มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                     ฮบ 10:32-39
     พี่น้อง จงระลึกถึงวันในอดีต วันที่ท่านสู้ทนความทุกข์ทรมานมากมายหลังจากที่ได้รับความสว่าง บางครั้งท่านก็ถูกประจานให้อับอาย และถูกข่มเหงอย่างเปิดเผย บางครั้งท่านก็ร่วมทุกข์กับผู้ที่รับชะตากรรมเดียวกัน โดยเหตุที่ท่านได้ร่วมทนทุกข์ทรมานกับผู้ถูกจองจำและยินดีให้เขาริบทรัพย์สินของท่านไป เพราะท่านรู้อยู่ว่าท่านมีทรัพย์สินที่ดีกว่าและจีรังยั่งยืนกว่า ดังนั้น จงอย่าทิ้งความไว้วางใจซึ่งมีบำเหน็จยิ่งใหญ่ ท่านต้องมีความพากเพียรในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อจะได้รับบำเหน็จตามพระสัญญา
     อีกไม่นานนัก พระองค์ผู้จะต้องทรงมาถึง ก็จะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะไม่ทรงชักช้า ผู้ชอบธรรมของเราจะดำรงชีพด้วยความเชื่อ แต่ถ้าเขาท้อถอย เราจะไม่พอใจเขาเลย เราไม่ใช่คนท้อถอยจนต้องพินาศ แต่เราเป็นคนมีความเชื่อเพื่อรักษาชีวิตให้รอดพ้น

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 4:26-34
เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”
พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้”
     พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น

 

ข้อคิด

     เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต พระเยซูเจ้าสอนเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า โดยใช้อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง และเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด พระอาณาจักรของพระเจ้าเริ่มต้นจากเล็กๆก่อน เติบโตช้าแต่ชัวร์ (แน่นอน) เราเป็นเครื่องมือในการหว่านเมล็ดแห่งพระอาณาจักร แต่พระเจ้าเท่านั้นทรงทำให้เติบโต ขอให้เราวางใจว่าพระเจ้าจะทำให้พระอาณาจักรเติบโตในสังคม ถึงแม้ว่าจะมีวัชพืชและหนามปกคลุม การทำงานเพื่อให้อาณาจักรจงมาถึง เราต้องสวดดังที่พระเยซูเจ้าทรงสอน

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2019 ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี                               มลค 3:1-4
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะส่งผู้ถือสารของเราเพื่อเตรียมทางไว้ต่อหน้าเรา ทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาซึ่งท่านปรารถนา ดูซิ กำลังมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส ใครจะทนวันที่เขามาได้ และใครจะยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเขาปรากฏ เพราะเขาจะเป็นเหมือนไฟของช่างถลุงโลหะ และเหมือนสบู่ของคนซักฟอก เขาจะนั่งลงเหมือนช่างหลอมและช่างถลุงเงิน เขาจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ จะถลุงเขาเหมือนถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชอบธรรม เครื่องบูชาของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนในสมัยโบราณ เหมือนในปีก่อนๆ โน้น

 

สดด 24:7-8,9-10

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                    ฮบ 2:14-18
      พี่น้อง บุตรทุกคนมีเลือดเนื้อร่วมกันฉันใด พระองค์ก็ทรงมีเลือดเนื้อร่วมกับมนุษย์ทุกคนด้วยฉันนั้น เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจเหนือความตายลงได้ เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้ โดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่บรรดาทูตสวรรค์ แต่เอาพระทัยใส่เชื้อสายของอับราฮัม จึงจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุกประการ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่เพียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงน่าเชื่อถือในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้ ในฐานะที่พระองค์ทรงรับการทรมานและทรงผ่านการผจญมาแล้ว พระองค์จึงทรงช่วยเหลือผู้ที่ถูกผจญได้ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 2:22-32
     เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทินตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบสองตัวตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตกับเขา และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์”

 

ข้อคิด

     แสงสว่างสู่คนต่างชาติ ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร เป็นธรรมเนียมตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ฉลองหลังคริสต์มาส 40 วัน เรียกว่า “เสกเทียน” และศตวรรษที่ 8 สมเด็จพระสันตะปาปาแซร์จีอุสให้มีพิธีเสกเทียน บรรดาพระสงฆ์ นักบวช และฆราวาส แห่เทียนที่จุดไฟเดินเข้ามาในวัด เพื่อระลึกถึง “แสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์” นักบุญโยเซฟเป็นคนเงียบๆ ผู้เฒ่าสิเมโอนมีความเชื่อเข้มแข็ง นางอันนาจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาและพระนางมารีย์พร้อมเสมอที่ร่วมมือกับพระบุตรในแผนการไถ่กู้

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                    ฮบ 11:32-40
     พี่น้อง ข้าพเจ้ายังจะต้องพูดอะไรอีกหรือ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะเล่าเรื่องกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ กษัตริย์ดาวิด ซามูเอลและบรรดาประกาศก เพราะความเชื่อ เขาเหล่านี้จึงพิชิตอาณาจักร ปฏิบัติความยุติธรรม ได้รับพระสัญญา ปิดปากสิงโต ดับไฟร้อนแรง พ้นจากคมดาบ ได้รับพละกำลังพ้นจากความอ่อนแอ กลายเป็นผู้เข้มแข็งในสงครามและขับไล่กองทัพต่างชาติให้พ่ายไป หญิงบางคนได้รับผู้ตายของตนที่กลับคืนชีพ บางคนถูกทรมานจนตายไม่ยอมรับการปลดปล่อยเพื่อจะกลับคืนชีพมารับชีวิตที่ดีกว่า บางคนถูกสบประมาท ถูกโบยตีและยังถูกล่ามโซ่จำคุกอีกด้วย เขาถูกหินทุ่ม ถูกเลื่อยเป็นสองส่วน ตายด้วยคมดาบ บางคนนุ่งห่มหนังแกะหนังแพะร่อนเร่ไป ขัดสน ได้รับความยากลำบาก ถูกข่มเหง โลกนี้ไม่เหมาะกับเขาเหล่านี้ พวกเขาระหกระเหินไปในถิ่นทุรกันดาร ตามภูเขา ในถ้ำและตามโพรง คนเหล่านี้ทุกคน แม้ว่าพระเจ้าทรงยกย่องเขาเพราะความเชื่อแล้ว เขาก็ยังมิได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้ให้เรา เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้รับความดีบริบูรณ์พร้อมกับพวกเรานั่นเอง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 5:1-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซา ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพ เข้ามาเฝ้าพระองค์ทันที ชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพ ไม่มีใครล่ามเขาไว้ได้ แม้จะใช้โซ่ล่ามก็ตาม มีผู้ใช้โซ่ตรวนล่ามเขาหลายครั้ง เขาก็หักโซ่ตรวน ไม่มีใครทำให้เขาสยบได้ เขาอยู่ตามหลุมศพและตามภูเขาตลอดวันตลอดคืน ส่งเสียงร้องเอ็ดอึงและใช้หินทุบตีตนเอง เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามพระเจ้า อย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ทั้งนี้เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า “เจ้าปีศาจ จงออกจากชายผู้นี้” แล้วพระองค์ทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกองพล เพราะเราอยู่กันจำนวนมาก” และมันพร่ำวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้น หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาต พวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ และจมน้ำตายทั้งหมด คนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้า ก็แลเห็นคนที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาต่างมีความกลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟัง ประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วย แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “จงกลับบ้าน ไปหาญาติพี่น้องของท่าน เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำและแสดงพระเมตตาต่อท่าน” ชายนั้นจากไป เริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำต่อตน ทุกคนที่ได้ฟังต่างประหลาดใจ


ข้อคิด

     ทรงรักษาชายถูกปีศาจสิง เมืองเกราซา (มก 5:1; ลก 8:26; มธ 8:28 เรียก กาดารา) เป็นหมู่บ้านเล็กๆในฝั่งตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี เป็นเนินผาสูงชัน ตามเรื่องราวในพระวรสาร ในปัจจุบันไม่พบลักษณะนี้ทางตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี แต่พบเมืองเกอชา ใต้วาดี เอสชามัก
     ชาวบ้านคงไม่ไปยุ่งกับชายถูกปีศาจสิงคนนี้ แต่พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์สนใจไปรักษาเขา และไม่ทรงอนุญาตให้ตามเสด็จ แต่พูดดีๆว่า จงกลับบ้าน เล่าห็ญาติพี่น้องฟังว่า พระเจ้าทรงพระเมตตา
ขอโปรดให้เรากล้าแบบพระองค์บ้างครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม 1:4-5,17-19
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ก่อนที่เราปั้นท่านในครรภ์มารดา เราก็รู้จักท่านแล้ว ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยกท่านไว้เป็นของเราแล้ว เราแต่งตั้งท่านให้เป็นประกาศกสำหรับนานาชาติ
     ดังนั้น ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอกทุกสิ่งที่เราจะสั่งท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะทำให้ท่านไม่พรั่นพรึงต่อหน้าเขา ดูซิ วันนี้เราทำให้ท่านเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และเป็นเหมือนกำแพงทองสัมฤทธิ์ต่อสู้กับทั่วแผ่นดิน กับบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และเจ้านาย บรรดาสมณะและประชากรของแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

 

เพลงสดุดี                                                                       สดด 71:1-2,3-5,14-15,16-17ก
     ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์
ข้าพเจ้าไม่มีวันจะต้องได้รับความอับอายเลย
พระองค์ทรงเที่ยงธรรม โปรดทรงช่วยชีวิตข้าพเจ้า
โปรดทรงปลดปล่อยข้าพเจ้า
โปรดทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า
และทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นด้วยเถิด
     ข) ขอพระองค์ทรงเป็นหลักศิลาที่กำบังสำหรับข้าพเจ้า
ขอทรงเป็นที่มั่นที่ข้าพเจ้าจะเข้าถึงได้เสมอ
พระองค์ทรงสัญญาจะช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
เพราะพระองค์ทรงเป็นหลักศิลาและทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของคนชั่ว
พ้นจากเงื้อมมือของคนอธรรมและคนใจอำมหิตด้วยเถิด
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นความหวังของข้าพเจ้า
พระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้าวางใจมาแต่วัยเยาว์
     ค) ส่วนข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะมีความหวังตลอดไป
จะสรรเสริญพระองค์มากยิ่งขึ้น
ปากข้าพเจ้าจะประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์
จะประกาศตลอดวันถึงพระราชกิจมากมายเหลือคณานับที่ทรงช่วยให้รอดพ้น
ง) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะเล่าถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระองค์
จะระลึกว่าพระองค์เพียงพระองค์เดียวทรงเที่ยงธรรม
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสั่งสอนข้าพเจ้ามาตั้งแต่วัยเยาว์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง     1 คร 12:31-13:13
     พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีที่สุดให้ท่าน
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อและมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด
     ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง
     ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็กๆ คิดเหมือนเด็กๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงรางๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 4:21-30
    เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว” ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส
     เขากล่าวกันว่า “นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า ‘หมอเอ๋ย จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้น ท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด’ แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน
เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น’”
เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป

 

ข้อคิด

     ความรักสำคัญอันดับหนึ่ง  เยเรมีย์เป็นหนุ่มขี้อาย แต่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นประกาศก ท่านรู้ถึงข้อจำกัดของตนจึงปฏิเสธ แต่พระเจ้าทรงทำให้ท่านเห็นว่า พลังมาจากพระเจ้ามากกว่าคุณลักษณะส่วนตัวของประกาศก บทบาทของประกาศกต้องประกาศความรักของพระเจ้า ความรักมีพลังสร้างสรรค์หรือทำลาย แต่ความรักต้องมุ่งที่ชีวิต ดังที่นักบุญเปาโลสอน
พระเจ้าทรงเป็นความรัก (1 ยน 4:16) เราต้องหาวิธีปฏิบัติความรักในชีวิตของเรา

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2019 ระลึกถึง น.อากาทา พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                      ฮบ 12:1-4
     พี่น้อง พวกเรา ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีพยานจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ เราจงละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น เราจงมีมานะวิ่งต่อไปในการแข่งขันซึ่งกำหนดไว้สำหรับเรา จงเพ่งมองไปยังพระเยซูเจ้าผู้ทรงบุกเบิกความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ทรงถือว่าเป็นความตายที่น่าอับอาย เพราะทรงคำนึงถึงความยินดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ บัดนี้พระองค์ประทับ ณ เบื้องขวาแห่งพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ที่ทรงอดทนต่อการคัดค้านเช่นนี้ของคนบาป ท่านจะได้ไม่ท้อถอยหมดกำลังใจ ในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 5:21-43
     เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฟากอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนชุมนุมกันเนืองแน่นรอบพระองค์ขณะที่ยังทรงอยู่ริมทะเลสาบ หัวหน้าศาลาธรรมคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา เมื่อเห็นพระองค์ เขากราบลงที่พระบาท พร่ำวิงวอนว่า “บุตรหญิงเล็กๆ ของข้าพเจ้าจวนจะสิ้นใจอยู่แล้ว เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้หายจากโรค กลับมีชีวิต” พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับเขา ประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามไปและเบียดเสียดพระองค์
     ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้รับความทรมานมากจากการรักษาของแพทย์หลายคน เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคก็มิได้บรรเทา ตรงกันข้ามกลับทรุดหนัก นางได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระเยซูเจ้า จึงเดินปะปนกับประชาชนเข้ามาเบื้องหลัง และสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงได้สัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” ทันใดนั้น เลือดก็หยุด นางรู้สึกว่าร่างกายหายจากโรคแล้ว ขณะเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกว่ามีอิทธิฤทธิ์ออกจากพระองค์ไป จึงทรงหันมายังกลุ่มชน ตรัสว่า “ใครสัมผัสเสื้อของเรา” บรรดาศิษย์ทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าผู้คนเบียดเสียดกันเช่นนี้ แล้วยังทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครสัมผัสเรา’” พระองค์ทรงหันไปรอบๆ เพื่อทอดพระเนตรผู้ที่ทำเช่นนั้น หญิงคนนั้นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น เพราะรู้ดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นแก่ตน จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ พระองค์จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุข หายจากโรคเถิด”
     ขณะกำลังตรัสอยู่นั้น มีคนมาจากบ้านหัวหน้าศาลาธรรม บอกเขาว่า “บุตรหญิงของท่านตายแล้ว ไปรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม” แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินเขาพูดดังนั้น จึงตรัสแก่หัวหน้าศาลาธรรมว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิด” พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไปนอกจากเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อทุกคนมาถึงบ้านหัวหน้าศาลาธรรม พระเยซูเจ้าทรงเห็นความวุ่นวาย และเห็นผู้คนร่ำไห้พิลาปรำพันเป็นอันมาก พระองค์เสด็จเข้าไป ตรัสแก่คนเหล่านั้นว่า “วุ่นวายและร้องไห้ไปทำไม เด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” เขาต่างหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์ทรงไล่เขาออกไปข้างนอก ทรงนำบิดามารดาของเด็กและศิษย์ที่ติดตามเข้าไปยังที่ที่เด็กนอนอยู่ ทรงจับมือเด็ก ตรัสว่า “ทาลิธาคูม” แปลว่า “หนูเอ๋ย เราสั่งให้หนูลุกขึ้น” เด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นทันที และเดินไปมา เด็กนั้นอายุสิบสองขวบแล้ว คนทั้งหลายต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด และทรงสั่งให้เขานำอาหารมาให้เด็กนั้นกิน

 

ข้อคิด

     ผลของความเชื่อ อัศจรรย์ในพระวรสารวันนี้ ผู้ได้รับการรักษาเป็นสตรีทั้งสองเรื่อง และมีเลข 12 ปรากฏในทั้งสองเรื่อง หญิงตกเลือดเรื้อรังมา 12 ปีแล้ว และลูกสาวของหัวหน้าศาลาธรรมอายุ 12 ขวบ การรักษาทั้งสองเรื่องเป็นผลของความเชื่อ พระเยซูเจ้ามีอำนาจเหนือทั้งชีวิตและความตาย
     บางครั้งเราอาจท้อใจไม่ยอมสวด อัศจรรย์วันนี้สอนใจให้มีความหวังเหมือนหญิงคนนี้และไยรัส
ขอให้เราร่วมมือและภาวนาเพื่องาน “ทาลิธาคูม” ที่นักบวชหญิงในประเทศไทยพยายามช่วยเหลือสตรี ต่อสู้กับการค้ามนุษย์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown