มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2019 ระลึกถึง น.มาร์ติน แห่งตูร์ พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                   ปชญ 1:1-7
     จงรักความชอบธรรมเถิด ท่านทั้งหลายผู้ปกครองแผ่นดิน จงคิดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นธรรม จงแสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง เพราะผู้ที่ไม่ลองดีกับพระองค์ ก็พบพระองค์ได้ พระองค์ทรงสำแดงองค์แก่บรรดาผู้วางใจในพระองค์ ความคิดคดแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า ถ้าผู้ใดลองดีกับพระอานุภาพ พระองค์จะทรงพิสูจน์ว่าเขาโง่เขลา ปรีชาญาณไม่ซึมเข้าไปในจิตใจที่มุ่งทำความชั่วร้าย และไม่อยู่ในร่างกายที่เป็นทาสของบาป พระจิตเจ้าทรงอบรมสั่งสอนมนุษย์ ทรงหลีกหนีความหลอกลวง ทรงอยู่ห่างจากผู้ที่คิดโง่เขลา จะเสด็จจากไป เมื่อความอธรรมเข้ามา ปรีชาญาณเป็นจิตที่เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่ไม่ปล่อยให้ผู้ที่กล่าวดูหมิ่นตนพ้นโทษไปได้ เพราะพระเจ้าทรงทราบความรู้สึกในใจของเขา ทรงสำรวจความคิดตามความจริง ทรงฟังคำพูดของเขา พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ทั่วพิภพ ทรงยึดสรรพสิ่งไว้ด้วยกัน มนุษย์พูดสิ่งใด พระองค์ก็ทรงทราบ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 17:1-6
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เหตุที่ชักนำให้ทำบาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้น ถ้าจะเอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชักนำคนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงคนเดียวให้ทำบาป ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด”
      “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา ถ้าเขาทำผิดต่อท่านวันละเจ็ดครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า ‘ฉันเสียใจ’ ท่านจงให้อภัยเขาเถิด”
      บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน”

 

ข้อคิด

      หากได้ทำธุรกิจหรือการค้า คงเป็นสิ่งที่ดีและน่าดีใจแน่ๆถ้าหากผลกำไรหรือรายได้ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นสิ่งแน่นอนทีเดียว ที่จะมีใครก็ตาม อยากจะให้ธุรกิจนั้นเป็นการเสียผลประโยชน์หรือเป็นการขาดทุน
ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่า หรือเป็นเงินทอง แต่ว่าเราสามารถได้รับเกียรติและร่วมเป็นสุขอยู่กับพระองค์ในชีวิตนิรันดรได้ ถ้าหากเรายิ่งปฏิบัติตัวอย่างดีในชีวิตประจำวันของเรา โดยไม่ชักนำผู้อื่นในการปฏิบัติตัวที่ไม่ดี ขณะเดียวกัน เมื่อผู้อื่นได้มาปฏิบัติความผิดพลาดต่อเรา เราก็มีการให้อภัยเขา ซึ่งจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตัวในฐานะที่เป็นคริสตชนอย่างดีด้วย

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2019 ระลึกถึง น.โยซาฟัต พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                    ปชญ 2:23-3:9
      โดยแท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นอมตะ พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์แห่งพระธรรมชาติของพระองค์ แต่เพราะความอิจฉาของปีศาจ ความตายจึงเข้ามาในโลก ผู้ที่อยู่ฝ่ายปีศาจก็จะประสบความตาย
วิญญาณผู้ชอบธรรมอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ความทุกข์ทรมานใดๆ จะทำร้ายเขาไม่ได้ ในสายตาของคนโฉดเขลา ความตายของผู้ชอบธรรมดูเหมือนเป็นการสิ้นสุด การจากโลกนี้ไปถูกคิดว่าเป็นหายนะ การที่เขาพรากจากเราไปดูเหมือนเป็นการสูญสิ้น แต่แท้จริงแล้ว เขาอยู่ในสันติสุข แม้ในสายตาของมนุษย์ เขาดูเหมือนว่าถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เขาก็มีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้ชีวิตอมตะ เขาต้องทนทุกข์เพียงเล็กน้อย แต่จะได้รับบำเหน็จใหญ่หลวง เพราะพระเจ้าทรงทดลองเขา และทรงพบว่าเขาเหมาะสมกับพระองค์ พระองค์ทรงทดลองเขาเหมือนทรงหลอมทองในเบ้า พอพระทัยรับเขาเป็นเสมือนเครื่องเผาบูชา ในวาระที่พระองค์เสด็จมาเขาจะส่องแสงรุ่งโรจน์ เขาจะเป็นเหมือนประกายไฟที่ไหม้ไปทั่วกองฟาง เขาจะตัดสินนานาชาติ และมีอำนาจปกครองประชาชาติ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงครองราชย์เหนือเขาตลอดไป บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์จะเข้าใจความจริง บรรดาผู้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ในความรัก เพราะพระเจ้าทรงความรักมั่นคงและทรงพระเมตตาต่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และเสด็จมาช่วยเหลือผู้ที่ทรงเลือกสรร

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 17:7-10
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านผู้ใดที่มีผู้รับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อผู้รับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับผู้รับใช้หรือว่า ‘เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด’ แต่จะพูดมิใช่หรือว่า ‘จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม’ นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น’”

 

ข้อคิด

      ในปัจจุบันทุกอย่างในชีวิตและการทำงานของเรา ถ้าหากว่าเราได้กระทำสิ่งใดก็ตามให้กับผู้อื่น เป็นเรื่องปกติที่มักมีการคาดหวังว่า เราจะได้รับบางสิ่งบางอย่างเป็นการตอบแทนหรือเป็นค่าจ้าง หากเรามองไปถึงคำศัพท์ภาษากรีกของคำว่า “ผู้รับใช้” ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ นั่นหมายถึง เขาเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของนาย แม้แต่ทุกลมหายใจเขาก็จะเป็นของนายเท่านั้น หน้าที่และสิ่งต่างๆที่พึงปฏิบัติก็เพื่อนายโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน
      ผ่านทางชีวิตและศีลล้างบาป เราเป็นของพระเจ้าและพระองค์ทรงเป็นนายของเราโดยสิ้นเชิง ขอให้ทบทวนและปฏิบัติอย่างดีว่า มีไหมที่ฉันทำสิ่งต่างๆสำหรับพระองค์ โดยไม่หวังที่จะมีสิ่งใดตอบแทน หรือปฏิบัติด้วยความถ่อมตัวและบริสุทธิ์ใจจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2019 สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                     ปชญ 7:22-8:1
      ปรีชาญาณเป็นจิตรอบรู้ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งไม่เหมือนใคร หลากหลาย บางเบา ว่องไว แทรกซึมทุกอย่าง ไร้ราคี สดใส ไม่เป็นพิษเป็นภัย รักความดี แหลมคม ขัดขืนมิได้ เอื้ออารี รักมนุษย์ ยืนยง มั่นคง ไร้กังวล ทำสิ่งใดก็ได้ แลเห็นทุกสิ่ง และแทรกซึมเข้าในจิตทั้งหลายที่รอบรู้ บริสุทธิ์ และบางเบา ปรีชาญาณเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวใดๆ ผ่านทะลุและแทรกซึมเข้าในทุกสิ่ง เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์ ปรีชาญาณเป็นสิ่งที่ไหลล้นจากพระอานุภาพของพระเจ้า เป็นรังสีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์บริสุทธิ์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทินเข้าไปในปรีชาญาณ ปรีชาญาณเป็นแสงสะท้อนความสว่างนิรันดร เป็นกระจกเงาไร้ราคีส่องการกระทำของพระเจ้า เป็นภาพลักษณ์แห่งความดีล้ำเลิศของพระองค์ ปรีชาญาณทำได้ทุกอย่างด้วยตนเอง ปรีชาญาณไม่เปลี่ยนแปลง แต่ฟื้นฟูทุกสิ่งได้ ปรีชาญาณเข้าไปในจิตวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดมาทุกสมัย บันดาลให้เป็นมิตรของพระเจ้า และให้เป็นประกาศก เพราะพระเจ้าทรงรักเฉพาะผู้ดำเนินชีวิตด้วยปรีชาญาณ ปรีชาญาณงดงามกว่าดวงอาทิตย์ สุกใสกว่ากลุ่มดาวใดๆ เมื่อเทียบกับแสงสว่าง ปรีชาญาณก็ยังได้เปรียบ เพราะแสงสว่างยังต้องยอมให้กลางคืนเข้ามาแทนที่ แต่ความชั่วร้ายจะชนะปรีชาญาณไม่ได้เลย ปรีชาญาณแผ่พลังไปทั่วทุกมุมโลก ปกครองทุกสิ่งอย่างดีเลิศ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 17:20-25
      เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ จะไม่มีใครพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว”
      พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์แม้เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น’ หรือ ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่’ ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้าหนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จำเป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์”

 

ข้อคิด

      ชาวฟาริสีทูลถามพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับวันเวลาที่พระอาณาจักรจะมาถึง พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า พระอาณาจักรอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว หากว่าเราได้สวดบทข้าแต่พระบิดา จะพบว่าในชีวิตของเราคริสตชน ก็ได้สวดภาวนาวอนขอให้พระอาณาจักรของพระองค์ได้มาถึงเราด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราได้ภาวนาและยอมให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
     พระเจ้าทรงสถิตและครองราชย์อยู่ในหัวใจของบุคคลที่มีพระหรรษทาน ซึ่งเป็นพระพรที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์เปล่าๆด้วยน้ำพระทัยดีของพระองค์ ทำให้มนุษย์มีความสุข เราจึงเข้าใจได้ว่า ในท่ามกลางชีวิตของเรา พระองค์ทรงอยู่กับเราแล้ว

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2019 สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                    ปชญ 6:1-11
      กษัตริย์ทั้งหลาย จงฟังให้เข้าใจเถิด บรรดาผู้ปกครองทั่วแผ่นดิน จงเรียนรู้เถิด ท่านทั้งหลายผู้ทรงอำนาจเหนือประชาชนมากหลาย และภูมิใจที่ปกครองชนชาติจำนวนมาก จงเงี่ยหูฟังเถิด อำนาจปกครองของท่านมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า อานุภาพของท่านมาจากพระเจ้าสูงสุด พระองค์จะทรงทดสอบการกระทำของท่าน และจะทรงพิจารณาเจตจำนงของท่าน แม้ท่านเป็นผู้บริหารพระอาณาจักรของพระองค์ แต่ถ้าท่านมิได้ปกครองอย่างถูกต้อง มิได้ปฏิบัติตามกฎหมาย และมิได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็จะเสด็จมาเผชิญหน้าท่านอย่างน่ากลัวโดยรวดเร็ว เพราะผู้ทรงอำนาจเหนือผู้อื่นจะถูกพระองค์ทรงพิพากษาอย่างเคร่งครัด ผู้ต่ำต้อยสมควรได้รับพระเมตตา แต่ผู้ทรงอำนาจจะถูกพิจารณาคดีอย่างเคร่งครัด พระองค์ผู้ทรงอำนาจปกครองมวลมนุษย์จะไม่ทรงยำเกรงผู้ใด จะไม่ทรงคำนึงถึงความยิ่งใหญ่ใดๆ เพราะพระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย และทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ทรงสอบสวนตรวจตราผู้ทรงอำนาจอย่างเคร่งครัด ผู้ทรงอำนาจทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่าน เพื่อท่านจะได้เรียนรู้ปรีชาญาณและไม่หลงผิด ผู้ปฏิบัติตามบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างเลื่อมใสศรัทธาก็จะได้รับความศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่เรียนรู้ธรรมบัญญัติจะได้รับการปกป้องจากข้อกล่าวหา ดังนั้น ท่านจงกระตือรือร้นและตั้งใจฟังคำของข้าพเจ้า จงแสวงหา แล้วท่านจะได้รับความรู้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 17:11-19
      ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด” พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด” ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใด ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

 

ข้อคิด

     ในสมัยพระเยซูเจ้า คนโรคเรื้อนถูกห้ามเข้าทุกเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบซึ่งรวมถึงกรุงเยรูซาเล็มด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องดักพบพระองค์ เมื่อได้พบ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย และมีผู้ที่มาถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วย
      ชีวิตของเราก็เช่นกัน มีคนต่างๆมากมาย เราควรที่จะให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรี คุณค่าความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย ไม่ใช่คอยรังเกียจเดียดฉันท์และกีดกันผู้อื่นออกจากตัวเรา สังคมของเรา ขณะเดียวกัน เราก็มีความสำนึกในความเมตตากรุณาของพระองค์ในชีวิตประจำวันของตัวเอง จนไม่ลืมที่จะขอบพระคุณและถวายพระเกียรติแด่พระองค์จากใจของเรา

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2019 น.อัลเบิร์ต ผู้ยิ่งใหญ่ พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                    ปชญ 13:1-9
     ทุกคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าย่อมเป็นคนโง่เขลาโดยธรรมชาติ จากสิ่งดีที่เห็นได้ เขาไม่อาจค้นพบพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ แม้จะพิจารณาผลงานของพระองค์ เขาก็ยังไม่รู้จักพระผู้ทรงสร้าง เขาคิดว่าไฟ ลม อากาศบางเบา กลุ่มดวงดาวต่างๆ คลื่นรุนแรง ดวงประทีปในท้องฟ้า เป็นเทพเจ้าผู้ปกครองโลก ถ้าเขาพิศวงในความงดงามของสิ่งเหล่านี้จนคิดว่าเป็นเทพเจ้า เขาก็น่าจะรู้ว่าพระผู้ทรงเป็นเจ้านายของสิ่งเหล่านี้ทรงสูงส่งกว่าสักเพียงใด เพราะพระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ทรงเป็นบ่อเกิดของความงดงาม ถ้าเขาพิศวงในอำนาจและพลังของสิ่งเหล่านี้ เขาน่าจะรู้ว่าพระผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ทรงพระอานุภาพมากกว่าสักเพียงใด เพราะจากความยิ่งใหญ่และความงดงามของสิ่งสร้างที่คล้ายกับพระผู้สร้าง มนุษย์เราก็น่าจะรู้จักพระองค์ได้ คนเหล่านี้ควรได้รับคำตำหนิบ้าง เพราะแม้เขาพยายามแสวงหาพระเจ้าและต้องการพบพระองค์ แต่เขาอาจหลงทางไปเท่านั้น เขาหมกมุ่นค้นคว้าผลงานของพระองค์ แต่กลับสะดุดอยู่กับความงดงามที่ปรากฏ เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นงดงามน่าชม ถึงกระนั้น คนเหล่านี้ก็ไม่พ้นความผิดทั้งหมด ถ้าเขารู้จักค้นคว้าหาความรู้เรื่องจักรวาลได้ เหตุไฉนก่อนหน้านั้นเขาจึงค้นพบองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 17:26-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย
      ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”

 

ข้อคิด

      ชีวิตเรามีเหตุการณ์ต่างๆที่อาจเกิดความล้มเหลวหรือความผิดพลาดในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นได้เหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นกับโนอาห์ ครั้งที่มีเหตุการณ์น้ำมหาวินาศและโลทซึ่งมีไฟกำมะถันตกมาจากฟากฟ้า เรื่องเหล่านี้เป็นดังภาพสะท้อนทำให้เราเห็นถึงผู้คนที่สนใจแต่เรื่องฝ่ายโลก มีการใช้ชีวิตไม่ระมัดระวังและไม่สนใจต่อเสียงเตือนใดๆ จนท้ายที่สุดก็ได้พบกับความหายนะ
     เราเองควรที่จะฟังเสียงเตือนทั้งจากภายนอกและภายในใจของตัวเองเสมอ เพื่อจะได้รักษาชีวิตวิญญาณของเราให้ปลอดภัย มั่นใจในความดีแห่งชีวิตประจำวันของเรา เชื่อมั่นในพระผู้สร้าง องค์บ่อเกิดแห่งความดีงาม

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown