วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2023 ระลึกถึง น.ปีโอที่ 10 พระสันตะปาปา
- รายละเอียด
- หมวด: สิงหาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 08 มีนาคม 2566 07:39
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 834
บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย วนฉ 2:11-19
ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า หันไปรับใช้พระบาอัลต่างๆ เขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษซึ่งทรงนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วติดตามเทพเจ้าอื่น ในบรรดาเทพเจ้าของชนชาติที่อยู่โดยรอบ เขากราบไหว้เทพเจ้าเหล่านี้ จึงทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้ว เขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าหันไปรับใช้พระบาอัลและพระอัชทาโรทต่างๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง ทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้รุกรานซึ่งเข้ามาปล้น ทรงขายเขาแก่ศัตรูที่อยู่โดยรอบ เขาต้านทานศัตรูไม่ได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ชาวอิสราเอลออกไปทำสงคราม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เขาพ่ายแพ้ ดังที่เคยตรัสและทรงสาบานไว้ เขาต้องลำบากมาก
แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้มีผู้วินิจฉัยหลายท่านมาช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้รุกราน แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟังผู้วินิจฉัยเหล่านี้ ทั้งยังขายตัวเหมือนหญิงแพศยา ไปนมัสการเทพเจ้าอื่น และกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น เขาหันเหอย่างรวดเร็วไปจากหนทางที่บรรดาบรรพบุรุษเคยเดิน เขาไม่ทำตามแบบอย่างของบรรพบุรุษที่เชื่อฟังบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้เขา พระองค์สถิตกับผู้วินิจฉัยผู้นั้น และทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตราบเท่าที่ผู้วินิจฉัยผู้นั้นมีชีวิตอยู่ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาสงสารเสียงคร่ำครวญของเขาที่มีความทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่เมื่อผู้วินิจฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าชนรุ่นก่อนๆ เสียอีก เขาติดตามเทพเจ้าอื่นไปรับใช้และกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ยอมเลิกกระทำเลวร้าย และดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนความประพฤติของตน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 19:16-22
เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้วยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก
ข้อคิด
อาจมีหลายคนที่เป็นเหมือนเด็กหนุ่มในพระวรสาร ที่คิดว่า ตนเองเป็นคนดีเพียงพอแล้ว โดยการได้ทำตามบทบัญญัติและทำกิจการดีมากมาย และไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้นก็ได้ "ยังขาดอะไรอีกหรือ" เป็นคำถามที่น่าสนใจ บางทีด้วยความร่ำรวยที่ตนเองมี การทำความดีต่างๆ ก็อาจจะไมใช่เรื่องยากเกินไปก็ได้ ยังไงอาจเรียกได้ว่านั่นคือ "การเสียสละ" นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตาให้คำอธิบายที่ชัดเจนว่า "คุณต้องให้สิ่งที่คุณต้องจ่ายราคาของมันบางอย่าง มันไม่ใช่แค่การให้สิ่งที่คุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีมัน แต่เป็นการให้สิ่งที่คุณไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีมันต่างหาก นั่นคือบางอย่างที่คุณธอบมันจริงๆ นั่นแหละ การให้ของคุณจึงจะเป็น "การเสียสละ" ซึ่งมีคุณค่าต่อพระพักตร์พระเจ้า การเสียสละใดจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อกระทำด้วยความรัก การให้จนกระทั่งเราเจ็บปวดนั่นแหละคือการเสียสละ หรือความรักด้วยการกระทำ"
วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2023 สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
- รายละเอียด
- หมวด: สิงหาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 08 มีนาคม 2566 07:23
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1044
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ วว 11:19ก และ 12:1-6ก,10กข
พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร
เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์”
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-27
พี่น้อง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า ทุกสิ่งถูกปราบอยู่ใต้อำนาจ ก็เป็นที่แน่ชัดว่า “ทุกสิ่ง” ในที่นี้ มิได้รวมพระเจ้าผู้ทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา ลก 1:39-56
หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
พระนางมารีย์ตรัสว่า
“วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอลผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป”
พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ
ข้อคิด
เมื่อเรารำพึงถึงชีวิตแสนประเสริฐของแม่พระ เราอาจบอกได้ว่าชีวิตของแม่พระเป็นชีวิต "เงียบๆ"เราไม่ค่อยได้พบคำพูดของแม่พระในพระวรสาร แต่เมื่อแม่พระพูดแต่ละครั้ง ก็นำไปสู่พระพร และความดีงามทั้งหลาย คำพูดตอนหนึ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อบทบาทของแม่พระในการช่วยให้รอดคือ ตอนที่แม่พระตรัสกับคนรับใช้ในงานแต่งงานที่เมืองคานาว่า "เขา(พระเยซูเจ้า)บอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด" ชีวิตของแม่พระคือคำสอนที่เตือนให้เรามีความเชื่อในพระคริสตเจ้า ผู้ซึ่งจะนำเราไปสู่ความรอด ในพระวรสารวันนี้แม่พระก็ใช้คำพูดส่วนใหญ่เพื่อเทิดเกียรติพระเจ้า มิใช่เพื่อยกย่องตนเองแม้แต่น้อย เป็นการแสดงถึงความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าสิ้นสุดชีวิตจิตใจ "วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า..." อย่างไรก็ตาม ชีวิตเงียบๆ ของแม่พระกลับเป็นคำสอนที่ "ดัง" มากสำหรับเราคริสตชน เพราะแสดงให้เข้าใจว่า"ความสุภาพถ่อมตน" นั้นให้ผลที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตของผู้มีความเชื่อ และแม่พระเองได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์อันเนื่องมาจากความสุภาพของแม่พระนั่นเอง สมกับคำสรรเสริญของพระนางว่า "ทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น"
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2023 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: สิงหาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 08 มีนาคม 2566 07:20
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1251
บทอ่านจากหนังสือโยชูวา ยชว 24:1-13
ในครั้งนั้น โยชูวารวบรวมทุกเผ่าของอิสราเอลที่เมืองเชเคม และเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลพร้อมกับบรรดาผู้นำ ผู้วินิจฉัยและนายทหารทุกคนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โยชูวาบอกประชากรทั้งหมดว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ ‘นานมาแล้ว บรรพบุรุษของท่าน คือเทราห์บิดาของอับราฮัมและบิดาของนาโฮร์ อาศัยอยู่ฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส และรับใช้เทพเจ้าอื่น เรานำอับราฮัมบรรพบุรุษของท่านมาจากฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส และนำเขาเดินผ่านแผ่นดินคานาอันทั้งหมด เราทวีจำนวนลูกหลานของเขา ให้เขามีบุตรชื่ออิสอัค เราให้อิสอัคมีบุตรสองคนชื่อยาโคบและเอซาว เราให้เอซาวครอบครองแผ่นดินแถบภูเขาเสอีร์ ส่วนยาโคบและบรรดาบุตรอพยพไปอยู่ในอียิปต์ ต่อมา เราส่งโมเสสและอาโรน เราให้อียิปต์ต้องประสบภัยพิบัติเพราะปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่เราได้ทำที่นั่น แล้วเราได้นำท่านทั้งหลายออกมา เรานำบรรพบุรุษของท่านออกจากอียิปต์ และท่านก็มาถึงทะเล ชาวอียิปต์ใช้รถศึกและทหารม้าไล่ตามบรรพบุรุษของท่านมาจนถึงทะเลต้นกก บรรพบุรุษของท่านร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ทรงบันดาลให้ความมืดมิดคั่นอยู่ระหว่างท่านกับชาวอียิปต์ และได้ทำให้ทะเลไหลกลับท่วมพวกเขา ท่านทั้งหลายได้เห็นด้วยตาแล้วว่าเราได้ทำอะไรกับชาวอียิปต์ แล้วท่านได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานาน เรานำท่านเข้าในแผ่นดินของชาวอาโมไรต์ ซึ่งอาศัยอยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน เขาทั้งหลายทำสงครามกับท่าน แต่เรามอบเขาไว้ในมือของท่าน ท่านจึงยึดครองแผ่นดินของเขา และเราทำลายเขาต่อหน้าท่าน เมื่อบาลาคบุตรของศิปโปร์ กษัตริย์ของชาวโมอับ ทรงเตรียมทำสงครามกับอิสราเอล และทรงส่งคนไปเรียกบาลาอัมบุตรของเบโอร์ให้มาสาปแช่งท่าน เราไม่ฟังบาลาอัม แต่เขาต้องอวยพรท่าน เราจึงช่วยท่านให้รอดพ้นจากมือของเขา
ต่อมา ท่านทั้งหลายได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงเมืองเยรีโค ชาวเมืองเยรีโค ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเกอร์กาซี ชาวฮีไวต์และชาวเยบุสทำสงครามกับท่าน แต่เรามอบเขาเหล่านั้นไว้ในมือของท่าน เราส่งตัวต่อนำหน้าท่านเพื่อขับไล่กษัตริย์ชาวอาโมไรต์สองพระองค์ต่อหน้าท่าน ชัยชนะนี้ไม่ได้เป็นผลงานจากดาบหรือธนูของท่านเลย เรามอบแผ่นดินแก่ท่าน ซึ่งท่านไม่ต้องออกแรงทำงาน มอบเมืองที่ท่านไม่ได้สร้าง แต่ท่านเข้ามาอาศัยอยู่ ท่านกินผลผลิตจากสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศที่ท่านไม่ได้ปลูก’”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 19:3-12
เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม”
พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้าง แล้วหย่าร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด”
ข้อคิด
พระสันตะปาปาฟรังชิสเทศน์สอนคู่สมรสในวันวาเลนไทน์ปี 2014 ว่า "การแต่งงานก็เหมือนกับการสร้างบ้าน คุณคงไม่อยากสร้างบ้านบนทรายที่อ่อนยวบยาบแห่งอารมณ์ แต่คงอยากสร้างบนหินแกร่งแห่งความรักแท้ นั่นคือความรักที่มาจากพระเจ้า" พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า "สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมไว้ มนุษยอย่าได้แยกเลย" รวมความหมายไว้ด้วยว่า จงอย่าให้อะไรก็ตามที่มาจากจิตตารมณ์ฝ่ายโลก หรือความอ่อนแอและกิเลสตัณหาตามประสามนุษย์เอาชนะความรักของพระเจ้าได้
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2023 น.ยอห์น เอิ๊ด พระสงฆ์
- รายละเอียด
- หมวด: สิงหาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 08 มีนาคม 2566 07:22
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 844
บทอ่านจากหนังสือโยชูวา ยชว 24:14-29
ในครั้งนั้น โยชูวากล่าวแก่ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “บัดนี้ จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์อย่างเต็มเปี่ยม จงกำจัดเทพเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ทางฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติสและในอียิปต์ จงมารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด แต่ถ้าท่านรังเกียจที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า วันนี้ จงเลือกว่าท่านต้องการรับใช้พระเจ้าองค์ใด จะรับใช้เทพเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยรับใช้ทางฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส หรือเทพเจ้าทั้งหลายของชาวอาโมไรต์ที่ท่านเข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขา ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า พวกเราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า”
ประชากรตอบว่า “ไม่มีวันที่เราจะละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อไปรับใช้เทพเจ้าอื่น เพราะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราที่ทรงนำเราและบรรพบุรุษที่นี่ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส และทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่อหน้าต่อตาเรา และทรงพิทักษ์รักษาเราตลอดทางที่เราเดินและในหมู่ประชาชาติทั้งหลายที่เราผ่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ทั้งหลาย รวมทั้งชาวอาโมไรต์ซึ่งเคยอยู่ในแผ่นดินออกไปต่อหน้าเรา เราด้วยจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา”
โยชูวาบอกประชากรว่า “ท่านทั้งหลายจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ไม่ทรงยอมให้มีคู่แข่ง พระองค์จะไม่ทรงอภัยความผิดและบาปของท่าน ถ้าท่านทอดทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไปรับใช้เทพเจ้าของชนต่างชาติ พระองค์จะทรงหันมาลงโทษท่าน และแม้เคยทรงกระทำดีต่อท่านมามากแล้วในอดีต พระองค์ก็จะทรงทำร้ายท่านและจะทรงทำลายล้างท่าน” ประชากรตอบโยชูวาว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น เราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า” โยชูวาจึงตอบว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานคาดโทษตนเองว่าท่านได้เลือกองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อรับใช้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “เราเป็นพยาน ดังนั้น จงกำจัดเทพเจ้าของชนต่างชาติซึ่งอยู่ในหมู่ท่าน และน้อมจิตใจของท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของอิสราเอลเถิด”ประชากรตอบโยชูวาว่า “เราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา และจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว”
วันนั้นที่เมืองเชเคม โยชูวาทำพันธสัญญาสำหรับประชากร วางข้อกำหนดและคำสั่งไว้สำหรับเขา โยชูวาเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า เขานำหินใหญ่ก้อนหนึ่งมาตั้งไว้ที่นั่น ใต้ต้นโอ๊กซึ่งอยู่ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วโยชูวาบอกประชากรทั้งหมดว่า “ดูเถิด หินก้อนนี้จะเป็นสักขีพยานสำหรับเรา เพราะมันได้ยินทุกถ้อยคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา มันจะเป็นพยานกล่าวโทษท่าน ถ้าท่านปฏิเสธพระเจ้าของท่าน” แล้วโยชูวาจึงปล่อยประชากรกลับบ้าน ทุกคนต่างกลับไปยังแผ่นดินที่เป็นมรดกของตน
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ โยชูวาบุตรของนูนผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยสิบปี
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 19:13-15
ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูเจ้าทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น
ข้อคิด
"อาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็ก" หมายความว่า สวรรค์เป็นของผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ซื่อตรง และซื่อสัตย์ ผู้ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะพบว่า ต้องมีการต่อสู้มากเหลือเกินเพื่อที่จะรักษาความบริสุทธิ์ในจิตใจ รวมถึงความซื่อตรงและซื่อสัตย์ไว้ได้ การต่อสู้นั้นหมายถึงการต่อสู้กับกิเลสตัณหาในตัวตนเอง นักบุญเอากุสตินสอนว่า "ไม่มีการรักษาใดที่ทรงพลังเหนือไฟราคะแห่งกามารมณ์ ที่เทียบเท่าได้กับการระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ในความยากลำบากทั้งสิ้นทั้งมวลของข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดมีประสิทธิภาพเท่ากับรอยแผลของพระคริสตเจ้า ในรอยแผลของพระองค์นั้น ข้าพเจ้านอนหลับอย่างสบาย จากรอยแผลของพระองค์ ข้าพเจ้าได้มาซึ่งชีวิตใหม่" นอกจากนี้ นักบุญเอากุสตินยังเตือนด้วยว่า "การหมกมุ่นในตัณหาจะกลายเป็นนิสัย และนิสัยทีไม่ยับยั้งไว้จะกลายเป็นความจำเป็น"
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2023 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: สิงหาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 08 มีนาคม 2566 07:19
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1181
บทอ่านจากหนังสือโยชูวา ยชว 3:7-10ก,11,13-17
ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โยชูวาว่า “วันนี้ เราจะทำให้ท่านยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวอิสราเอลทุกคน เพื่อเขาจะรู้ว่า เราจะอยู่กับท่านเหมือนที่เราเคยอยู่กับโมเสส บัดนี้ จงสั่งสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ท่านจะต้องหยุดอยู่ในแม่น้ำ’” แล้วโยชูวากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้ๆ และฟังพระวาจาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน” โยชูวากล่าวอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงชีวิตสถิตในหมู่ท่านจากการนี้ พระองค์จะทรงขับไล่ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเปริสซี ชาวเกอร์กาซี ชาวอาโมไรต์และคนเยบุสออกไปต่อหน้าท่านอย่างแน่นอน ดูเถิด หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดกำลังจะเคลื่อนนำหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน
ทันทีที่สมณะผู้แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของแผ่นดินทั้งหมด ก้าวเหยียบลงในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะแยกออก น้ำที่ไหลลงมาจากตอนบนจะหยุดไหลเหมือนกับเป็นมวลน้ำเดียวกัน”
ดังนั้น เมื่อประชากรรื้อค่ายเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน บรรดาสมณะแบกหีบพันธสัญญาขึ้นนำหน้าประชากร แม่น้ำจอร์แดนจะเต็มฝั่งตลอดฤดูเก็บเกี่ยว แต่ทันทีที่ผู้แบกหีบพันธสัญญาถึงแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของบรรดาสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาแตะน้ำ น้ำตอนบนก็หยุดนิ่ง และรวมตัวขึ้นเป็นมวลเดียวเป็นระยะทางไกลตรงที่เรียกว่าอาดัม ใกล้เมืองศาเรธาน ในขณะที่น้ำส่วนที่ไหลลงสู่ทะเลอาราบาห์ ทะเลเกลือ ถูกแยกออกอย่างสิ้นเชิง ประชากรจึงข้ามแม่น้ำที่บริเวณตรงข้ามกับเมืองเยรีโค บรรดาสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหยุดยืนบนพื้นดินแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน ขณะที่ชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำบนพื้นดินแห้งจนกระทั่งชนทั้งชาติได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนครบทุกคน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 18:21-19:1
เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน
ข้อคิด
เรื่องที่ชายคนนั้นไม่ยอมยกหนี้แม้เล็กน้อยให้เพื่อน หลังจากที่ได้รับการยกหนี้มหาศาลของตน ทำให้นึกถึงคำเตือนสอนของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูว่า "ถ้าสิ่งนี้คือวิธีที่คุณปฏิบัติต่อเพื่อนของคุณ ก็ไม่แปลกเลยที่คุณจะมีศัตรูมากมาย" และชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยศัตรูนั้นยอมไม่พบความสุขสงบได้ นักบุญอาวิลลา สอนว่า "จงอ่อนโยนกับทุกคน และเคร่งครัดกับตนเอง" ผู้คนไม่น้อยโดยเฉพาะผู้มีอำนาจหรือผู้ใหญ่มีความโน้มเอียงที่จะคอยเอาแต่เคร่งครัดกับคนอื่น แต่ไม่เคร่งครัดกับตนเอง การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมไม่ก่อให้เกิดการยอมรับ หรือศรัทธา เป็นคำสอนที่ขาดพลังอำนาจ คำว่า "หนี้" ในพระวรสารนั้นมีความหมายรวมถึง "ความผิด" หรือ "บาป" การอดทนต่อความผิดบาปของคนอื่น และการให้อภัยเป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของการเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า