มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 1 มีนาคม 2017 วันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล                                ยอล 2:12-18
     บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดจิตสุดใจเถิด จงจำศีลอดอาหาร ร่ำไห้ และไว้ทุกข์คร่ำครวญ จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเสื้อผ้า จงกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เพราะพระองค์ทรงเมตตาและกรุณา ไม่ทรงโกรธง่าย ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ทรงสงสารและไม่ทรงลงโทษ ใครจะรู้ได้ พระองค์อาจจะทรงเปลี่ยนพระทัยสงสาร กลับมาประทานพระพร ท่านถวายผลิตผลเป็นธัญบูชาและเทเหล้าองุ่นถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน
     จงเป่าแตรเขาสัตว์ในศิโยน จงประกาศให้มีการจำศีลอดอาหาร จงเรียกประชาชนให้มาชุมนุมกัน จงเรียกประชาชนให้มาพร้อมกัน จงประกาศให้มีการประชุม จงเรียกบรรดาผู้อาวุโสมาชุมนุมกัน จงรวบรวมเด็กๆ แม้ทารกที่ยังกินนม จงให้เจ้าบ่าวออกมาจากห้องหอ และให้เจ้าสาวออกจากห้องวิวาห์ จงให้บรรดาสมณะผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ร่ำไห้อยู่ระหว่างเฉลียงกับพระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเมตตาประชากรของพระองค์เถิด ขออย่าทรงทำให้มรดกของพระองค์ถูกลบหลู่ และถูกนานาชาตินินทาว่าร้าย ทำไมชนชาติทั้งหลายจะต้องพูดว่า “พระเจ้าของเขาอยู่ที่ไหน” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์ ทรงสงสารประชากรของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเอาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง      2 คร 5:20-6:2
     พี่น้อง เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าจึงทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
     ในฐานะผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านทั้งหลาย อย่าเพียงแต่รับพระหรรษทานของพระองค์ไว้โดยไม่เกิดผล พระองค์ตรัสว่า “ในเวลาที่เหมาะสม เราได้รับฟังท่าน และในวันแห่งความรอดพ้น เราได้ช่วยเหลือท่าน” ขณะนี้คือเวลาที่เหมาะสม ขณะนี้คือวันแห่งความรอดพ้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 6:1-6,16-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
     เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน
     เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน”

 

ข้อคิด
     กิจการดีที่ทำ...ไม่สำคัญว่าจะใหญ่ หรือ เล็กแต่สำคัญที่... “ท่าที”... กิจเมตตา การจำศีลภาวนา ล้วนแล้วแต่เป็นกิจการที่ดี พระเยซูเจ้าเตือนศิษย์ของพระองค์ว่า อย่าทำไปเพียงเพื่อ “อวดกัน”.. ดังนั้น เมื่อจะให้ทาน ก็อย่าหวังเพียงคำสรรเสริญ เมื่อจำศีลอดอาหาร ก็อย่าทำหน้าเศร้า เมื่อภาวนา ก็อย่าทำเพียงแค่ ต้องการให้คนเห็น ท่าทีของการกลับใจที่ดี ต้องมีจุดเริ่มที่ “ภายใน”...ฉีกที่ใจ..มิใช่เสื้อผ้าที่สวมใส่ เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้านั้นทรง เปี่ยมด้วยความรัก เป็นผู้มีใจ เมตตากรุณา สงสาร ไม่โกรธง่าย พระองค์จะทรงมองดูที่ใจเช่นกัน
วิธีการเพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม สำหรับพระเจ้า คือ “ท่าที” ของการ “คืนดี”...โดยไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดติดค้างทั้งระหว่างพระเจ้า และเพื่อมนุษย์

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2017 หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                              ฉธบ 30:15-20
     โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงฟังเถิด ในวันนี้ ข้าพเจ้ากำลังเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกความดีหรือความชั่ว ข้าพเจ้าจึงสั่งท่านในวันนี้ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเดินตามวิถีทางของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปครอบครอง แต่ถ้าท่านเปลี่ยนใจไปจากพระองค์ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ แต่ยอมกราบไหว้รับใช้เทพเจ้าอื่น ข้าพเจ้าขอบอกท่านในวันนี้ว่า ท่านจะต้องพินาศอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปครอบครอง ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดินมาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกคำอวยพรหรือคำสาปแช่ง ท่านจงเลือกชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เพราะพระองค์เพียงพระองค์เดียวประทานชีวิตแก่ท่าน ทรงบันดาลให้ท่านอาศัยอยู่นานในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้ว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน คืออับราฮัม อิสอัคและยาโคบ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 9:22-25
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป”

 

ข้อคิด
     เมื่อตัดสินใจ... “เลือก”...ไปแล้ว จงพร้อมที่จะรับผิดชอบ พระเยซูเจ้าตรัสถึง บุตรแห่งมนุษย์ว่า เขาเลือก หนทางแห่งความทรมาน ถูกปฎิเสธ และที่สุดถูกตัดสินประหารชีวิต นั่นก็เพราะว่า เขาให้คุณค่า และความสำคัญของชีวิตหลังความตาย แล้วทรง เสนอเงื่อนไข ของศิษย์ที่จะคิดจะเดินตาม พวกเขาต้อง...เลิกคิดถึงตนเอง..พร้อมกับแบกกางเขนของตน..โมเสส ในฐานะผู้นำ เสนอให้ประชากรของพระเจ้า เลือกชีวิตที่..
เชื่อฟัง และซื่อสัตย์ต่อเสียงของพระเจ้า ด้วยการรักพระเจ้า ปฎิบัติตามบทญัญญัติ เดินตามวิถีทางของพระองค์
เพราะ ถ้าเลือกเช่นนี้..พวกเขาจะได้รับพระพร กลับมีชีวิต ทวีเพิ่มมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม 2017 หลังวันพุธรับเถ้า น.กาสิมีร์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 58:9ข-14
     พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำท่านตลอดไป จะตอบสนองความต้องการของท่านในแผ่นดินแห้งแล้ง จะทรงทำให้กระดูกของท่านแข็งแรง ท่านจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เป็นเหมือนพุน้ำที่มีน้ำไหลไม่หยุด ประชากรของท่านจะบูรณะซากปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ ท่านจะวางรากฐานที่เคยวางไว้แต่โบราณขึ้นมาอีก ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พังแล้ว เป็นผู้บูรณะถนนให้มีบ้านเรือนเป็นที่อาศัย
     ถ้าท่านหยุดละเมิดวันสับบาโต คือไม่ทำตามใจชอบในวันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เรียกวันสับบาโตว่า ‘วันปีติยินดี’ และเรียกวันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘วันน่าเคารพ’ ถ้าท่านให้เกียรติวันนั้นโดยไม่เดินทาง เลิกแสวงหาสิ่งที่ท่านพอใจ และเลิกพูดเรื่องไร้สาระ ท่านจะได้ความปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราจะให้ท่านขี่ม้าฉลองชัยอยู่บนที่สูงของแผ่นดิน เราจะเลี้ยงท่านด้วยมรดกของยาโคบบิดาของท่าน เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 5:27-32
      หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้วตามพระองค์ไป
เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคนอื่นๆ จำนวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นกล่าวด้วยความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกินอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ”

 

ข้อคิด
     เพื่อจะแน่วแน่...กับหนทางที่ตั้งใจ ..ในการเปลี่ยนแปลงนั้น จงออกแรง เพื่อเคร่งครัดต่อตนเอง...และเป็นกันเองกับผู้อื่น เมื่อพระเยซูเจ้ามีท่าที... “เปิดใจ” ต้อนรับเลวี ที่เป็นคนบาป เขาแสดงออกถึงท่าทีของการกลับใจ ด้วยการละทิ้งทุกสิ่ง จากการเป็นคนที่มีรายได้มากมาย
     จากการโกง เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อมาติดตามพระเยซู วิธีที่จะทำให้ชีวิต ฉายแสงแห่งความดี ท่ามกลาง สังคมที่มืดมิด ประกาศกอิสยาห์ แนะนำให้เลิกข่มเหงกันและกัน เลิกชี้หน้ากล่าวหา พูดร้ายแก่กันและกันแต่จงแบ่งปันอาหารให้แก่คนที่หิว และตอบสนองความต้องการของคนที่มีทุกข์

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2017 หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 58:1-9ก
     พระเจ้าตรัสว่า “จงร้องตะโกนให้เต็มกำลัง อย่าออมเสียงไว้ จงเปล่งเสียงเหมือนเป่าเขาสัตว์ จงประกาศให้ประชากรของเรารู้ว่าเขาได้ล่วงละเมิด จงประกาศแก่เชื้อสายของยาโคบให้เขารู้บาปที่เขาได้ทำ เขาทั้งหลายแสวงหาเราทุกวัน ปรารถนาจะรู้จักทางของเรา ประหนึ่งว่าเขาเป็นประชากรที่ปฏิบัติความชอบธรรม และมิได้ละทิ้งพระวินิจฉัยของพระเจ้าของตน เขาขอให้เราให้การวินิจฉัยที่ชอบธรรม และปรารถนาที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า เขาพูดว่า “ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องจำศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอดพระเนตร ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ”
     ดูซิ ในวันที่ท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร ท่านยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน และข่มเหงคนงานทุกคนของท่าน ดูซิ ท่านจำศีลอดอาหาร แต่ยังทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม การจำศีลอดอาหารดังที่ท่านปฏิบัติในวันนี้ จะไม่ทำให้เสียงของท่านได้ยินไปถึงเบื้องบนเลย นี่หรือเป็นการจำศีลอดอาหารที่เราพอใจ คือวันที่มนุษย์ละเว้นความสุขสบาย ก้มศีรษะลงเหมือนต้นอ้อ ใช้ผ้ากระสอบและขี้เถ้าปูนอน ท่านจะเรียกการทำเช่นนี้ว่าเป็นการจำศีลอดอาหาร และวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยกระนั้นหรือ แต่การจำศีลอดอาหารที่เราต้องการ คือการแก้โซ่ตรวนที่อธรรม แก้สายรัดแอก ปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกอัน แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึ้นมาเหมือนรุ่งอรุณ แผลของท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำหน้าท่าน และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่านจะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 9:14-15
     วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย”
พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร”

 

ข้อคิด
     ทุกกิจการดีที่ทำ มีค่าในตัวมันเอง ถ้าไม่ระวัง..กิจการดีที่ทำ...เพียงเพราะหวังคำชื่นชม
อาจเหลือค่าเพียง คำหวาน..ผ่านลมปาก จากคนที่ไม่จริงใจ.. พระเยซูเจ้าสอนให้เข้าใจ ถึงจิตตารมณ์ของการจำศีลอดอาหารว่า...ความดีที่ทำ ไม่จำเป็นต้องนำไปเปรียบกับใคร..ขอแค่ใจเรา...เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ..มากกว่าคำสรรเสริญชื่นชม คงไม่เป็นการดี ถ้าคนหนึ่งจำศีลอดอาหาร แต่การกระทำในชีวิต คิดถึงแต่เพียงประโยชน์ส่วนตน เอาเปรียบข่มเหง คนรอบข้าง ประกาศกอิสยาห์ ป่าวประกาศ ถึงท่าทีของการจำศีลอดอาหารที่พระองค์ต้องการ คือ การปลดปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหยตอนรับคนยากจนซึ่งไร้ที่อยู่ ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ไม่มี

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 2:7-9; 3:1-7
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึ้นทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และทรงนำมนุษย์ที่ทรงปั้นมาไว้ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ต้นไม้ทุกชนิดงอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว
     งูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาสัตว์ป่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสร้าง มันถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใด ๆ ในสวนนี้” หญิงจึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่าง ๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนเท่านั้น” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” งูบอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผลไม้นั้นวันใด ตาของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทั้งยังน่าปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซึ่งอยู่กับนางกินด้วย เขาก็กิน ทันใดนั้น ตาของทั้งสองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 5:12-19
     พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง
     แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์ ของประทานต่างกับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวที่ทำบาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำความชอบธรรมมาให้ ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำให้ความตายมีอำนาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำนาจปกครองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 4:1-11
     เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงหิว ปีศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
     ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงสั่งทูตสวรรค์เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้ มิให้เท้ากระทบหิน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าท้าทายองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
อีกครั้งหนึ่ง ปีศาจนำพระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอด
     พระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่างๆ ของโลก แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น”
ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์


ข้อคิด
     “โอกาส” ไม่ใช่ทุกคนจะ ได้รับ คนที่เคยได้รับแล้ว ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะได้รับเหมือนเดิม ฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร พึงคิดให้ดี เพราะบางที อาจไม่มี โอกาสให้ “แก้ตัว”.. เมื่อมนุษย์คู่แรก ใช้โอกาสในทางที่ผิดต่อคำมั่นสัญญากับพระเจ้า พ่ายแพ้แก่การผจญ เพราะความไม่เชื่อฟัง หลงไหลในอำนาจปรารถนาที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า เขาต้องพบความจริงว่า ตนยังอ่อนแอ และห่างไกลจากพระเจ้ายิ่งนัก..สำหรับพระเยซูเจ้า ความซื่อสัตย์ และเชื่อฟังต่อพระวาจาของพระเจ้า ช่วยให้พระองค์ยังคงสามารถรักษา ความเชื่อ ไม่พ่ายแพ้แก่การผจญ นักบุญเปาโลได้ย้ำเตือน สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความเสี่ยง และโอกาสที่จะต้องอยู่บาป คือ ความไม่เชื่อฟัง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown