มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2019 แม่พระประจักษ์ที่เมืองลูร์ด

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                         ปฐก 1:1-19
     เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินยังเป็นที่ร้างไร้รูปร่าง ความมืดมิดปกคลุมอยู่เหนือทะเลลึก และลมพายุแรงกล้า พัดอยู่เหนือน้ำ
     พระเจ้าตรัสว่า “จงมีความสว่าง” และความสว่างก็อุบัติขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างว่า “วัน” ทรงเรียกความมืดว่า “คืน” มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หนึ่ง
พระเจ้าตรัสว่า “จงมีแผ่นฟ้าขึ้นระหว่างน้ำ เพื่อแยกน้ำออกจากกัน” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างแผ่นฟ้า และทรงแยกน้ำใต้แผ่นฟ้าออกจากน้ำที่อยู่เหนือแผ่นฟ้า พระเจ้าทรงเรียกแผ่นฟ้าว่า“ท้องฟ้า” มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สอง
พระเจ้าตรัสว่า “น้ำใต้ท้องฟ้าจงมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งว่า “แผ่นดิน” ทรงเรียกมวลน้ำว่า “ทะเล” พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
     พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงผลิตหญ้าเขียว คือพืชที่มีเมล็ดและไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิดบนแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น แผ่นดินผลิตหญ้าเขียว พืชที่มีเมล็ด และไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สาม
     พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนแผ่นฟ้าเพื่อแยกวันออกจากคืน เป็นเครื่องกำหนดเทศกาล วันและปี ใช้เป็นตะเกียงบนท้องฟ้าเพื่อส่องแสงเหนือแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ทรงให้ดวงใหญ่กำหนดวัน ดวงเล็กกำหนดคืนและทรงสร้างดวงดาวด้วย พระเจ้าทรงจัดสิ่งเหล่านี้ไว้บนแผ่นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน เพื่อกำหนดวันและคืน เพื่อแยกความสว่างจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สี่

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                            มก 6:53-56
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระองค์ได้ทันที และคนในบริเวณนั้นต่างรีบมาหา นำผู้เจ็บป่วยนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมืองหรือในชนบท เขาก็นำผู้เจ็บป่วยมาวางตามลานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัสเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย

 

ข้อคิด

     หายจากโรคภัย ตัวบทพระวรสารวันนี้เป็นถ้อยแถลงสรุปกิจการของพระเยซูเจ้า เรื่องการรักษาผู้เจ็บป่วย ประชาชนมามากมายจำพระองค์ได้ทันที... รีบมาหาจากหมู่บ้าน ในเมืองหรือในชนบท พวกเขาต้องการการรักษาให้หายจากโรคภัยเต็มใจมาหา และพระเยซูเจ้าสามารถรักษาได้ทุกคน คำพูดและกิจการที่แสดงออกว่าใจดีจากส่วนของเรา ทำให้ประชาชนมีกำลังใจ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเป็นแบบอย่างนี้ในการไปเยี่ยมชาวบ้าน วันนี้ท่านไปเยี่ยมใครสักคนหนึ่งได้ไหม

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 1:20-2:4ก
     พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงผลิตสิ่งที่มีชีวิตจำนวนมาก นกจงโผบินใต้แผ่นฟ้าเหนือแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ รวมทั้งนกมีปีกทุกชนิด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าทรงอวยพรสัตว์เหล่านี้ว่า “จงมีลูกมาก และเพิ่มจำนวนขึ้นจนเต็มทะเล นกจงทวีจำนวนบนแผ่นดิน” มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่ห้า
     พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงผลิตสัตว์ทุกชนิด” ทั้งสัตว์เลี้ยง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนพื้นดิน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
พระเจ้าตรัสว่า “เราจงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ให้มีความคล้ายคลึงกับเรา ให้เป็นนายปกครองปลาในทะเล นกในท้องฟ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า และสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน”
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์
พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า
พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
     พระเจ้าทรงอวยพรเขาทั้งสองคนและตรัสว่า “จงมีลูกมาก และทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิดที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน” พระเจ้ายังตรัสอีกว่า “ดูซิ เราให้ข้าวทุกชนิดซึ่งอยู่บนแผ่นดิน และผลไม้ที่มีเมล็ดเป็นอาหารสำหรับท่าน ส่วนบรรดาสัตว์ป่า นกในท้องฟ้า และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดิน เราให้หญ้าเขียวเป็นอาหาร” และก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงเห็นว่าทุกสิ่งที่ทรงสร้างนั้นดีมาก มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หก
ฟ้า แผ่นดิน และสิ่งประดับทั้งปวงก็สำเร็จบริบูรณ์ ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นจากงานที่ทรงกระทำ พระองค์ทรงหยุดพักในวันที่เจ็ดจากงานทั้งหมดที่ทรงกระทำ พระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงทำให้วันนั้นเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เพราะในวันนั้น พระองค์ทรงพักจากงานทั้งปวงที่ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง
นี่คือประวัติความเป็นมาของฟ้าและแผ่นดิน เมื่อพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 7:1-13
     เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกัน เขาสังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน เพราะชาวฟาริสีและชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่นๆ อีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และทำไมเขาจึงกินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด” พระองค์ตรัสตอบว่า “ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก
แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา
เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย
เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม
ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์” แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า “ท่านช่างชำนาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่านเองเสียจริงๆ เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือบิดามารดา และใครด่าบิดาหรือมารดา จะต้องรับโทษถึงตาย แต่ท่านกลับสอนว่า ‘ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดาหรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำมาช่วยเหลือพ่อแม่ได้นั้นเป็นคอร์บัน คือของถวายแด่พระเจ้า’ ท่านก็อนุญาตให้เขาไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อๆ กันมาทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติเช่นนี้อีกมากมาย”

 

ข้อคิด
     ข้อคิด ดีแต่พูด หรือบริการจากใจ วันนี้ ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์สังเกตว่า ศิษย์บางคนของพระเยซูเจ้ากินอาหารด้วยมือไม่สะอาด จึงถามพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับปัญหาเรื่องพิธีชำระตัว พระเยซูเจ้าทรงตอบแบบยกระดับ จากเรื่องนี้ไปสู่การนมัสการที่แท้ต้องมาจากหัวใจ อ้าง อสย 29:13 ว่าพระเจ้าทรงต้องการการนมัสการด้วยหัวใจ และทรงยกตัวอย่างเรื่องคอร์บัน
มีหลายครั้งที่เราพยายามหาทางให้ผู้อื่นปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และแก้ตัวที่เราทำไม่ได้ เรานมัสการพระเจ้าแต่คำพูด หรือว่าการบริการจากใจ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2019 ระลึกถึง น.ซีริล นักบวช และ น.เมโทดิโอ พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 2:18-25
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้น ไม่ดีเลย เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมให้เขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงทรงเอาดินมาปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดและนกทุกชนิดในท้องฟ้า ทรงนำสัตว์เหล่านี้มาให้มนุษย์ เพื่อดูว่าเขาจะตั้งชื่อมันว่าอย่างไร สัตว์แต่ละตัวจะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ มนุษย์จึงตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยง นกในอากาศ และสัตว์ป่าทั้งหมด แต่มนุษย์ยังไม่พบผู้ช่วยที่เหมาะกับตน ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขากำลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่ และทรงบันดาลให้เนื้อปิดสนิท องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาซี่โครงนั้นมาสร้างหญิง แล้วทรงนำมาให้มนุษย์ มนุษย์จึงพูดว่า “นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจากชาย”
เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาทั้งสองคนคือมนุษย์และภรรยาต่างเปลือยกายอยู่ แต่ไม่อายกัน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 7:24-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระ และเสด็จเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้ ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งมีบุตรหญิงถูกปีศาจสิงได้ยินพูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท นางไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนีเซียโดยกำเนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ปีศาจออกจากบุตรหญิง พระองค์ตรัสกับนางว่า “ให้ลูกๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูกๆ” พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำนี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว” เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว

 

ข้อคิด
     ความเชื่อของสตรี... ช่วยลูกสาว สตรีชาวซีโรฟีนีเซีย (ไม่ใช่ชาวยิว) มาอ้อนวอนพระเยซูเจ้าให้ทรงขับไล่ปีศาจออกจากบุตรสาว แต่พระเยซูเจ้าดูเหมือนปฏิเสธ พระองค์เข้าใจว่า พันธกิจแห่งการเทศน์ การสอน และการรักษาต้องเตรียมประชากรชาวยิวก่อน แล้วจึงบริการคนอื่น แต่เมื่อทรงพบคนที่มีความเชื่อ ดูจะมากกว่าประชาชนแห่งพันธสัญญาเสียอีก พระองค์จึงไม่กล้าปฏิเสธ ความเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีความหมาย ไม่ว่าเรานับถือศาสนาใด
เรากล้าเปิดเผยความเชื่อของเราไหม

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                         ปฐก 2:4ข-9,15-17
     เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน บนแผ่นดินยังไม่มีพุ่มไม้และตามทุ่งนาหญ้ายังไม่ได้งอกขึ้นเลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้ายังไม่ได้ทรงทำให้ฝนตกบนแผ่นดิน และยังไม่มีมนุษย์ใช้แผ่นดินเป็นที่เพาะปลูก แต่มีน้ำขึ้นมาจากแผ่นดิน เพื่อรดหน้าดินทั้งหมด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดิน มาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และทรงนำมนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงนำมนุษย์มาไว้ในสวนเอเดน เพื่อเพาะปลูกและดูแลสวน แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบัญชามนุษย์นั้นว่า “ท่านจะกินผลไม้จากต้นไม้ทุกต้นในสวนได้ แต่อย่ากินจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว วันใดที่ท่านกินผลจากต้นนั้น ท่านจะต้องตาย”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                           มก 7:14-23
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
     เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จึงทูลถามพระองค์ถึงข้อความที่เป็นปริศนานั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านก็ไม่มีปัญญาด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่างๆ จากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์นั้นทำให้เขามีมลทินไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย” ดังนี้ ทรงประกาศว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน พระองค์ยังตรัสอีกว่า “สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายใน และทำให้มนุษย์มีมลทิน”

 

ข้อคิด

     คำแนะนำจากผู้อาวุโส อะไรเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความชั่ว 13 ชนิด ที่พระเยซูเจ้าตรัสสอน เราสามารถฟังคำแนะนำ
1.ใจกตัญญู เพราะจะเกิดความสุข มีหลายสิ่งที่เราควรขอบคุณพระ ถ้าเราคิดสัก 3 อย่าง จะเปลี่ยนวิธีมุมมองของคุณ
2. จริงใจ ถ้าเราจริงใจกับสิ่งที่หัวใจบอก เราจะพบความดีภายใน ถ้าเราจริงใจแสวงหาพระองค์
3. ใจชื่นชมยินดี เราสามารถเลือกว่าเรารู้สึกอย่างไรได้ เราตัดสินใจเป็นคนใจดีได้ เราเลือกยิ้มแทนการขมวดคิ้ว
จงกล่าวขอบคุณกับ 10 คนที่เขาดีกับคุณ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 3:1-8
     งูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาสัตว์ป่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้าง มันถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้” หญิงจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนเท่านั้น” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” งูบอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผลไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทั้งยังน่าปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตาของทั้งสองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้
เย็นวันนั้นมนุษย์และภรรยาได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้ากำลังทรงพระดำเนินในสวน จึงหลบไปซ่อนให้พ้นจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าในหมู่ต้นไม้ของสวน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 7:31-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดนทศบุรี มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอร้องให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิดเถิด” ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ยิ่งห้าม ก็ยิ่งเล่าลือกันมากขึ้น ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้”

 

ข้อคิด
     เอฟฟาธา จงเปิดเถิด บรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรเห็นว่า การรักษาคนใบ้หูหนวกเป็นผลของศีลล้างบาป เพราะปราศจากศีลล้างบาป เราก็ไม่สามารถได้ยินพระวาจาของพระเจ้า และเข้าใจภาษาแห่งความเชื่อ หรือการเรียกของพระเจ้าในฐานะบิดา และพระเยซูเจ้าฐานะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ พระหรรษทานแห่งศีลล้างบาป เปิดหูให้ฟังพระวรสารทำให้ลิ้นคลายเพื่อเป็นพยานในโลก ในเวลาเดียวกันก็เตือนใจให้รับผิดชอบ รักษาสัญญาแห่งศีลล้างบาปและเจริญชีวิตนอบน้อมเชื่อฟังพระคริสตเจ้าอย่างซื่อสัตย์ในชีวิตประจำวัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown