มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2017 ระลึกถึงพระนางพรหมจารีมารีย์ถวายองค์ในพระวิหาร

บทอ่านจากหนังสือมัคคาบี ฉบับที่สอง                           2 มคบ 6:18-31
     ในครั้งนั้น เอเลอาซาร์ ธรรมาจารย์สำคัญคนหนึ่ง มีอายุมากแล้ว แต่ยังสง่างาม ถูกบังคับให้อ้าปากกินเนื้อหมู แต่เขายอมตายอย่างมีเกียรติดีกว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างน่าอับอาย จึงเต็มใจเดินไปยังสถานที่ทรมาน เขาถ่มเนื้อหมูทิ้ง ประพฤติตนเหมาะสมกับผู้ที่ไม่ยอมกินอาหารที่ธรรมบัญญัติห้าม แม้จะต้องเสียชีวิต ผู้มีหน้าที่ดูแลการเลี้ยงที่ผิดบทบัญญัตินั้นแยกเขาออกไปเพราะความคุ้นเคยที่มีมานานแล้ว และขอร้องให้นำเนื้อที่ธรรมบัญญัติอนุญาตให้กินได้มากิน แสร้งทำเป็นกินเนื้อที่ถวายบูชาแล้วตามที่กษัตริย์ทรงบัญชา ถ้าเขาทำเช่นนี้ เขาจะรอดตาย เขาได้รับความกรุณานี้เพราะมิตรภาพที่ยาวนาน แต่เอเลอาซาร์ตัดสินใจอย่างน่าชื่นชมเหมาะสมกับอายุและเกียรติของความเป็นผู้อาวุโสน่าเคารพ เหมาะสมกับชีวิตไม่มีตำหนิตั้งแต่เยาว์วัย และเหมาะสมกับธรรมบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จึงบอกทันทีให้นำตนไปประหารชีวิต “คนอายุอย่างเรานี้ไม่ควรจะเสแสร้งทำ เยาวชนหลายคนอาจจะคิดว่าเอเลอาซาร์อายุเก้าสิบปีแล้วยังเปลี่ยนใจไปดำเนินชีวิตอย่างคนต่างศาสนา ถ้าข้าพเจ้าจะเสแสร้งทำเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็จะเป็นเหตุให้เขาหลงผิด แล้วข้าพเจ้าจะมีมลทินได้รับความอับอายในวัยชรา บัดนี้ข้าพเจ้าอาจพ้นโทษทัณฑ์ของมนุษย์ได้ แต่จะหนีไม่พ้นพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพได้เลย ไม่ว่าข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสละชีวิตอย่างกล้าหาญ ณ บัดนี้ เพื่อแสดงว่าข้าพเจ้าสมควรกับวัยชรา จะได้เป็นตัวอย่างที่มีเกียรติให้เยาวชนเห็นว่าควรเต็มใจตายอย่างกล้าหาญเพื่อธรรมบัญญัติศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ”
     พูดเช่นนี้แล้ว เขาก็เดินไปยังสถานที่ทรมานทันที เมื่อผู้ที่นำเขาไปประหารชีวิตได้ยินคำพูดนี้ก็คิดว่าเอเลอาซาร์เสียสติ ผู้ที่เคยมีใจกรุณาต่อเขากลับเปลี่ยนใจเป็นศัตรู ขณะที่เอเลอาซาร์ถูกเฆี่ยนตีใกล้จะตาย เขาคร่ำครวญว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทรงทราบว่าข้าพเจ้าอาจรอดพ้นความตายได้ ข้าพเจ้าถูกเฆี่ยนตี ร่างกายถูกทรมานอย่างสาหัส แต่จิตใจอดทนรับการทรมานด้วยความยินดีและเคารพยำเกรงพระองค์”
เขาตายเช่นนี้ เป็นตัวอย่างความกล้าหาญและเป็นอนุสรณ์แห่งคุณธรรมทั้งแก่เยาวชนและแก่ประชากรส่วนใหญ่

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 19:1-10
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและช่วยคนเลวทรามให้รอดพ้น”

 

ข้อคิด
     การชดใช้ 4 เท่า เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายของชาวยิวสำหรับกรณีเดียวคือ ขโมยแกะ (อพยพ 21:37) กฎหมายโรมันกำหนดว่าขโมยต้องคืนของที่ขโมยมาให้สี่เท่า ถ้าถูกตัดสินว่าทำผิดจริง แต่ศักเคียสได้ทำมากกว่าที่มีกำหมดไว้ เขารู้สึกรับผิดชอบจะต้องชดใช้ความอยุติธรรมทุกอย่างที่เขาได้ทำ

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2017 ระลึกถึง น.เซซีลีอา พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือมัคคาบี ฉบับที่สอง                          2 มคบ 7:1,20-31
     เหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น มารดาและบุตรเจ็ดคนถูกจับกุม กษัตริย์ทรงพยายามบังคับเขาให้กินเนื้อหมูซึ่งธรรมบัญญัติห้ามกิน โดยใช้แส้เฆี่ยนตีทรมาน
     มารดาผู้นี้น่าชมเชยและน่าจดจำตลอดไป นางเห็นบุตรทั้งเจ็ดคนตายในวันเดียวกัน ยังอดทนด้วยใจกล้าหาญเพราะมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า นางมีความคิดสูงส่งอย่างยิ่ง มีความอ่อนโยนเยี่ยงสตรีและความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษ นางเตือนใจบุตรแต่ละคนเป็นภาษาของบรรพบุรุษว่า “แม่ไม่รู้ว่าลูกมาอยู่ในครรภ์ของแม่ได้อย่างไร แม่มิใช่ผู้ที่ให้ลูกมีลมหายใจและชีวิต แม่มิใช่ผู้ที่จัดโครงสร้างของลูกแต่ละคน แต่พระเจ้าผู้ทรงเนรมิตโลกทรงเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษยชาติและทรงเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่ง พระองค์จะทรงพระกรุณาประทานลมหายใจและชีวิตคืนให้แก่ลูก เพราะบัดนี้ลูกสละชีวิตของตนเพราะเห็นแก่ธรรมบัญญัติของพระองค์”
     กษัตริย์อันทิโอคัสทรงคิดว่านางดูถูกพระองค์ ทรงสงสัยว่าน้ำเสียงของนางแสดงการเยาะเย้ย เมื่อน้องชายคนเล็กยังไม่ตาย กษัตริย์ทรงสัญญาทั้งด้วยพระวาจาและด้วยคำสาบานว่า จะทรงให้เขาร่ำรวยและมีความสุขมาก ถ้าเขาละทิ้งขนบประเพณีของบรรพบุรุษ พระองค์จะทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นพระสหาย และจะทรงมอบตำแหน่งสูงให้ เมื่อทรงเห็นว่าชายหนุ่มไม่สนใจ จึงทรงเรียกมารดา ตักเตือนนางให้แนะนำบุตรเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ กษัตริย์ทรงรบเร้านางอยู่นาน นางจึงรับปากว่าจะชักชวนบุตร นางก้มลงที่ตัวบุตร ดูถูกกษัตริย์ผู้โหดร้าย พูดเป็นภาษาของบรรพบุรุษว่า “ลูกเอ๋ย สงสารแม่เถิด แม่อุ้มท้องลูกมาถึงเก้าเดือน ให้นมเลี้ยงลูกเป็นเวลาสามปี เลี้ยงดูและอบรมลูกมาจนถึงอายุเท่านี้ เอาใจใส่ลูกอย่างดีตลอดมา ลูกเอ๋ย แม่ขอร้องให้ลูกมองดูสวรรค์และแผ่นดินเถิด จงดูทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น แล้วลูกจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มิใช่จากสิ่งที่มีอยู่ก่อน มนุษยชาติก็เกิดขึ้นโดยวิธีเดียวกัน อย่ากลัวเพชฌฆาตผู้นี้ แต่จงแสดงตนเป็นผู้เหมาะสมกับพี่ๆ ของลูก จงยอมตาย เพื่อแม่จะได้รับลูกกลับคืนมาพร้อมกับพี่ๆของลูกในวันที่พระเจ้าจะทรงพระกรุณา”
     นางพูดยังไม่จบ ชายหนุ่มก็ร้องว่า “คอยอะไรอยู่เล่า ข้าพเจ้าไม่ฟังพระบัญชาของกษัตริย์ ข้าพเจ้าฟังแต่คำสั่งของธรรมบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่บรรพบุรุษผ่านทางโมเสส แต่พระองค์ผู้ทรงก่อให้เกิดเหตุร้ายทั้งหมดนี้แก่ชาวฮีบรู จะไม่ทรงพ้นจากพระหัตถ์พระเจ้าได้เลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 19:11-28
     เวลานั้น ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า พระองค์จึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า ‘จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’ แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา’
     แต่เขาก็ยังได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า’ นายจึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจปกครองเมืองสิบเมืองเถิด’ คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า’ นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้ ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ทำกำไรสิบเท่าเถิด’ คนเหล่านั้นพูดว่า ‘นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารชีวิตต่อหน้าข้า’”
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

 

ข้อคิด
     อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุน คล้ายอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ใน มัทธิว 25:14-30 แต่ก็มีความแตกต่างกันมาก
คริสตชนเป็นผู้รับใช้ที่พระเยซูเจ้าคาดหวังว่าจะใช้พระพรทุกอย่างที่พระองค์ประทานให้อย่างเต็มที่ เพื่อช่วยขยายพระอาณาจักร หรือทำธุรกิจให้เจริญขึ้น ท่านจะต้องรายงานให้นายทราบว่าได้จัดการกับเงิน (พระพร) ที่ได้รับฝากไว้อย่างไร

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2017 ระลึกถึง น.อันดรูว์ ดุง-ลัก พระสงฆ์และเพื่อนมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือมัคคาบี ฉบับที่หนึ่ง                           1 มคบ 4:36-37,52-59
     ในครั้งนั้น ยูดาสกับญาติพี่น้องปรึกษากันว่า “ศัตรูของเราถูกบดขยี้แล้ว เราจงไปชำระพระวิหารให้หมดมลทินเถิด จะได้ถวายแด่พระเจ้าอีก” คนทั้งกองทัพมาชุมนุมกัน แล้วขึ้นไปที่เนินเขาศิโยน
     ชาวอิสราเอลลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ยี่สิบห้า เดือนเก้า ซึ่งเป็นเดือนคิสเลฟ ปีหนึ่งร้อยสี่สิบแปดของศักราชกรีก เขาทั้งหลายมาถวายเครื่องบูชาตามธรรมบัญญัติบนพระแท่นเครื่องเผาบูชาที่เพิ่งสร้างใหม่ ในวันครบรอบปีที่ชนต่างชาติทำให้พระแท่นเป็นมลทิน เขาถวายพระแท่นบูชาใหม่แด่พระเจ้าด้วยการขับร้อง ดีดพิณ เป่าขลุ่ยและตีฉาบ ประชากรทุกคนกราบลงหน้าจรดพื้น นมัสการสรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานความสำเร็จ
     เขาฉลองการถวายพระแท่นบูชาเป็นเวลาแปดวัน ถวายเครื่องเผาบูชาด้วยความชื่นชม ทั้งยังถวายบูชาขอบพระคุณและสรรเสริญ เขาตกแต่งด้านหน้าพระวิหารด้วยมงกุฎทองคำและโล่เล็กๆ ซ่อมแซมประตูและห้องสมณะ ติดบานประตูใหม่ ประชากรทุกคนมีความยินดียิ่งเพราะความอับอายที่ชนต่างชาตินำมาให้นั้นถูกลบล้างไปแล้ว ยูดาสกับญาติพี่น้องและชาวอิสราเอลที่มาชุมนุมกัน กำหนดให้ทุกคนเฉลิมฉลองการถวายพระวิหาร ด้วยความยินดีตลอดเวลาแปดวันเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบห้า เดือนคิสเลฟ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 19:45-48
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับเขาว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร”
พระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และหัวหน้าประชาชนหาวิธีกำจัดพระองค์ แต่หาวิธีไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร เพราะประชาชนทุกคนกำลังตั้งใจฟังพระองค์

 

ข้อคิด
     ยูดาสกับญาติพี่น้อง (160 ก่อน ค.ศ.) ได้กบฏต่อกษัตริย์ซีเรีย ยึดพระวิหารคืนมา เพราะพระวิหารเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชาวยิว ถ้าไม่มีพระวิหาร ชาวยิวจะปฏิบัติตามธรรมบัญญัติโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ชนต่างชาติได้ยึดพระวิหาร และทำให้เป็นมลทิน เมื่อยูดาสมีชัยเหนือศัตรูแล้ว จึงรีบไปชำระและซ่อมแซมพระวิหาร
วันฉลองการถวายพระวิหาร เรียกว่า ฮันนุกกาห์ ในภาษาฮีบรู
พอมาในสมัยพระเยซูเจ้า ชาวยิวบางคนมาค้าขายในพระวิหาร พระองค์กล้าชำระพระวิหาร

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2017 น.เคลเมนต์ที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี น.โคลัมบัน เจ้าอธิการ

บทอ่านจากหนังสือมัคคาบี ฉบับที่หนึ่ง                           1 มคบ 2:15-29
     ในครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ที่กษัตริย์ทรงส่งมาบังคับประชาชนให้ละทิ้งศาสนาและถวายบูชาแด่รูปเคารพมาถึงเมืองโมดีน ชาวอิสราเอลจำนวนมากเข้าร่วมด้วย แต่มัทธาธีอัสกับบรรดาบุตรอยู่รวมกันอีกกลุ่มหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่กษัตริย์ทรงส่งมาจึงกล่าวแก่มัทธาธีอัสว่า “ท่านเป็นคนสำคัญ มีเกียรติ และยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาบุตรและญาติพี่น้อง ท่านจงออกมาเป็นคนแรก ปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์เถิด ดังที่ชนชาติต่างๆ ชาวยูดาห์และผู้คนที่เหลืออยู่ในกรุงเยรูซาเล็มทำกัน แล้วท่านกับบรรดาบุตรจะได้ชื่อว่าเป็นพระสหายของกษัตริย์ ท่านกับบรรดาบุตรจะมีเกียรติ ได้รับเงินทองและของประทานมากมาย”
     แต่มัทธาธีอัสร้องตอบเสียงดังว่า “แม้ชนชาติทั้งหมดในราชอาณาจักรของกษัตริย์จะปฏิบัติตามพระบัญชา ละทิ้งศาสนาของบรรพบุรุษ ยอมปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์ ข้าพเจ้ากับบรรดาบุตรและญาติพี่น้องจะดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาของบรรพบุรุษ ขอพระเจ้าทรงพระกรุณาอย่าให้เราละทิ้งธรรมบัญญัติและขนบประเพณีเลย เราจะไม่เชื่อฟังพระบัญชาของกษัตริย์ จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากศาสนาของเราแต่ประการใด”
     เมื่อเขาพูดจบ ชาวยิวคนหนึ่งออกมาต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อถวายเครื่องบูชาบนแท่นที่เมืองโมดีนตามพระบัญชาของกษัตริย์ มัทธาธีอัสเห็นเข้าก็โกรธ โทสะพลุ่งขึ้นเพราะความรักต่อธรรมบัญญัติ วิ่งไปฆ่าชายคนนั้นคาแท่นบูชา เขาฆ่าเจ้าหน้าที่ที่กษัตริย์ทรงส่งมาบังคับให้ถวายเครื่องบูชา และเขายังทำลายแท่นบูชาด้วย เขาทำเช่นนี้เพราะความรักต่อธรรมบัญญัติ ดังที่ฟีเนหัสเคยทำกับศิมรี บุตรของสาลู
     มัทธาธีอัสไปประกาศเสียงดังทั่วเมืองว่า “ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อธรรมบัญญัติ และยึดมั่นในพันธสัญญา จงตามข้าพเจ้ามาเถิด”
เขากับบรรดาบุตรหนีไปยังเขตภูเขา ละทิ้งข้าวของทั้งหมดไว้ในเมือง
ชาวยิวจำนวนมากที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม และปฏิบัติตามขนบประเพณีทางศาสนา ไปตั้งหลักฐานในถิ่นทุรกันดาร

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 19:41-44
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรงกันแสง ตรัสว่า “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติ ก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า”

 

ข้อคิด
     การเบียดเบียนศาสนาทำให้ชาวยิว (160 ก่อน ค.ศ.) ตื่นตัวปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัด ชาวยิวต่อต้านอารยธรรมกรีกด้วยหลายวิธีต่างกัน เช่นใช้ความรุนแรง (2:15-28) ต่อต้านโดยดุษฎี (2:29-38) ไม่ยอมละเมิดวันสับบาโต และในที่สุดทำสงครามศักดิ์สิทธิ์โดยมีมัทธาธีอัสเป็นผู้นำ (2:39-48) แต่การต่อสู้เรื่องศาสนา ภายหลังเปลี่ยนจุดประสงค์เป็นเรื่องการเมือง จนทำให้ชาวยิวแบ่งเป็นกลุ่ม ทะเลาะกันเอง พระเยซูเจ้าจึงมาสอนทางนำไปสู่สันติ

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2017 น.กาทารีนา แห่งอเล็กซานเดรีย พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือมัคคาบี ฉบับที่หนึ่ง                           1 มคบ 6:1-13
     ในครั้งนั้น ขณะที่กษัตริย์อันทิโอคัสทรงผ่านดินแดนทางเหนือ ทรงทราบว่าในเปอร์เซียมีเมืองชื่อเอลีมาอิส เป็นเมืองมั่งคั่ง มีเงินทองมาก วิหารในเมืองนั้นก็ร่ำรวยมาก มีหมวกเกราะทองคำ เกราะอก และเครื่องอาวุธที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ทรงทิ้งไว้ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ทรงเป็นพระโอรสของกษัตริย์ฟีลิปแห่งมาซิโดเนีย ทรงปกครองชาวกรีกเป็นพระองค์แรก กษัตริย์อันทิโอคัสจึงเสด็จไปที่นั่นเพื่อยึดและปล้นเมือง แต่ทรงทำไม่สำเร็จ เพราะชาวเมืองรู้แผนการของพระองค์เสียก่อน จึงจับอาวุธต่อต้านพระองค์จนต้องทรงหนีและถอยทัพมุ่งกลับไปกรุงบาบิโลนด้วยความเศร้าโศกอย่างยิ่ง
     ขณะที่กษัตริย์อันทิโอคัสยังประทับอยู่ที่เปอร์เซีย มีผู้นำข่าวมาทูลพระองค์ว่ากองทัพที่ทรงส่งไปบุกแคว้นยูดาห์ถูกโจมตียับเยิน กองทัพเข้มแข็งที่ลีเซียสยกไปก็ถูกชาวอิสราเอลตีกลับ ชาวอิสราเอลเข้มแข็งมากขึ้นเพราะอาวุธ ผู้คนและข้าวของมากมายที่เป็นของเชลยจากค่ายต่างๆที่ได้ทำลาย ชาวอิสราเอลทำลายรูปเคารพน่าสะอิดสะเอียนที่พระองค์ทรงสร้างไว้บนพระแท่นบูชาที่กรุงเยรูซาเล็ม เขายังสร้างกำแพงสูงล้อมพระวิหารไว้ให้เหมือนเดิม และสร้างกำแพงล้อมเมืองเบธซูร์ เมืองหนึ่งของพระองค์ด้วย
     เมื่อกษัตริย์ทรงทราบข่าวนี้ ก็ตกพระทัยกลัวจนพระกายสั่นเทา ทรงล้มลงบนพระที่ และประชวรเพราะความเศร้าโศกที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ ทรงมีความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทรงอยู่ในสภาพเช่นนี้หลายวัน ทรงคิดว่าจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงเรียกพระสหายทั้งหลายมา ตรัสว่า “เรานอนไม่หลับเลยเพราะจิตใจเป็นกังวลมาก เราคิดว่า ในการปกครองเราเคยทำดีและเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก เหตุใดเราจึงต้องรับความทุกข์ยากและวุ่นวายใจเช่นนี้ บัดนี้ เราระลึกได้ถึงความชั่วร้ายที่เราได้ทำที่กรุงเยรูซาเล็ม เราขนภาชนะเงินทองทั้งหมดในเมืองนั้น เราส่งคนไปฆ่าชาวยูดาห์อย่างไร้เหตุผล เรายอมรับว่าสิ่งร้ายๆเหล่านี้เกิดขึ้นแก่เราก็เพราะเหตุนี้ บัดนี้เรากำลังจะตายอยู่ในต่างแดน เพราะความทุกข์ใจยิ่งใหญ่”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 20:27-40
     เวลานั้น ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาแต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร คนที่สอง คนที่สามรับนางเป็นภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร เป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย ดังนี้ เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา”
     พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก เพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อไป เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะกลับคืนชีพ โมเสสยืนยันแล้วว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อพูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์” ธรรมาจารย์บางคนพูดว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว” เขาไม่กล้าทูลถามพระองค์อีกต่อไป

 

ข้อคิด
     กษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส (กรีก) ทรงครองราชย์ในปี 175-164 ก่อน ค.ศ. คิดขยายอาณาจักรทางการเมืองด้วยกองทัพ แต่ที่สุดสิ้นพระชนม์ ผู้เขียนพระคัมภีร์มองเหตุการณ์นี้ว่า ถูกพระเจ้าลงโทษที่ได้ปล้นพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ กษัตริย์ทรงเสียพระทัยที่ทรงกระทำเช่นนั้น

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown