มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                               ยรม 17:5-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งของถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย”
     “คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”
     “จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า สำรวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของเขา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 16:19-31
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งแต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
     เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”

 

ข้อคิด

     ความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ใช่สิ่งผิดหากเป็นผลจากความมุ่งมั่นพยายามที่สุจริต ผู้ที่เป็นเจ้าของก็มีสิทธิ์ในการใช้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง แต่เมื่อใดที่ความมั่งคั่งร่ำรวยทำให้มองไม่เห็นคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสและขัดสน ความมั่งคั่งร่ำรวยก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัวและผิดความยุติธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของประทานจากพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ใช้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่สมกับศักดิ์ศรีมนุษย์ ในกรณีของเศรษฐีคนนี้ ความมั่งคั่งร่ำรวยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเขาและเพื่อนพี่น้อง เป็นช่องว่างที่เป็นเหวลึกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง พอตกที่นั่งลำบาก ไม่มีใครสามารถข้ามไปช่วยได้เลย

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                         ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28
     ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย
     พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “พี่ๆ ของลูกกำลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน
     พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย เขาปรึกษากันว่า “ดูซิ เจ้าคนช่างฝันมาแล้ว มาเถิด เราจงฆ่ามัน โยนศพมันลงไปในบ่อ แล้วบอกว่า สัตว์ป่ากัดกินมันแล้ว เราจะได้เห็นกันว่า ฝันของมันจะเป็นจริงเพียงใด”
รูเบนได้ยินเข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือน้องๆ ของตน จึงพูดว่า “อย่าถึงกับเอาชีวิตกันเลย” รูเบนยังเสริมอีกว่า “อย่าหลั่งเลือดเลย เพียงแต่โยนมันทิ้งไว้ในบ่อ ในถิ่นทุรกันดารก็พอแล้ว อย่าทำร้ายมันเลย” รูเบนแนะนำเช่นนี้เพื่อช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือของพี่ชาย แล้วจะนำไปส่งคืนให้บิดา เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวมอยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีน้ำ แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร
     ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางมาจากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ยูดาห์จึงแนะนำพี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดี กว่า เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย
     เวลานั้น พ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พี่ๆ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายให้แก่ชาวอิชมาเอลเป็นราคาเงินหนักยี่สิบบาท พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 21:33-43,45-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’
     เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า
     ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’
ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก

 

ข้อคิด

     ชีวิตมนุษย์เป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นข่าวดี พระเจ้าทรงจัดให้พร้อมหมดและทรงมอบให้แต่ละคนบริหาร ดูแล พัฒนา เติมเต็ม เพื่อให้ชีวิตของแต่ละคนกลับเป็นของขวัญสำหรับกันและกัน ดุจดังสวนองุ่นที่ให้ผลให้เหล้าองุ่นตามความประสงค์ของเจ้าของสวน แต่พอมนุษย์ถือว่าตนเป็นเจ้าของชีวิต จะทำอย่างไรกับชีวิตก็ได้ ไม่คำนึงถึงหลักศีลธรรมที่พระเจ้าทรงฝังไว้ในธรรมชาติมนุษย์ ไม่สนใจพระธรรมคำสอน เท่านั้นยังไม่พอ ยังเหมาเอาว่าตนเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่นด้วย จะทำอะไรกับชีวิตคนอื่นตามใจชอบ ตามผลประโยชน์ที่อยากได้ ทำร้ายชีวิตตนยังไม่พอ ยังทำร้ายชีวิตคนอื่นซึ่งเป็นบุตรเจ้าของสวนด้วย

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                               อพย 3:1-8ก,13-15
     โมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธร ผู้เป็นพ่อตาและสมณะแห่งมีเดียน วันหนึ่งเขาต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดารไปถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ โมเสสมองดูก็เห็นว่าพุ่มไม้นั้นลุกเป็นไฟ แต่ไม่มอดไหม้ จึงคิดว่า “ฉันจะเข้าไปดูเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ใกล้ๆ ทำไมพุ่มไม้นั้นไม่มอดไหม้” องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเข้ามาดูใกล้ๆ จึงตรัสเรียกเขาจากกลางพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถานที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสยกมือขึ้นปิดหน้า ไม่กล้ามองดูพระเจ้า
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา เราลงมาช่วยเขาให้พ้นมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ ไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์”
     โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอลแล้วบอกเขาว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่าน ถ้าเขาถามข้าพเจ้าว่า ‘พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร’ ข้าพเจ้าจะตอบเขาอย่างไร” พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราคือเราเป็น” แล้วตรัสต่อไปว่า “ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า ‘เราเป็น’ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย นามนี้จะเป็นนามของเราตลอดไป ชนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องเรียกเราด้วยนามนี้”

 

เพลงสดุดี                                                                  สดด 103:1-2,3-4,6-7,8 และ 11
     ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ส่วนลึกของข้าพเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงอย่าลืมพระคุณต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้
     ข) พระองค์ประทานอภัยความผิดทั้งหลายของท่าน
ทรงรักษาโรคภัยทั้งหมดของท่าน
ทรงช่วยชีวิตท่านให้พ้นจากเหวลึก
ประทานความรักมั่นคงและพระเมตตาเป็นดังมงกุฎแก่ท่าน
     ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิบัติด้วยความเที่ยงธรรม
ประทานความยุติธรรมต่อทุกคนที่ถูกข่มเหง
ทรงสำแดงให้โมเสสรู้ทางของพระองค์
ทรงสำแดงให้บรรดาบุตรของอิสราเอลเห็นพระราชกิจของพระองค์
     ง) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระกรุณาและทรงเมตตาสงสาร
กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม
ท้องฟ้าสูงกว่าแผ่นดินเพียงใด
ความรักมั่นคงของพระองค์ต่อผู้ยำเกรงพระองค์ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง      1 คร 10:1-6,10-12
     พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่าบรรพบุรุษทุกคนของเราได้อยู่ใต้เมฆ และทุกคนข้ามทะเลไป ทุกคนรับการล้างในเมฆและในทะเลเข้าร่วมกับโมเสส ทุกคนกินอาหารฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน ทุกคนดื่มเครื่องดื่มฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน เพราะพวกเขาดื่มน้ำจากศิลาฝ่ายจิตซึ่งติดตามพวกเขาไป ศิลานั้นคือพระคริสตเจ้า แม้กระนั้น พระเจ้าก็มิได้พอพระทัยคนส่วนใหญ่เหล่านั้น พวกเขาล้มตายเกลื่อนกลาดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นตัวอย่าง สำหรับเรา มิให้เราปรารถนาสิ่งชั่วร้ายดังที่เขา
     ท่านทั้งหลายจงอย่าบ่นเหมือนที่เขาบางคนบ่นแล้วพินาศไปโดยน้ำมือขององค์ผู้ทำลาย เหตุการณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และมีบันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราซึ่งกำลังเผชิญกับวาระสุดท้ายของยุค ดังนั้น ผู้ที่คิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงอยู่ พึงระวังอย่าให้ล้ม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 13:1-9
     ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน”
     พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ จึงพูดกับคนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเถิด เสียที่เปล่าๆ’ แต่คนสวนตอบว่า ‘นายครับ ปล่อยมันไว้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้’”

 

ข้อคิด

     ชื่อที่เราแต่ละคนมี นอกจากบ่งบอกความเป็นตัวเราแล้ว ยังเป็นการสร้างขีดจำกัดให้อีกด้วย คนชื่อนี้คือคนนี้ อย่างที่เป็นและอย่างที่มีไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เพราะเหตุนี้ เมื่อโมเสสทูลถามพระนามพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงให้ชื่อใดชื่อหนึ่งแบบชื่อคน เพราะพระองค์ยิ่งใหญ่ ไม่มีขอบเขต และไม่สามารถสร้างขีดจำกัดให้พระองค์ได้ พระองค์จึงทรงบอกว่าชื่อของพระองค์คือ “เราคือเราเป็น” อย่างที่พระองค์ทรงเป็น แตกต่างจากที่มนุษย์คิด พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่าพระเจ้าทรงคิดไม่เหมือนมนุษย์คิด อย่างในกรณีของชาวกาลิลีหรือคนสิบแปดคนที่มีการยกประเด็นขึ้นมาถามความเห็นของพระเยซูเจ้า

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2019 น.ตูรีบิโอ แห่งมอนโกรเวโย พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมีคาห์                                 มคา 7:14-15,18-20
     โปรดทรงใช้ไม้ขอของผู้เลี้ยงแกะเลี้ยงดูประชากร คือฝูงแพะแกะที่เป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ โปรดทรงให้เขาหากินอยู่ในแคว้นบาชานและกิเลอาดเหมือนในสมัยก่อน โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนในสมัยที่ทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
     เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการล่วงละเมิดแก่ผู้ที่เหลืออยู่เป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง โปรดทรงเหยียบย่ำความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายลงไปในทะเลลึก พระองค์จะทรงแสดงความซื่อสัตย์แก่ยาโคบ ทรงแสดงความรักมั่นคงแก่อับราฮัม ดังที่เคยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่นานมาแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                     ลก 15:1-3,11-32
     เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง
     พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
     เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา
     เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ
     ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก’ แต่พ่อพูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
     ส่วนลูกคนโต อยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป แต่เขาตอบพ่อว่า ‘ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย’
     พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’”

 

ข้อคิด

     ภาพลักษณ์พระเจ้าในพันธสัญญาเดิมยังคงเป็นภาพลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นจากประสบการณ์แห่งการเป็นมนุษย์ คนเป็นอย่างไรก็คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างนั้น ทั้งๆที่พระเจ้าทรงเผยภาพลักษณ์ของพระองค์โดยทางประกาศก เช่นประกาศกมีคาห์ “เทพเจ้าใดเล่าเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด...มองข้ามการละเมิด...ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ตลอดไป...แสดงความรักมั่นคง...เหวี่ยงบาปลงไปในทะเลลึก...” แต่คนก็ยังคงมีภาพลักษณ์ของพระเจ้าแบบเดิม กระทั่งพระเยซูเจ้าเสด็จมาเผยให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในคำอุปมาวันนี้ พระเจ้าทรงให้อภัยลูกที่ทำผิดก่อนที่ลูกคิดจะมาขออภัย เมื่อกลับมาก็ทรงรักลูกเหมือนเดิมทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2019 สมโภชการแจ้งสารเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 7:10-14
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์อาคัสอีกว่า  “จงขอองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครื่องหมายจากที่ลึกของแดนผู้ตาย หรือจากที่สูงเบื้องบนเถิด” แต่กษัตริย์อาคัสตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทูลขอ เราจะไม่ทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”
     ประกาศกอิสยาห์จึงทูลว่า “ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดเอ๋ย จงฟังเถิด ท่านทำให้มนุษย์เอือมระอายังไม่พออีกหรือ ทำไมท่านจึงทำให้พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเอือมระอาอีกเล่า ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และนางจะเรียกเขาว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา”

 

สดด 40:6,7-8,9,10

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                     ฮบ 10:4-10

     เพราะเลือดโคเพศผู้และเลือดแพะชำระบาปให้หมดสิ้นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า
“พระองค์ไม่มีพระประสงค์เครื่องบูชาและของถวายอื่นใด พระองค์จึงทรงเตรียมร่างกายไว้ให้ข้าพเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ในม้วนหนังสือมีข้อความเขียนเกี่ยวกับข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์”
     พระคริสตเจ้าตรัสเป็นอันดับแรกว่าพระเจ้าไม่มีพระประสงค์และไม่พอพระทัยในเครื่องบูชา ของถวาย เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ทั้งๆ ที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ พระคริสตเจ้าจึงทรงยกเลิกการถวายบูชาแบบเดิมและทรงตั้งการถวายบูชาแบบใหม่ขึ้นแทน โดยพระประสงค์นี้เองเราทั้งหลายได้รับความศักดิ์สิทธิ์ เดชะการถวายพระวรกายของพระองค์เป็นการบูชาที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำแต่เพียงครั้งเดียวโดยมีผลตลอดไป

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 1:26-38
     เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานพระบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย”
พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป

 

ข้อคิด

     พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงกระทำกิจการของพระองค์อย่างเรียบง่าย ทรงแจ้งให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงกำลังทำตามพระสัญญาที่ส่งทอดเป็นความหวังกันมาหลายชั่วคน นั่นคือ ไถ่กู้มนุษย์ให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในบ้านของมารีย์ หญิงสาวธรรมดาในเมืองนาซาเร็ธที่คนสมัยนั้นมองว่าด้อยในทุกเรื่อง เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติที่พระเจ้าทรงขอความร่วมมือจากมนุษย์โดยมีฤทธิ์อำนาจของพระองค์เป็นหลักประกัน ดังที่ทูตสวรรค์ยืนยันกับมารีย์ “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” และก็เป็นไปตามนั้น พระเจ้าทรงเข้ามาในโลก ทรงเป็นมนุษย์เพื่ออยู่กับมนุษย์ตลอดไป... โดยความยินยอมและร่วมมือของแต่ละคน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown