมาว่า พวกท่านสนิทชิดเชื้อกับพวกเราในพระคริสตเจ้า.  ฉะนั้น  พระศาสนจักรจึงแสดงความเคารพพวกท่าน  ด้วยความรักภักดีพิเศษ,  พร้อมกันนี้ พระศาสนจักรก็เคารพภักดีต่อพระนางพรหมจาริณีมารีอา ตลอดจนบรรดาเทวดาทั้งหลายด้วย,  ท่านยังขอพึ่งคำเสนอวิงวอนของบรรดาบุคคลดังกล่าว, ด้วยศรัทธาประสาทะให้ช่วยเหลือตัวท่าน.  ต่อมามิช้าท่านยังเสริมจำนวนพวกที่ท่านเคารพนับถือเพิ่มขึ้นอีก  คือบรรดาบุคคลผู้ได้เจริญตามรอยพระคริสตเจ้า  ถือพรหมจรรย์  และความยากจนและตกที่สุดบุคคลอื่น ๆ ทั้งหลาย ผู้ได้บำเพ็ญคุณธรรมประสาคริสตชนอย่างดีเลิศ และบรรดาผู้ได้รับพระพรานุพรพิเศษจากพระเป็นเจ้า,  เป็นทางให้ตัวเขาได้รับความเคารพนับถือ ทั้งเป็นทางให้บรรดาสัตบุรุษเจริญรอยตามแบบอย่างของเขาด้วย.

การมองดูชีวิตของบรรดาบุคคล ผู้ได้ดำเนินชีพติดตามพระคริสตเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ, นี่แหละเป็นเหตุผลใหม่ที่กระตุ้นให้ชาวเราแสวงหาบ้านเมืองในอนาคต (เทียบ ฮบ. 13,14 และ 11,10). และพร้อมกันนี้ เราก็รู้จักหนทางอันปลอดภัยอย่างยิ่ง ที่จะนำชาวเราผ่านกลางความผันผวนทั้งหลายของโลก  และผ่านสถานะเฉพาะของเราแต่ละคน, จนสามารถบรรลุถึงสหภาพอันครบถ้วนในพระคริสตเจ้า หรืออีกนัยความศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง. ในชีวิตของบรรดาบุคคลผู้มีธรรมชาติมนุษย์เหมือนกับเรา ๆ นี้  แต่เขาได้กลายเป็นรูปฉายาของพระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์กว่าตัวเรานั้น (เทียบ 2 คร. 3,18) ส่อให้เห็นว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงแสดงการสถิตย์ประทับ  และพระพักตร์ของพระองค์อย่างแจ่มแจ้งแก่มนุษย์ และด้วยตัวของเขานั้น พระเป็นเจ้าก็ทรงมีพระดำรัสแก่ชาวเรา  ทั้งทรงดึงดูดชาวเราด้วยกำลังแรงให้เข้ามาสู่พระราชัยของพระองค์ “นี่อย่างไร  กลุ่มผู้ยืนยันจำนวนมากมาย ห้อมล้อมตัวเราเหมือนกับเมฆหมอก”  (เทียบ ฮบ. 12,1)  นี่แหละ คือการประกาศยืนยันความจริงแห่งพระวรสาร.

อย่างไรก็ดี  ชาวเราฉลองระลึกถึงชาวสวรรค์ ไม่ใช่เพราะท่านบำเพ็ญตนเป็นแบบอย่างดีแก่ชาวเราอย่างเดียว แต่เฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเพราะท่านบันดาลให้ความสัมพันธ์กลมเกลียวของพระศาสนจักรทั้งหมดแข็งแกร่งแน่นแฟ้นขึ้นในพระจิตเจ้าด้วยการบำเพ็ญความรักใคร่ประสาพี่น้องนั่นเอง  (เทียบ อฟ. 4,1-6).  ความสัมพันธ์ประสาคริสตังระหว่างบรรดาผู้กำลังเดินทางอยู่ด้วยกันในโลกนี้ นำชาวเราไปสู่พระคริสตเจ้าให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นแล้วฉันใด,  การร่วมโชคชาตากับบรรดานักบุญ  ก็ผูกโยงเราไว้กับพระคริสตเจ้า,  องค์ต้นธารและศีรษะ, แหล่งที่มาแห่งพระหรรษทานทั้งสิ้น และชีวิตทั้งหมดแห่งประชากรของพระเป็นเจ้าที่ไหลพรูออกมา ฉันนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง  ที่ชาวเราจะรักใคร่บรรดาผู้เป็นสหายของพระคริสตเจ้า ทั้งเป็นทายาทร่วมกับพระองค์ท่าน, เป็นพี่เป็นน้องของชาวเรา ทั้งเป็นผู้มีพระคุณต่อชาวเราเป็นอย่างยิ่ง, ฉะนั้นชาวเราจึงต้องขอบพระคุณพระเป็นเจ้า  ตามที่ถูกที่ควรแทนพวกท่านด้วย,  ทั้งต้องวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน, และเพราะพระคุณต่าง ๆ ที่พวกท่านได้เสนอช่วยให้เราได้รับจากพระเป็นเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า,  พระสวามีของชาวเรา,  พระผู้ไถ่และผู้กอบกู้แต่องค์เดียว,  นี่แหละชาวเราต้องพึ่งคำภาวนา และความอุปถัมภ์ช่วยเหลือจากพวกท่าน.  การยืนยันแสดงออกซึ่งความรักของเราต่อชาวสวรรค์ ที่เป็นไปโดยถูกต้องทุก ๆ ครั้งนั้นเป็นธรรมดาอยู่เอง ต้องมุ่งไปสู่และไปจบที่พระคริสตเจ้า  “ผู้ทรงเป็นมงกุฎรางวัลแห่งนักบุญทั้งหลาย  และผ่านทางพระคริสตเจ้าก็ไปจบลงที่พระเป็นเจ้า, พระองค์ทรงเป็นที่น่าพิศวงของบรรดานักบุญ  ทั้งทรงได้รับพระเกียรติมงคลในพวกนักบุญนั้นด้วย.”

วิธีการอันสูงส่ง ที่ชาวเราแสดงให้เห็นเอกภาพ (ความเป็นหนึ่งเดียว) ของชาวเรากับชาวสวรรค์นั้น  อยู่ที่การประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่นี้เอง  ฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้าทำงานในตัวเรา  โดยอาศัยเครื่องหมายของสิ่งศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ (sacramentalia), ในพิธีกรรมนั้น ชาวเราต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงสดุดีถวายพระพรแด่พระมหิทธิศักดิ์ของพระเป็นเจ้า,  เราทุกคนไม่เว้นใครเลย,  แม้มาจากตระกูล, ภาษา,  ประเทศ  และเชื้อชาติต่างกัน,  เราทุกคนต่างได้รับการไถ่ด้วยพระคริสตโลหิตทั้งนั้น  (เทียบ วว. 5,9).  เราทุกคนร่วมชุมนุมเป็นศาสนจักร, หรือสโมสรอันเดียวกัน,  เราร้องเพลงบทเดียวกัน ซร้องสาธุการพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียว  ซึ่งมีสามบุคคล. การถวายสดุดีบูชาเป็นวิธีการชั้นยอดเยี่ยม แสดงให้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของชาวเรา กับพระศาสนจักรในสวรรค์,  ที่พิธีบูชานั้น เราร่วมกันเฉลิมฉลองระลึกถึงพระแม่มารี  ผู้ทรงศรี,  องค์พรหมจาริณีตลอดกาลเป็นต้น   ต่อนั้นเราก็ฉลองท่านผู้ทรงบุญองค์อื่น  ๆ  เช่น   นักบุญยอแซฟ,  บรรดาอัครสาวก,  บรรดามรณสักขี,  และบรรดานักบุญทั้งหลาย.

คำแนะนำแนวทางสำหรับศาสนบริกร  (ชุมพาบาล)
    
51.  ความเชื่อถืออันน่าเคารพของบรรดาบรรพบุรุษของเราเรื่องการร่วมโชคชะตาทางชีวิต  กับบรรดาญาติพี่น้องผู้บรรลุถึงเกียรติมงคลในสวรรค์แล้วก็ดี,  ผู้ที่หลังการจบอายุขัยแล้วและกำลังชำระล้างตนอยู่ก็ดี  สภาพระสังคายนานี้ ขอต้อนรับด้วยศรัทธาภักดี  ทั้งกำชับให้กลับนำเอาคำสั่งแห่งพระสังคายนาสากล  ที่นครนีเซีย  ครั้งที่ 2, ที่นครฟลอเรนส์  และที่นครเตรนต์มาใช้ต่อไป.  พร้อมกันนี้ เพราะสลวนด้านศาสนบริการ  สภาพระสังคายนานี้ ขอตักเตือนบรรดาผู้รับผิดชอบทุก ๅ คน, ในกรณีที่มีการออกนอกลู่นอกทาง, เกินไปบ้าง,  ขาดตกไปบ้าง,  ในที่นี้ที่นั้นก็ขอให้กำจัดออกไปเสีย  หรือแก้ไขให้ทุก ๆ สิ่งดำเนินไปเพื่อเกียรติมงคลของพระคริสตเจ้าและพระเป็นเจ้าจะได้บริบูรณ์ถูกต้อง.  ขอให้สอนสัตบุรุษว่า คารวกิจอันแท้จริงต่อบรรดานักบุญ  มิใช่อยู่ที่การทำงานภายนอกมากมายหลายต่อหลายอย่าง  แต่เฉพาะอย่างยิ่ง อยู่ที่การปฏิบัติความรักอย่างร้อนรนและอย่างสัมฤทธิ์ผล, พยายามแสวงหาคุณประโยชน์สำหรับตนเองและสำหรับพระศาสนจักร,  “เรามีวิสาสะสนิทสนมกับบรรดานักบุญเพื่อทำตามแบบอย่างของท่าน, เราร่วมใจกับท่านเพื่อมีส่วนในโชคชะตาของท่าน,  เราพึ่งคำเสนอวิงวอนของท่านเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน”  อีกประเด็นหนึ่ง ขอให้สอนสัตบุรุษว่า. ความสนิทสนมของเรากับชาวสวรรค์, ในเมื่อเข้าใจตามแสงสว่างของความเชื่ออันครบถ้วน,  ย่อมไม่ลดหย่อนคารวกิจต่อพระเป็นเจ้า,  แต่กลับเป็นบรรณาการถวายแด่พระเป็นเจ้าพระบิดา  โดยทางพระคริสตเจ้าในพระจิตเจ้านั้นเอง ฉะนั้นจึงบันดาลให้พระเป็นเจ้าทรงมั่งคั่งยิ่งขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ.

เหตุว่า  เราทุกคนเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า, เรารวมตัวกันเป็นครอบครัวเดียวในพระคริสตเจ้า  (เทียบ ฮบ. 3,6),  ในขณะที่เราติดต่อกันและกันด้วยความรัก, เราร่วมใจกันสรรเสริญสดุดีพระตรีเอกภาพพร้อม ๆ กัน,  เราก็สนองพระกระแสเรียกแห่งพระศาสนจักรโดยใกล้ชิด, และเราร่วมมีส่วนในพิธีกรรมที่ประกอบขึ้น, ด้วยเกียรติมงคลอันบริบูรณ์เป็นดังการชิมลางก่อนแล้ว, สำหรับคราวเมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จประจักษ์มา,  คราวเมื่อการกลับคืนชีพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาผู้ตายจะอุบัติขึ้น,  เมื่อนั้น ความกระจ่างเจิดจ้าของพระเป็นเจ้าจะฉายแสงในนครสวรรค์  และชุมพาน้อยนั่นแหละ  คือดวงประทีป  (เทียบ วว. 21,24),  เมื่อนั้นพระศาสนจักรทั้งครบที่ประกอบอยู่ด้วยบรรดานักบุญ ผู้บรรลุถึงความสุขขั้นสุดยอดแห่งความรักแล้ว  จะพากันกราบนมัสการพระเป็นเจ้า,  และ “พระชุมพาน้อยที่ได้ถูกประหาร”  (วว. 5,12),  ทุกผู้ทุกคนจะโห่ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า : “องค์ผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์  และพระชุมพาน้อยจะได้รับการถวายพระพร, พระเกียรติยศ,  พระเกียรติมงคล  และพระเดชานุภาพเป็นนิตย์นิรันดรเทอญ” (วว. 5,13-14).

 

 

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown