มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2017 ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 22:30,23:6-11
     เวลานั้น ผู้บัญชาการกองพันต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล วันรุ่งขึ้นเขาจึงสั่งให้แก้โซ่ที่ล่ามเปาโล เรียกบรรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาซันเฮดรินทุกคนมาประชุม แล้วนำเปาโลไปยืนต่อหน้าเขา
เปาโลรู้ว่า สมาชิกส่วนหนึ่งของที่ประชุมเป็นชาวสะดูสีและอีกส่วนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี จึงตะโกนขึ้นในสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นชาวฟาริสี เป็นบุตรของชาวฟาริสี ข้าพเจ้าถูกสอบสวนก็เพราะเรื่องความหวังในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย” เมื่อเปาโลกล่าวเช่นนั้น ก็เกิดการถกเถียงกันระหว่างชาวฟาริสีกับชาวสะดูสี ที่ประชุมจึงแตกแยก เพราะชาวสะดูสียืนยันว่าไม่มีการกลับคืนชีพและไม่มีทั้งทูตสวรรค์และจิต แต่ชาวฟาริสีเชื่อว่ามี
     เกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงในที่ประชุม ธรรมาจารย์บางคนที่เป็นชาวฟาริสีลุกขึ้นโต้แย้งว่า “เราไม่พบว่าชายผู้นี้มีความผิดอันใด เป็นไปได้มิใช่หรือ ที่จิตหรือทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา” ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพันกลัวเปาโลจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จึงสั่งทหารให้ลงไปนำเปาโลออกจากที่ประชุมเข้าไปในค่ายทหาร
คืนต่อมา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาทรงยืนใกล้เปาโล ตรัสว่า “ทำใจดีๆ ไว้ เจ้าได้เป็นพยานยืนยันถึงเราที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานที่กรุงโรมอย่างนั้นด้วย”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 17:20-26
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำหรับคนเหล่านี้เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของเขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขาเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นเดียวกัน”

 

ข้อคิด
     พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นเป็นแก่นแห่งศาสนกิจทุกอย่างภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการสวดภาวนา พิธีกรรม หรือศีลศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นการแสดงออกของความรัก... ความรักที่พระเจ้าทรงรักเรา ความรักที่เรารักพระเจ้า ดังนั้น หากศาสนกิจไม่มีความรักเป็นต้นกำเนิด เป็นแรงบันดาลใจ เป็นแรงขับเคลื่อน ศาสนกิจเหล่านั้นก็เป็นกิจการที่ทำกันแค่ภายนอกและกลวง ไร้คุณค่าใดๆ ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่เราคิดว่าเราเป็นฝ่ายเข้าหาพระเจ้าด้วยศาสนกิจ ในความเป็นจริงแล้ว เป็นพระเจ้าที่ทรงเข้าหาเราเป็นฝ่ายแรก ทรงเข้าถึงภายในจิตวิญญาณ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา ร่วมชีวิตกับเรา เมื่อนั้นแหละศาสนกิจแท้จริงจึงเริ่มขึ้น

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2017 น.มาร์แชลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 25:13-21
     สองสามวันต่อมา กษัตริย์อากริปปาและพระนางเบอร์นิสเสด็จมาถึงเมืองซีซารียา เพื่อเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีต่อเฟสตัส ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสตัสทูลกษัตริย์เรื่องคดีของเปาโลว่า “เฟลิกส์ทิ้งชายคนหนึ่งให้ถูกจองจำไว้ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาหัวหน้ามหาสมณะและผู้อาวุโสของชาวยิวได้ฟ้องกล่าวโทษเขาและขอให้ลงโทษด้วย
ข้าพเจ้าตอบว่า “ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดก่อนที่เขาจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กล่าวหาและแก้ข้อกล่าวหานั้น” บรรดาผู้กล่าวหามาพบข้าพเจ้าที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นก็นั่งบัลลังก์ สั่งให้นำชายคนนั้นเข้ามา บรรดาผู้กล่าวหามารุมล้อมเขา แต่ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องความผิดดังที่ข้าพเจ้าคาดไว้ เขาเพียงแต่ถกเถียงปัญหาเรื่องศาสนาของเขาและเรื่องชายคนหนึ่งชื่อเยซูที่ตายไปแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าลังเลใจที่จะตัดสินเรื่องทำนองนี้ จึงถามว่า เขาอยากไปกรุงเยรูซาเล็มและรับการพิจารณาคดีที่นั่นไหม แต่เปาโลอุทธรณ์ขอสงวนคดีไว้ให้พระจักรพรรดิเป็นผู้ตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้จองจำเขาไว้จนกว่าข้าพเจ้าจะส่งเขาไปเฝ้าพระจักรพรรดิได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 21:15-19
     เมื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า “ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”
พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด”

 

ข้อคิด
     เมื่อพระเจ้าทรงแต่งตั้งใครเพื่อทำภารกิจที่ทรงมอบหมาย พระองค์ไม่ทรงมองความสามารถของผู้นั้น หากแต่ทรงเน้นความรักเป็นหลัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักและทุกกิจการของพระองค์ก็ล้วนเป็นกิจการแห่งความรักและความเมตตาของพระองค์ต่อมนุษยชาติ คุณภาพอย่างเดียวที่ทรงต้องการจากบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกคือความรัก เมื่อมีความรัก ความรักจะชี้นำและให้แรงบันดาลใจการเป็นและการทำของเขา ในเวลาเดียวกันเขาผู้นั้นจะในกระแสแห่งความรักของพระเจ้า กลายเป็นพลังและความสามารถที่พ้นตัวตนเขา ดังที่พระองค์ทรงถามให้ซีโมนเปโตรเข้าใจและมั่นใจก่อนที่จะทรงตั้งท่านเป็นประมุข

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2017 สมโภชพระจิตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                   กจ 2:1-11
     เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน 2ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น แยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด
     ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิว บางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง      1 คร 12:3ข-7,12-13
     พี่น้องทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดพูดโดยพระจิตเจ้าทรงดลใจว่า “พระเยซูจงถูกสาปแช่ง” และหากพระจิตเจ้ามิได้ทรงดลใจก็ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า “พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”
     พระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว มีหน้าที่หลายอย่างต่างกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว กิจการมีหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
     แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 20:19-23
     ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี
พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”


ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ พระกายของพระองค์มีสภาพใหม่และรุ่งโรจน์ พระองค์ทรงสามารถเสด็จผ่านประตูห้องที่ปิดอยู่เพื่อมาพบศิษย์ของพระองค์ กระนั้นก็ดี พระองค์ยังทรงเก็บรักษาบาดแผลที่เกิดจากตาปูและหอกไว้ เพราะบาดแผลเหล่านี้ไม่เป็นแค่บาดแผล แต่เป็นพยานชี้บอกความรักยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อมนุษย์...ทรงรักจนถึงที่สุด...ทรงตายเพื่อคนที่ทรงรัก พระองค์ทรงให้ศิษย์ดูบาดแผลเพื่อให้พวกเขามั่นใจได้ว่าเป็นพระองค์ บาดแผลแห่งความรักจึงเป็นอัตลักษณ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงประสงค์ให้ศิษย์ของพระองค์ยืนยันเป็นศิษย์ของพระองค์ด้วยการปฏิบัติความรัก “เมื่อคนเห็นท่านรัก ก็รู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา”

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2017 ระลึกถึง น.ชาร์ล ลวงก้าและเพื่อนมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 28:16-20,30-31
     เมื่อมาถึงกรุงโรม เปาโลได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำพังโดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม
สามวันต่อมา เปาโลเรียกบรรดาผู้นำชาวยิวมาพบที่บ้าน เมื่อคนเหล่านี้มาชุมนุมกัน เปาโลพูดกับเขาว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อประชากรหรือขัดกับธรรมประเพณีของบรรดาบรรพบุรุษ แต่ชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มก็ยังจับกุมข้าพเจ้าและมอบตัวให้ชาวโรมัน ชาวโรมันไต่สวนและต้องการจะปล่อยข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่มีความผิดที่สมควรต้องตาย แต่เมื่อชาวยิวคัดค้าน ข้าพเจ้าจำเป็นต้องยื่นอุทธรณ์ต่อพระจักรพรรดิ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะกล่าวหาเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าเลย เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอพบเพื่อพูดคุยกับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าถูกพันธนาการเช่นนี้ ก็เพราะความหวังของชาว อิสราเอลนั่นเอง”
เปาโลพักอยู่ในบ้านเช่าเป็นเวลาสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยม ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าและสอนความจริงเรื่องพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 21:20-25
     เวลานั้น เปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนที่เอนกายชิดพระอุระพระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารค่ำ และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ทรยศพระองค์เป็นใคร” เมื่อเปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน ท่านจงตามเรามาเถิด” ดังนั้น จึงมีเรื่องที่เล่าลือกันไปทั่วในกลุ่มบรรดาพี่น้องว่าศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน”
นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง
ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น

 

ข้อคิด
     ยอห์นบันทึกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นและทรงทำเพื่อส่งต่อเป็นพระวรสารสำหรับศิษย์ของพระองค์ ท่านเองยอมรับว่าสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นและทรงทำนั้นมากมาย หากจะนำมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดเป็นหนังสือ ท่านคิดว่าโลกทั้งโลกคงไม่พอจะบรรจุหนังสือเหล่านี้ได้ แต่ที่ท่านพูดเน้นว่าโลกทั้งโลกไม่มีที่พอบรรจุหนังสือเหล่านี้ได้เพราะไม่เพียงสิ่งที่ทรงเป็นและทรงทำในช่วงที่ทรงชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งที่ยังทรงเป็นและทรงทำอยู่ในปัจจุบันนี้และต่อไปข้างหน้า สำหรับแต่ละคนด้วย ซึ่งหากรวบรวมและทำเป็นหนังสือก็คงล้นโลกใบนี้แน่นอน

วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2017 ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือโทบิต                                              ทบต 1:1-2, 2:1-9
     หนังสือเรื่องของโทบิต บุตรของโทบิเอล บุตรของอานานิเอล บุตรของอาดูเอล บุตรของกาบะเอล จากเชื้อสายของอาสิเอล ชนเผ่านัฟทาลี ในรัชสมัยของกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ แห่งอัสซีเรีย เขาถูกจับเป็นเชลยจากเมืองทิสเบซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองคาเดชแห่งนัฟทาลี ในแคว้นกาลิลีตอนบน เหนือเมืองฮาโซร์ ค่อนไปทางตะวันตก เหนือเมืองเชฟัท
     ในรัชสมัยของกษัตริย์เอสารฮัดโดน ข้าพเจ้ากลับบ้านมาอยู่กับอันนาภรรยาและโทบียาห์บุตรชายอีกครั้งหนึ่ง ในวันฉลองเปนเตกอสเตหรือวันฉลองสัปดาห์ เขาเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มานั่งที่โต๊ะ ซึ่งมีอาหารหลายอย่าง ข้าพเจ้าพูดกับโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย จงออกไปเถิด ถ้าพบคนยากจนที่ระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตใจในหมู่พี่น้องของเราที่ถูกเนรเทศมายังกรุงนีนะเวห์ด้วยกัน ก็จงนำเขามาร่วมโต๊ะกินอาหารกับเรา พ่อจะรอจนกว่าลูกจะกลับมา” โทบียาห์จึงออกไปหาคนยากจนในหมู่พี่น้องของเรา แต่เขากลับมาบอกว่า “พ่อครับ” ข้าพเจ้าถามว่า “มีอะไรหรือลูก” เขาพูดต่อไปว่า “พ่อครับ เพื่อนร่วมชาติของเราคนหนึ่งถูกฆ่า ถูกบีบคอและถูกทิ้งไว้ที่ตลาด ศพของเขายังอยู่ที่นั่น” ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้ชิมอะไร นำศพจากตลาดไปไว้ในห้องหนึ่ง รอจนดวงอาทิตย์ตกเพื่อจะได้นำเขาไปฝัง ข้าพเจ้ากลับมาอาบน้ำชำระร่างกายแล้วนั่งลงกินอาหารด้วยความเศร้า โดยระลึกถึงถ้อยคำของประกาศกอาโมสที่กล่าวถึงเมืองเบธเอลว่า
“วันฉลองของท่านจะกลายเป็นวันไว้ทุกข์
การร้องรำทำเพลงของท่านก็จะกลายเป็นการคร่ำครวญ”
แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้ เมื่อดวงอาทิตย์ตก ข้าพเจ้าก็ไปขุดหลุม ฝังศพของเขา เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าหัวเราะเยาะข้าพเจ้า พูดว่า “เขาไม่กลัวถูกฆ่าอีกแล้วหรือ เขาถูกตามฆ่าเพราะการกระทำเช่นนี้และต้องหนีไป บัดนี้เขากลับมาฝังศพอีกแล้ว”
ในคืนเดียวกันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากการฝังศพ ข้าพเจ้าก็อาบน้ำและออกไปที่ลานบ้าน นอนที่กำแพงลานไม่ได้คลุมหน้า เพราะอากาศร้อน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 12:1-12
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาให้บรรดาผู้นำชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลากำหนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนจับผู้รับใช้คนนั้นทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนตีหัวและด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขา เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่นไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุดที่รัก เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า ‘พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นพูดกันว่า ‘คนคนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ แล้วเขาก็จับบุตรของเจ้าของสวนฆ่า ทิ้งศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำอย่างไร เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า

‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น
ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์กับเรายิ่งนัก’”
บรรดาผู้นำชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบถึงเขา แต่เขายังเกรงประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป


ข้อคิด
     พระคัมภีร์พูดถึงสวนองุ่นของพระเจ้าซึ่งมีความหมายในเชิงเทววิทยา สวนองุ่นหมายถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่พวกเขากลับทำตัวไม่สนใจพระเจ้า แม้จะทรงส่งประกาศกมาเตือน พวกเขาก็ไม่สนใจ ที่สุด พระองค์ทรงส่งพระบุตรมา แต่พวกเขาไม่สนใจเช่นกันและจับพระองค์ไปฆ่านอกกรุงเยรูซาเลม สวนองุ่นยังหมายถึงชีวิตมนุษย์แต่ละคน ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนว่าจะมีทีท่าอย่างไร ถือว่าชีวิตเป็นของเรา ทำอะไรได้ตามใจชอบ หรือถือว่าชีวิตเราเป็นของพระเจ้าที่ทรงมอบให้เราดูแล บริหาร และพัฒนาให้มีประสิทธิผลอยู่ตลอดเวลา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown