มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2023 น.ยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                           ยนา 4:1-11

       โยนาห์ไม่พอใจอย่างมากและมีความโกรธเคือง เขาอธิษฐานภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในแผ่นดินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดแล้วมิใช่หรือว่าจะเป็นไปเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงรีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และกลับพระทัยไม่ลงโทษ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเถิด เพราะข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านต้องโกรธขนาดนี้เทียวหรือ”

      โยนาห์จึงออกจากเมืองไปนั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง เขาสร้างเพิงแล้วไปนั่งในร่มที่นั่น คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงจัดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์เพื่อให้ร่มบังศีรษะของเขา ทำให้เขาคลายความกลัดกลุ้ม โยนาห์จึงยินดียิ่งนักเพราะต้นละหุ่งต้นนี้ แต่วันต่อมาเมื่อตะวันขึ้น พระเจ้าทรงจัดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้นจนเหี่ยวไป เมื่อตะวันขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงจัดให้ลมตะวันออกที่ร้อนจัดพัดมา แสงแดดก็แผดเผาศีรษะของโยนาห์จนเป็นลม เขาจึงทูลขอให้ตาย พูดว่า “ข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโยนาห์ว่า “ท่านต้องโกรธขนาดนี้เพราะต้นละหุ่งต้นนั้นเทียวหรือ” โยนาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าโกรธมากจนอยากตาย” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านสงสารต้นละหุ่งต้นนั้นที่ท่านไม่ได้ลงแรงปลูกหรือทำให้มันงอกขึ้น มันโตขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว แล้วเราจะไม่ต้องสงสารกรุงนีนะเวห์นครยิ่งใหญ่นั้น ซึ่งมีประชาชนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคนที่แยกไม่ออกว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วยละหรือ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 11:1-4

        วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า

          ‘ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ

                     พระอาณาจักรจงมาถึง

          โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน

                     โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

          เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น

                     โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ’”

 

ข้อคิด

     ในบทอ่านที่ 1 โยนาห์ภาวนาต่อพระเจ้าโดยเรียกพระนามของพระองค์ว่า “ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า” ในพระวรสาร  พระเยซูเจ้าบุตรของพระเจ้าสอนให้เราเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” และนี่คือ “ข่าวดี” ของเรา จากการเป็นบุคคลที่อยู่ห่างไกลจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า  โดยพระเยซูเจ้า  เราแต่ละคนที่เป็นคนบาป  ที่ไม่สมควรได้กลายมาเป็น “บุตร” ของพระเจ้า  และการเป็นบุตรนี้  ทำให้เรามีส่วนในพระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์เช่นกัน  ดังนั้น  ให้เราขอบคุณพระเป็นเจ้าสำหรับความรักเมตตาของพระองค์ที่ทรงรักเรา  แม้เราจะไม่สมควร และขอให้เราเลียนแบบอย่างความรักของพระองค์ในการรักบุคคลอื่นเช่นกัน

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2023 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                           ยนา 3:1-10

        องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนต่ำต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับข้าราชบริพารชั้นสูงว่า “ทั้งคนและสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากินหญ้าหรือดื่มน้ำเลย ทั้งคนและสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำที่รุนแรง ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 10:38-42

      เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

ข้อคิด

     ไม่ใช่การทำงานของมารธาที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิ  การทำงานในตัวมันเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี  แต่สิ่งที่เป็นข้อคิดสำหรับเราในวันนี้คือ ขณะที่มารีย์กำลัง “ฟัง” พระเยซูเจ้าส่วนมารธากำลัง “สั่ง”พระองค์ให้ทำโน่น  นี่  นัั่น  ตามที่มารธาต้องการ  และนี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราในวันนี้  ท่าทีที่เราต้องมีต่อหน้าพระเจ้าคือ “การฟัง” ขอพระเป็นเจ้าได้อวยพรเราให้สามารถมีใจที่เปิดรับฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติในชีวิตของเรา

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2023 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                          อสย 5:1-7

          ข้าพเจ้าอยากร้องเพลงถึงเพื่อนรักของข้าพเจ้า เป็นเพลงเกี่ยวกับเพื่อนรักและสวนองุ่นของเขา เพื่อนรักของข้าพเจ้าเคยมีสวนองุ่นแปลงหนึ่ง อยู่บนเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์เขาขุดดิน เก็บก้อนหินออกจนหมด แล้วจึงปลูกองุ่นชนิดดีไว้ เขาสร้างหอเฝ้าไว้กลางสวน สกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ที่นั่นด้วย เขารอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น แต่สวนนั้นผลิตผลองุ่นเปรี้ยว

          เพื่อนรักของข้าพเจ้าพูดว่า “บัดนี้ ชาวกรุงเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์เอ๋ย จงตัดสินระหว่างฉันกับสวนองุ่นของฉันเถิด มีอะไรอีกที่ฉันจะทำได้เพื่อสวนองุ่นของฉัน แต่ยังไม่ได้ทำ ขณะที่ฉันรอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น ทำไมสวนจึงผลิตผลองุ่นเปรี้ยว บัดนี้ ฉันอยากบอกให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ฉันจะทำอะไรกับสวนองุ่นของฉัน ฉันจะรื้อรั้วหนามออก แล้วสวนจะกลับเป็นทุ่งหญ้า ฉันจะพังกำแพงที่ล้อมลง แล้วสวนจะถูกเหยียบย่ำ ฉันจะปล่อยให้สวนรกร้าง จะไม่มีใครลิดกิ่งหรือพรวนดิน ต้นหนามและกอหนามจะงอกขึ้น ฉันจะสั่งเมฆไม่ให้โปรยฝนรดสวนนั้น”

          ฟังเถิด สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล ชาวยูดาห์เป็นสวนที่พระองค์โปรดปราน พระองค์ทรงหวังความยุติธรรม กลับทรงพบแต่การนองเลือด ทรงหวังความชอบธรรม กลับทรงพบเสียงร้องให้ช่วย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี          ฟป 4:6-9

        พี่น้อง อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่านโดยคำอธิษฐาน การวอนขอพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใดประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสิ่งใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟังและได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตกับท่าน

 

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว         มธ 21:33-43

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’

          เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า

          หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น

                    ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม

          องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น

                     เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก

          ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”

 

ข้อคิด

     เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้  ผู้ฟังเข้าใจทันทีว่าพระองค์ต้องการหมายถึงใคร  สวนองุ่นคือชนชาติอิสราเอล  เจ้าของคือ พระเจ้า   คนเช้าสวนคือบรรดาผู้นำศาสนาของชาวอิสราเอล  เพราะได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ของชาติ  บรรดาผู้รับใช้ที่เป็นเจ้าของสวนส่งไปเป็นระยะๆ  คือบรรดาประกาศกที่ชาวยิวบางครั้งไม่ต้อนรับ  และบางครั้งถึงกับฆ่าทิ้งเลยทีเดียว  และสุดท้ายบุตรของเจ้าของสวน  ได้แก่  พระเยซูเจ้าเอง  ข้อคิดสำหรับพระวรสารในวันนี้ คือ  เราแต่ละคนได้รับอภิสิทธิ์ในสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับเราแล้ว  นอกจากนั้น เรายังมีเสรีภาพในการเลือกทำ  หรือไม่ทำอะไรก็ได้  แต่สุดท้าย  เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกนั้นด้วย  ดังนั้น  ขอให้เราตระหนักในความจริงที่พระวรสารสะท้อนในวันนี้  คือ พระเจ้าทรงไว้วางใจเราแต่ละคนให้เราดำเนินชีวิตตามเสรีภาพที่เราแต่ละคนได้รับ  โดยการเลือกอย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพการเป็นคริสตชนของเรา

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2023 น.ดิโอนีซิโอ และเพื่อนมรณสักขี น.ยอห์น เลโอนาร์ดี พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                           ยนา 1:1-2:2,11

 

         องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์บุตรของอามิททัยว่า “จงลุกขึ้น ไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศแก่เมืองนั้นว่าความชั่วของเขาขึ้นมาถึงเรา” แต่โยนาห์ลุกขึ้นหนีจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังเมืองทารชิช เขาลงไปถึงเมืองยัฟฟา และพบเรือลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช เขาจึงชำระค่าโดยสาร และลงเรือเดินทางพร้อมกับคนอื่นไปยังเมืองทารชิชให้พ้นจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า

          แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งลมแรงเหนือทะเลทำให้เกิดพายุใหญ่ในทะเล จนน่ากลัวว่าเรือจะอับปาง บรรดาลูกเรือมีความกลัว ต่างร้องหาเทพเจ้าของตน และโยนข้าวของในเรือลงทะเล เพื่อให้เรือเบาลง ส่วนโยนาห์ลงไปใต้ท้องเรือ นอนลงและหลับสนิท นายเรือมาหาเขา พูดว่า “อะไรกัน ท่านยังนอนหลับได้หรือ จงลุกขึ้น เรียกพระเจ้าของท่าน บางทีพระองค์จะทรงคิดถึงพวกเราบ้าง เราจะได้ไม่ต้องพินาศ” แล้วทุกคนพูดกันว่า “มาเถอะ เราจงจับสลากกัน เพื่อจะรู้ว่าใครเป็นเหตุทำให้ภัยนี้เกิดแก่เรา” เขาจึงจับสลาก สลากก็ตกแก่โยนาห์ เขาเหล่านั้นจึงถามโยนาห์ว่า “บอกเราซิว่า ทำไมท่านจึงเป็นเหตุให้ภัยนี้เกิดแก่เรา ท่านทำอาชีพอะไร ท่านมาจากไหน แผ่นดินของท่านอยู่ที่ไหน ท่านเป็นชนชาติใด” เขาจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวฮีบรู ข้าพเจ้านมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง” คนเหล่านั้นมีความกลัวมาก ถามเขาว่า “ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้” เพราะคนเหล่านั้นรู้แล้วว่าโยนาห์กำลังหนีจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาได้บอกแล้ว

          บรรดาลูกเรือจึงถามเขาว่า “เราจะต้องทำอย่างไรกับท่าน เพื่อทะเลจะได้สงบลงสำหรับเรา” เพราะทะเลยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น โยนาห์จึงตอบว่า “จงจับข้าพเจ้าโยนลงไปในทะเล ทะเลก็จะสงบลงสำหรับท่าน เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นความผิดของข้าพเจ้าที่พายุใหญ่เกิดขึ้นแก่ท่านเช่นนี้” พวกลูกเรือพยายามแจวเรืออย่างสุดกำลังเพื่อนำเรือกลับเข้าฝั่ง แต่ไม่สำเร็จ เพราะทะเลยิ่งปั่นป่วนต้านเขามากขึ้น เขาทั้งหลายจึงร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พูดว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายวอนขอพระองค์อย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องพินาศเพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย อย่าให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องรับผิดชอบความตายของผู้บริสุทธิ์ เพราะพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงกระทำตามที่พอพระทัย” เขาทั้งหลายจึงจับโยนาห์โยนลงไปในทะเล ความปั่นป่วนของทะเลก็สงบลง คนเหล่านั้นมีความกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งนัก เขาจึงถวายบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและบนบานต่อพระองค์

         องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์อยู่ในท้องปลาเป็นเวลาสามวันสามคืน จากท้องปลา โยนาห์อธิษฐานภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งปลาให้สำรอกโยนาห์ออกไว้บนแผ่นดินแห้ง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:25-37

          ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”

        ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้น ชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

ข้อคิด

     เพื่อนมนุษย์คือใคร  สำหรับพระเยซูเจ้า  เพื่อนมนุษย์คือ คนที่พร้อมช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกคน  แม้เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ก่อปัญหาขึ้นมาเองเหมือนคนที่ถูกโจรปล้นก็ตาม คนที่พร้อมช่วยเหลือทุกคนที่ขาดแคลน  ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด  จะเป็นมิตรหรือศรัตรูก็ตาม  และคนที่พร้อมช่วยผู้อื่นอย่าง  “เป็นรูปธรรม” เหมือนชาวสะมาเรียที่ไม่เพียงสงสาร  แต่ยังเดินเข้าหาคนที่เป็นศัตรู  สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสสั่งนักกฎหมายผู้นั้น  พระองค์ตรัสสั่งเราทุกคนเช่นกัน  “ท่านจงไปและกระทำเช่นเดียวกันเถิด”

วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2023 ระลึกถึงแม่พระแห่งลูกประคำ

บทอ่านจากหนังสือประกาศกบารุค                                          บรค 4:5-12,27-29

          ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงทำใจดีๆ ไว้ ท่านทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนยังคงระลึกถึงอิสราเอล พระเจ้าทรงขายท่านทั้งหลายให้แก่ชนต่างชาติ มิใช่เพื่อให้ท่านต้องพินาศ แต่พระองค์ทรงมอบท่านให้ศัตรู เพราะท่านทำให้พระองค์กริ้ว ท่านถวายบูชาแก่ปีศาจ ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า ท่านจึงทำให้พระผู้สร้างทรงพระพิโรธ ท่านลืมพระเจ้านิรันดรผู้ประทานอาหารแก่ท่าน ท่านทำให้กรุงเยรูซาเล็มที่เลี้ยงดูท่านต้องโศกเศร้า นครนี้จึงเห็นพระพิโรธจากพระเจ้าลงมาเหนือท่าน และพูดว่า

          “บรรดาเมืองรอบๆ ศิโยนเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงส่งความทุกข์ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้านิรันดร ทรงนำบุตรชายหญิงของข้าพเจ้าไปเป็นเชลย ข้าพเจ้าเคยเลี้ยงดูเขามาด้วยความยินดี แต่ต้องร้องไห้เป็นทุกข์เมื่อเขาต้องจากไป อย่าให้ผู้ใดยินดีเมื่อเห็นข้าพเจ้าต้องเป็นม่ายถูกทุกคนทอดทิ้ง ข้าพเจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวเพราะบาปของบรรดาบุตรที่หันหลังให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า

         ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี จงร้องหาพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ผู้ทรงทดลองท่านจะทรงระลึกถึงท่าน ใจของท่านเคยออกห่างจากพระเจ้าฉันใด จงกลับมาแสวงหาพระองค์เป็นสิบเท่าฉันนั้นเถิด เพราะพระองค์ผู้ทรงนำความชั่วร้ายมาเหนือท่าน จะประทานความรอดพ้นและความยินดีแก่ท่านตลอดไป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                             ลก 10:17-24

           เวลานั้น ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”

          ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใคร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใคร นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”

       แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

 

ข้อคิด

     สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้สอนเราเกี่ยวกับการสวดสายประคำว่า  เป็นวิธีการรำพึงภาวนาที่เรียบง่าย  ซึ่งทุกๆคนสามารถสวดภาวนาได้  ทุกครั้งที่เราสวดสายประคำ  เราแต่ละคนภาวนาต่อแม่พระ  ให้พระนางนำทางเราให้ใกล้ชิกับพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระนาง  เพื่อที่เราจะได้สามารถเลียนแบบอย่างพระองค์  ในการสวดสายประคำ  เราแต่ละคนรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจ  รู้จัก  และรักพระองค์มากยิ่งขึ้น  การสวดสายประคำเป็นวิธีการที่ทำให้เราเปิดตัวสู่พระเจ้า  เพื่อให้พระองค์ได้ทรงช่วยให้เราเอาชนะความเห็นแก่ตัวของเรา  และนำสันติมาสู่หัวใจของเรา  มาสู่ครอบครัว สังคม และโลกของเรา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown