มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                              ลนต 19:1-2,11-18
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
     ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดยใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบหรือปล้นเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องไม่ยึดค่าจ้างของลูกจ้างไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ท่านจะต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก เอาของไปวางขวางทางคนตาบอด แต่ท่านจะต้องยำเกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำเอียงเข้าข้างคนยากจนหรือคนมีอำนาจ แต่จงตัดสินคดีของเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม ท่านจะต้องไม่โพนทะนาใส่ร้ายชนชาติเดียวกับท่าน และไม่ซ้ำเติมเพื่อนบ้านของท่านให้ถูกประหารชีวิต เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเขา ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 25:31-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์รุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’
     บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
     แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและบริวารของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงมาพบเรา ในรูปลักษณ์ของเพื่อนพี่น้องที่ตกทุกข์ได้ยาก... และพระองค์ก็ทรงมาพบเรา ในขณะที่ใจเราเองตกทุกข์ได้ยากด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์มิได้เรียกร้องให้เราสนใจคนอื่น โดยพระองค์ไม่สนใจเราเลยนั้น มิได้เป็นดังนั้น จึงในสภาพที่เราทุกข์ใจ ที่ว้าเหว่จากเพื่อน ญาติพี่น้องและลูกหลาน หรือทุกข์ใจเพราะความหวังในบางเรื่องอย่างสุดๆ หรือถูกใส่ร้ายอย่างไร้ความปราณี ขณะนั้น พระองค์ทรงมาเยี่ยม มาอยู่กับเรา ให้เราหยุดสักนิด รับรู้ความทุกข์ยากลำบากของเรา เงยหน้าขึ้นและพูดกับพระองค์ เพราะเมื่อพระองค์บอกให้เราเยี่ยมพี่น้องที่ตกทุกข์ได้ยาก พระองค์ก็ย่อมทำดังที่พระองค์บอก พระองค์จะมาเยี่ยมเราที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นเดียวกัน

วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 55:10-11

     พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของเราก็อยู่สูงกว่าทางของท่าน และความคิดของเราก็อยู่เหนือความคิดของท่านฉันนั้น ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 6:7-15
    เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง
พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์
โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า
เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’
เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน”

 

ข้อคิด

     ด้วยความรอบคอบ และเชี่ยวชาญในการวางแผนอนาคต เราอาจจะขออาหารประจำสำหรับ 1 อาทิตย์ หรือสำหรับ 1 เดือน หรือสำหรับ 1 ปี ซึ่งถ้าเป็นจริงได้ดังนี้ เราจะได้มีความมั่นคงปลอดภัย...แต่ด้วยความรัก ความปรารถนาจะพบสนิทสนม ได้พูดคุยกันทุกวัน จึงปรากฏเป็นการขอเพียงอาหารประจำวัน 1 วัน เพื่อเราจะได้พบปะพูดคุย ชิดสนิทกับพระบิดาทุกๆวัน... บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นบทภาวนาแห่งความรักและความผูกพัน

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเอสเธอร์                                           อสธ 4:17K-17M,17R-17U
     พระราชินีเอสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงแสวงหาความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้วทรงชุดไว้ทุกข์แสดงความโศกเศร้า ทรงโปรยขี้เถ้าและฝุ่นดินบนพระเศียรแทนเครื่องหอมมีค่า ไม่สนพระทัยที่จะประดับพระกายให้งดงามอย่างที่เคย แต่ทรงสยายพระเกศาให้ยุ่งเหยิง แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้ากำลังเผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคลในครอบครัวเล่าว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขาเป็นมรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด โปรดทรงสำแดงพระองค์ในเวลาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด ข้าแต่กษัตริย์ของบรรดาเทพเจ้า พระองค์ทรงพระอานุภาพเหนือผู้มีอำนาจทุกคน โปรดทรงใส่ถ้อยคำจูงใจไว้ในปากของข้าพเจ้า เมื่อต้องเผชิญกับสิงโต โปรดทรงเปลี่ยนใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ต่อสู้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อเขากับพวกจะพินาศ โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ทรงทราบว่าข้าพเจ้าชังเกียรติยศจากคนอธรรม และรังเกียจการร่วมเตียงกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและคนต่างชาติ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 7:7-12
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านใดที่ลูกขออาหาร แล้วจะให้ก้อนหิน ถ้าลูกขอปลา ท่านจะให้งูหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดีๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”

 

ข้อคิด

     ใจความของประโยคสุดท้ายในเรื่องราวแห่งการภาวนาวอนขอคือ “พระองค์จะประทานของดีๆแก่ผู้ที่ทูลขอ” ซึ่งแน่นอนว่า หากสิ่งที่วอนขอมิใช่ “ของดีๆ” แต่เป็นของที่ทำให้ลูกๆของพระองค์หลงผิดพระองค์ย่อมไม่ประทานให้อย่างแน่นอน ซึ่งแม้แต่พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ก็จะไม่ให้สิ่งของที่จะทำให้ลูกๆของตนเองหลงผิดในชีวิต... พระเป็นเจ้าทรงรักเรา แต่พระองค์มิได้ตามใจเรา...พ่อแม่ที่รักลูก ย่อมไม่ตามใจลูกให้เสียคนเพราะพ่อแม่รักลูกจริงๆ

วันพุธที่ 13 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                              ยนา 3:1-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนต่ำต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับข้าราชบริพารชั้นสูงว่า “ทั้งคนและสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากินหญ้าหรือดื่มน้ำเลย ทั้งคนและสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำที่รุนแรง ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 11:29-32
     เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก”

 

ข้อคิด

     ในชีวิตของเรา เราอาจแสวงหาเครื่องหมายจากพระ เพื่อสร้างความมั่นใจ สบายใจ และปลอดภัยให้กับชีวิตของเรา แต่หากเป็นเช่นนี้ เราอาจกำลังแสวงหาตัวเอง แสวงหาการให้ฉันได้มีความมั่นใจ ให้ฉันสบายใจ และให้ฉันปลอดภัย ขณะนั้น เราอาจมิได้แสวงหาพระแต่อย่างใด เราหลงคิดว่าเราแสวงหาอย่างถูกต้องแล้ว แต่ที่จริง เรากำลังแสวงหาตัวเอง...ยากจริงหนอ ที่มนุษย์ซึ่งแม้ยังไม่พบความมั่นใจ สบายใจ หรือความปลอดภัย แต่ยังซื่อสัตย์ จริงใจ รักและยืนหยัดที่จะยังแสวงหาและอยู่กับพระ

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2019 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                          อสค 18:21-28

     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ถ้าคนชั่วร้ายกลับใจไม่ทำบาปทุกอย่างที่เขาเคยทำ แล้วกลับมารักษาข้อกำหนดทุกข้อของเรา ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย การล่วงละเมิดใดๆ ที่เขาเคยทำจะไม่ถูกจดจำไว้เพื่อเอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้ทำ เราพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราพอใจที่เขากลับใจจากความประพฤติชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
     แต่ถ้าผู้ชอบธรรมละทิ้งความชอบธรรมของตนไปทำความชั่ว ประพฤติตามการกระทำน่าสะอิดสะเอียนทุกอย่างที่คนชั่วทำ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ การกระทำชอบธรรมทั้งหมดที่เขาได้ทำมาแล้วจะไม่ถูกจดจำไว้อีกเลย เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขาไม่ได้ซื่อสัตย์ และเพราะบาปที่เขาได้ทำ
     ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรมเปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติความชอบธรรมมาทำผิด เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขาได้ทำ ถ้าคนชั่วร้ายเลิกทำความชั่วร้ายที่เขาได้ทำ มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวิตของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดที่เคยทำ เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 5:20-26
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”
     “ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”

 

ข้อคิด

     ความชอบธรรมของธรรมาจารย์และฟาริสีคือ การได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จารีตประเพณีครบถ้วนและเคร่งครัด เป็นความชอบธรรมที่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงปฏิเสธ แต่ทรงสอนให้ก้าวสู่ความชอบธรรมที่ไม่หยุดและไม่จบเพียงแค่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จารีตพิธีกรรม ดังเช่นขอบเขตของหุ่นยนต์ที่ทำได้ แต่ทรงสอน เชิญชวนให้ลูกๆของพระองค์สนใจ ใส่ใจ และใช้หัวใจกับการปฏิบัตินั้นๆ และก้าวต่อไปสู่การสนใจ ใส่ใจ และใช้หัวใจกับการอยู่กับเพื่อนพี่น้อง และอยู่กับพระองค์...พระองค์มิได้อยากได้หุ่นยนต์มาเป็นลูกของพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown