Lectio Divina ตุลาคม 2017
- รายละเอียด
- หมวด: Lectio Divina 2017
- เขียนโดย พระคุณเจ้าประธาน ศรีดารุณศีล
- ฮิต: 1395
Lectio Divina: ตุลาคม 2017 ความเมตตาในสายพระเนตร The Gaze of Mercy - 2
“เขาไปพักที่บ้านของคนบาป”
พระเยซูเจ้าและศักเคียส
Lectio : พระเจ้าตรัส
ลูกา19:1-10
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้นชายคนหนึ่งชื่อศักเคียสเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีเป็นคนมั่งมีเขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้าแต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ยเขาจึงวิ่งนำหน้าไปปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศเพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่นทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า ‘ศักเคียสรีบลงมาเถิดเพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้’ เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดีทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า ‘เขาไปพักที่บ้านคนบาป’ ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระเจ้าข้าข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจนและถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมาข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้วเพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วยบุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น
เข้าใจความหมายของพระวาจา
1. พระเยซูเจ้าและคนบาป
เราเริ่มต้นระยะที่สองของ“การสำรวจ” สายน้ำแห่งความเมตตาที่ไหลผ่านประวัติศาสตร์หรือจะดียิ่งกว่าถ้าจะพูดว่าเราเริ่มต้น“การกระโจนลง” ในสระแห่งเบธไซดาเป็นครั้งที่สองซึ่งนับจากจุดนี้ไปเราจะพูดถึงพระวรสารเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์พระองค์ทรงกลายเป็น“พระพักตร์ที่มองเห็นได้ของพระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็น” พระองค์ทรงบอกอัครสาวกของพระองค์ว่า“ผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระบิดาด้วย” (ยน 14:9) บัดนี้เราสามารถเพ่งพินิจพระเจ้าผู้“เมตตาและกรุณาไม่โกรธง่ายเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์” (อพย 34:6) ได้ในพระพักตร์ของพระบุตรผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์เราจะทำเช่นนี้ในบทต่อจากนี้ไปคือรำพึงตามกิจการแห่งความเมตตาของพระคริสตเจ้าก่อนแล้วจึงรำพึงตามคำสอนของพระองค์เกี่ยวกับความเมตตา
พระเยซูเจ้าทรงพบปะคนจำนวนมากในพื้นที่ต่างๆของปาเลสไตน์พระวรสารได้บันทึกชื่อของคนเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่รายละเอียดบางอย่างสะดุดสายตาของเราเช่นหญิงและชายที่พระองค์ได้พบนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสมอหรือกำลังป่วยกำลังโศกเศร้าหรือกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันยิ่งกว่านั้นพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดศีลธรรมซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของโมเสสดังนั้นเขาจึงไม่ได้เจริญชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ประชาชนมีภาพของพระเมสสิยาห์ฝังอยู่ในใจมาก่อนพวกเขา (รวมทั้งอัครสาวก) จึงเชื่อว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเป็นผู้เรียกสายฟ้าแห่งพระพิโรธของพระเจ้าลงมาทำลายคนชั่วแต่พระองค์กลับแสดงความรักของพระบิดาต่อประชากรของพระองค์ความรักที่ชาวอิสราเอลไม่สมควรได้รับเลยหลังจากประกาศกทั้งหลายขู่ประชาชนเพราะพวกเขาหัวใจแข็งกระด้างแล้วประกาศกเหล่านั้นมักแสดงตัวว่าเป็นผู้นำความรักของพระเจ้าและพระเจ้าก็ไม่เคยปฏิเสธคำอ้างเหล่านี้เลยพระเจ้าทรงประกาศผ่านประกาศกและเพลงสดุดีว่าความรักของพระองค์เป็นความรักแบบให้เปล่าไม่สามารถซื้อขายได้เหมือนสินค้าแม้พระองค์ยืนกรานเช่นนี้แต่ประชาชนก็ยังถือศาสนาอย่างเข้มงวดจนไม่เหลือที่สำหรับความเมตตา
ความเมตตาคือลักษณะพิเศษของพระเยซูเจ้าที่ดึงดูดใจคนยากจนคนบาปทุกประเภทและบุคคลที่ถูกกีดกันทางสังคมและวงการศาสนาพระเยซูเจ้าทรงรื้อขนบธรรมเนียมทั้งหลายคนบาปเป็นบุคคลที่สังคมถือว่ามีมลทินเพราะพฤติกรรมส่วนตัวหรืออาชีพของเขาน่ารังเกียจแต่พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับคนเหล่านี้เสียงบ่นจากธรรมาจารย์และฟาริสีเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเสียงประท้วงอย่างชิงชังและพวกเขาคิดว่าเขามีเหตุผลที่ดีที่คิดเช่นนั้น
คำว่า“ฟาริสี” บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลที่แยกตัวและแตกต่างจากคนทั่วไปพวกเขา“สะอาด” และจำเป็นต้องหลบหลีกและไม่ติดต่อกับคนบาปเลยแม้แต่น้อยในขณะที่พระเยซูเจ้าไม่เพียงไม่หลีกหนีคนเหล่านี้แต่ยังดูเหมือนว่าทรงสบายพระทัยที่จะอยู่กับพวกเขาและถึงกับทรงร่วมโต๊ะอาหารกับเขาด้วยพระองค์ไม่ทรงตั้งเงื่อนไขสำหรับการเข้ามาหาพระองค์ดังนั้นในสายตาของธรรมาจารย์และฟาริสีพระองค์ย่อมเป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าไม่ได้เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงเห็นชอบกับบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
สถานการณ์นี้ดูเหมือนว่าเข้าใจยากจนกระทั่งยอห์นผู้ทำพิธีล้างซึ่งเป็นผู้เตรียมทางให้พระองค์ต้องส่งศิษย์ของเขามาถามพระเยซูเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า“ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก?” (มธ 11:3) ยอห์นประกาศการมาถึงของบุคคลที่จะนำดาบและไฟมาสู่โลกแต่เขากลับต้องยอมรับบุคคลที่“จะไม่หักไม้อ้อที่ช้ำแล้วหรือดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่” (12:20) ความสับสนของยอห์นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และอันที่จริงพระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงประหลาดใจด้วยทรงทราบว่ายอห์นถามอย่างสุจริตใจพระเยซูเจ้าจึงทรงชี้ให้เห็นเครื่องหมายต่างๆที่จะระบุตัวพระองค์ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ประกาศกทั้งหลายเคยประกาศไว้
แต่ใครคือคนบาปคำนี้หมายถึงคนประเภทใดคนยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะอ้างเหตุผลมาอธิบายทัศนคติของฟาริสีในพระวรสารและอ้างว่าภาพด้านลบของฟาริสีเกิดจากการบิดเบือนของผู้เขียนพระวรสารในยุคหลังบางคนยืนยันว่าคำว่า“คนบาป” หมายถึง“ผู้ที่ละเมิดบทบัญญัติอย่างจงใจและไม่สำนึกผิด” หรืออาจพูดได้ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงอาชญากรและบุคคลที่ละเมิดกฎหมายทั่วไปในยุคนั้นถ้าเป็นเช่นนี้จริงศัตรูของพระเยซูเจ้าก็ทำถูกแล้วที่เขาสะดุดใจและถือว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลที่ไม่รับผิด
ชอบและเป็นบุคคลอันตรายในสังคมซึ่งถ้าเป็นโลกปัจจุบันก็อาจเปรียบเทียบได้กับพระสงฆ์คนหนึ่งที่ไปเยี่ยมมาเฟียครอบครัวของมาเฟียและอาชญากรทั่วไปและยอมรับคำเชิญไปรับประทานอาหารค่ำโดยอ้างว่าเพราะเขาต้องการพูดเรื่องพระเจ้ากับคนเหล่านี้
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เช่นนั้นพระเยซูเจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านของคนเก็บภาษีและคนบาปบ่อยๆพระองค์เสด็จไปยังบ้านของคนเก็บภาษีและคนบาปเพียงคนละหนึ่งครั้งในแต่ละโอกาสพระองค์ทรงทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนชีวิตของเขาได้ในความเป็นจริงชาวฟาริสีมีมุมมองของตนเองเกี่ยวกับธรรมบัญญัติเขาตัดสินเองว่าพฤติกรรมใดสอดคล้องหรือขัดต่อบทบัญญัติและเขาถือว่าคนที่ไม่ปฏิบัติตนเหมือนพวกเขาต้องเป็นคนเลวพระเยซูเจ้าไม่ทรงปฏิเสธว่ามีบาปและคนบาปอยู่ในโลกนี้เราจะเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงแก้ตัวให้พฤติกรรมฉ้อฉลของศักเคียสพระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์คิดเช่นนี้เมื่อพระองค์เรียกคนเหล่านี้ว่า“คนเจ็บไข้”
สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงประณามคือข้ออ้างของชาวฟาริสีซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันเหมือนกับในอดีตว่าเขาสามารถตัดสินด้วยตนเองว่าอะไรคือความชอบธรรมและเขาใช้เกณฑ์นั้นตัดสินว่าผู้อื่น“เป็นขโมยอยุติธรรมล่วงประเวณี” (ลก 18:11) และไม่คิดด้วยว่าคนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้นักบุญเปาโลพูดถึงคนที่ปกป้องบทบัญญัติอย่างไม่ลืมหูลืมตาและบอกว่าบ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ทำสิ่งที่เขาตำหนิว่าผู้อื่นทำ (รม 2:17-24) วิธีที่ลูกาเกริ่นไว้ก่อนเล่าอุปมาเรื่องชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น“พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” (ลก 18:9) พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบุคคลที่ประณามคนบาปอย่างเหยียดหยามมากกว่าทรงตำหนิคนบาป
2. “ศักเคียสรีบลงมาเถิด”
เราจะไตร่ตรองเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงพบกับคนบาปเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในบ้านของศักเคียสที่ลูกาเล่าไว้ในบทที่ 19 เหตุการณ์นี้มีสองฉากและเกิดขึ้นในสองสถานที่ฉากหนึ่งเกิดขึ้นในที่สาธารณะอีกฉากหนึ่งเกิดขึ้นภายในบ้านเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นท่ามกลางประชาชนจำนวนมากอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นระหว่างพระเยซูเจ้าและศักเคียส
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองเยรีโคและไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์เสด็จมาเยือนเมืองนี้ครั้งนี้เมื่อพระองค์เสด็จเข้าใกล้เมืองพระองค์ทรงรักษาชายตาบอดคนหนึ่ง (ดูลก 18:35) ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีประชาชนจำนวนมากมารอคอยพระองค์ที่นั่นศักเคียสเป็น“หัวหน้าคนเก็บภาษีเป็นคนมั่งมี” (19:2) เนื่องจากเขาเป็นคนร่างเตี้ยเขาจึงปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศที่ขึ้นอยู่ตามทางที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จผ่านเพื่อให้มองเห็นพระองค์ได้ถนัดขึ้น (ที่ประตูเมืองเยรีโคประชาชนในวันนี้ยังชี้ต้นมะเดื่อเทศที่เก่าแก่และบอกว่าอาจเป็นต้นมะเดื่อเทศของศักเคียสก็ได้) และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่นทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า‘ศักเคียสรีบลงมาเถิด
เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้’ เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดีทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า‘เขาไปพักที่บ้านคนบาป’” (19:5-7)
ประชาชนเหยียดหยามศักเคียสเพราะเขาทุจริตเรื่องเงินทองและอำนาจและบางทีอาจดูถูกเขาเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ยด้วยศักเคียสเป็นเพียง“คนบาป” คนหนึ่งในสายตาของประชาชนในขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่บ้านของเขาพระองค์ทรงละทิ้งฝูงชนที่นิยมชมชอบและต้อนรับพระองค์เข้าสู่เมืองเยรีโคและเสด็จไปเยี่ยมบ้านของศักเคียสทรงปฏิบัติเหมือนกับชุมพาบาลที่ดีผู้ทิ้งแกะ 99 ตัวเพื่อไปตามหาแกะตัวที่ 100 ที่หลงทางสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดสำหรับพระเยซูเจ้าคือศักเคียสเป็น“บุตรคนหนึ่งของอับราฮัม” (ลก 19:9)
ในวันอาทิตย์ที่อ่านพระวรสารตอนนี้ (วันอาทิตย์ที่ 31 ในเทศกาลธรรมดาปี C) บทอ่านก่อนหน้านั้นกล่าวถึงความสงสารของพระเจ้า
แต่พระองค์ทรงเมตตาทุกคนเพราะพระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้
และทรงมองข้ามบาปของมนุษย์เพื่อให้เขาสำนึกผิด
เพราะพระองค์ทรงรักทุกสิ่งที่ดำรงอยู่
และไม่ทรงรังเกียจสิ่งใดที่พระองค์ทรงสร้าง (ปชญ 11:23-24)
ดังนั้นพระเยซูเจ้าทรงกำลังทำอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ทรงต้อนรับบุคคลที่ถูกกีดกันจากระบบทางการเมือง (คนยากจนและคนที่ถูกกดขี่) หรือคนที่ถูกผลักไสจากระบบศาสนา (คนนอกศาสนาคนเก็บภาษีและโสเภณี) บุคคลที่ยอมรับไม่ได้เมื่อเห็นพระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ย่อมตัดขาดตนเองจากความรอดพ้นเมื่อเขาต้องการเลือกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเขาจึงกลายเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกปฏิบัติเสียเองเมื่อมองในแง่นี้ดูเหมือนว่าอุปมาเรื่องคนเก็บภาษีและชาวฟาริสีเป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงๆในชีวิตของศักเคียสในเรื่องอุปมานั้นพระเจ้าทรงทำให้คนเก็บภาษีที่สำนึกผิดกลับกลายเป็นคนชอบธรรมและทรงส่งชาวฟาริสีกลับไปบ้านแบบมือเปล่าในกรณีนี้พระเยซูเจ้าทรงนำความรอดพ้นมาสู่บ้านของศักเคียสและทรงละทิ้งประชาชนผู้ทะนงตนและมือถือสากปากถือศีลให้ยืนบ่นอยู่ข้างนอก
เราจะเข้าไปภายในบ้านกับพระเยซูเจ้าและศักเคียสและได้ยินเรื่องส่วนที่เหลือ“ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า‘พระเจ้าข้าข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจนและถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมาข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า‘วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้วเพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วยบุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น’” (ลก 19:8-10)
Meditatio :มองชีวิตของเราโดยมีพระวาจานำทาง
3. ความเมตตา (มิใช่คำตำหนิ) นำมาซึ่งอัศจรรย์
ขอให้เราหยุดพักเพื่อไตร่ตรองเหตุการณ์นี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นประชาชนเหยียดหยามคนเก็บภาษีเพราะหลายเหตุผลคนเหล่านี้ฐานะดีและไม่ซื่อสัตย์จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนเกลียดและอิจฉาบุคคลที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาต้องจ่ายภาษีอย่างไม่เป็นธรรม
ศักเคียสเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีเขาได้ยินเสียงเล่าลือเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นประกาศกที่แตกต่างจากประกาศกอื่นๆเขาจึงต้องการเห็นพระองค์และคงไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเขาสนใจพระองค์จริงๆแม้ว่าอาจเร็วเกินไปที่จะคิดว่าเขามีความปรารถนาจะกลับใจเนื่องจากศักเคียสเป็นคนร่างเตี้ยเขามองเห็นอะไรไม่มากนักเขาจึงปีนขึ้นต้นไม้พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงและทรงมองขึ้นไปพระวรสารแย้มไว้หลายครั้งว่าสายพระเนตรของพระเยซูเจ้าดูเหมือนมีพลังอัศจรรย์และสื่อสารได้มากกว่าคำพูดและพระองค์ทรงเรียกศักเคียสด้วยชื่อของเขา
เราอาจคิดว่าก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงประกาศว่าศักเคียสได้รับการอภัยเขาควรปฏิบัติตามเงื่อนไขห้าข้อที่ต้องปฏิบัติก่อนจะได้รับการอภัยบาปคือสำรวจมโนธรรมสำนึกผิดตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกต่อไปสารภาพบาปและทำกิจใช้โทษบาปแต่ในกรณีนี้ศักเคียสไม่ได้ทำอะไรเช่นนี้เลยพระเยซูเจ้าตรัสว่า“ศักเคียสรีบลงมาเถิดเพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” (ลก 19:5) ประเด็นสำคัญในที่นี้คือความเร่งด่วนเขาต้องต้อนรับพระองค์ในเวลานี้พระองค์ทรงต้องการใช้เวลาอยู่กับศักเคียสและไม่เพียงทรงเดินผ่านบ้านของเขาเพื่อให้เห็นว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหนพระองค์ทรงต้องการเข้าไปในบ้านของศักเคียสพักอยู่ในบ้านนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเสวยอาหารที่นั่นและบางทีอาจทรงพักแรมที่นั่นด้วย
พระเยซูเจ้าทรงเปิดโอกาสให้พระองค์ถูกตำหนิและอาจทรงได้รับอันตรายได้เพราะพระองค์ทรงยอมเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้มีมลทินเราได้เห็นว่าเปโตรลังเลใจที่จะเข้าไปในบ้านของโครเนลีอัสนายร้อยในกองทหารโรมันเพราะไม่ต้องการให้ตนเองมีมลทิน (ดูกจ 10) นี่เป็นปฏิกิริยาปกติเพราะการทำเช่นนั้นอาจเป็นที่สะดุดได้พระเจ้าทรงพบกับคนบาปในบ้านของเขาและไม่ทรงตั้งเงื่อนไขใดๆให้เขาปฏิบัติก่อนพระองค์ไม่ทรงขอให้เขาชำระตนเองให้สะอาดตามธรรมบัญญัติของโมเสสพระองค์ไม่ทรงขอให้เขาละทิ้งอาชีพที่ไม่น่านับถือของเขาหรือให้เขาทำกิจใช้โทษบาป
แต่ศักเคียสสามารถมองเห็นความรักในสายพระเนตรของพระเยซูเจ้าได้พระเยซูเจ้าทรงเคยมองเศรษฐีหนุ่มเช่นนี้เหมือนกัน (ดูมก 10:21) และสายพระเนตรนั้นกระทบจิตใจของศักเคียสทำให้เขาเปี่ยมล้นด้วยความยินดีเขายินดีต้อนรับบุคคลที่มอบความรักอย่างปราศจากเงื่อนไขแก่เขาเขายอมให้ความรักนี้ไหลท่วมตัวเขาความรักนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขากลับมีชีวิตและกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเขาไม่รู้สึกอีกต่อไป
ว่าตนเองอยู่ในหมอกแห่งความรังเกียจซึ่งเป็นความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจแม้แต่ในเวลาที่เขาอยู่กับเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา
ศักเคียสเข้าใจทันทีว่าถ้าเขาต้องการให้ความรักนี้มีชีวิตและให้ชีวิตแก่เขาเขาต้องยอมให้ความรักนี้ไหลเข้าท่วมทั้งชีวิตของเขาเขาจำเป็นต้องยอมให้ความรักนี้มีอิทธิพลเหนือทุกความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเพื่อนมนุษย์ดังนั้นแม้ว่าพระเยซูเจ้าไม่ทรงเรียกร้องสิ่งใดจากเขาศักเคียสก็เต็มใจประกาศว่าเขาจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจนและถ้าเขาเคยเก็บภาษีจากผู้ใดอย่างไม่เป็นธรรมเขาจะคืนให้เป็นสี่เท่า
นี่คือการชดเชยความผิดอย่างแท้จริงแต่เป็นการชดเชยในระดับความสัมพันธ์กับมนุษย์ในแง่ของความยุติธรรมระหว่างมนุษย์และนี่คือสิ่งที่ทำให้การชดเชยของเขาสมควรได้รับความเคารพแต่ศักเคียสไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะเป็นเงื่อนไขที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้นเพื่อให้เขาได้รับความรักจากพระองค์แต่เป็นผลที่เกิดจากความรักนั้นศักเคียสได้รับความรักก่อนและเป็นความรักที่พระองค์ทรงมอบให้เขาอย่างเต็มพระทัยเขาจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องหันไปหาผู้อื่นผู้ที่เขาเคยฉ้อโกงมาจนถึงเวลานั้นและเขาเรียนรู้ที่จะเคารพและรักคนเหล่านั้นความเมตตาของพระเจ้าทำงานเช่นนี้และขอให้เราอย่าได้ลืมเราเรียนรู้ที่จะรักเมตตาเพื่อนพี่น้องด้วยความเมตตาของพระเจ้าแล้วหรือ....
Oratio (ช่วงสนทนากับพระเจ้าหลังจากที่ได้อ่านพระวาจาและอ่านชีวิตของเราแล้ว)
________________________________________________________________
Contemplatio (อยู่กับพระวาจา)
“บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น” (ลก 19:10)
ให้เราใคร่ครวญประโยคนี้โดยพูดซ้ำบ่อยๆ
__________________________________________________________________