มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                             ฉธบ 26:16-19
     โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ในวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาให้ท่านปฏิบัติตามข้อกำหนด และกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดสุดจิตใจ และสุดวิญญาณ
      ในวันนี้ ท่านได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน ถ้าท่านดำเนินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำหนด บทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ทั้งเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ในวันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านประกาศว่า ท่านจะเป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระองค์ดังที่ตรัสไว้ และท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ทุกประการ พระองค์จะทรงบันดาลให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีชื่อเสียงและมีเกียรติยศเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นมา และท่านจะเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านดังที่ทรงสัญญาไว้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 5:43-48
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”

 

ข้อคิด
     “รัก” คำเดียวสั้น ๆ ที่พูดให้ได้ยินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่ง่าย ที่จะต้องใช้ทั้งชีวิต เพื่อ “ทำ”...เพราะวิธีคิด แบบปุถุชน คนทั่วไป คือ ใครดีมา เราก็ดีไป ใครร้ายมา เราก็ร้ายตอบ แต่ “มาตรฐาน” สำหรับผู้ที่เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า เพื่อจะเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์นั้น พวกเขาต้องรักศัตรู และภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนเขาให้ได้..
     โมเสส ย้ำเตือนประชากรของพระเจ้าว่า...พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นประชากรของพระเจ้า ถ้าพวกเขาดำเนินชีวิต ด้วยการปฎิบัติตามข้อกำหนด กฎเกณฑ์ของความรัก พวกเขาจะได้รับเกียรติจากพระเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก12:1-4ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่าน จะทำให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำพระพรมาให้ผู้อื่น เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดิน จะได้รับพรเพราะท่าน”
อับรามจึงออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง      2 ทธ 1:8ข-10
     พี่น้อง จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เรากระทำ แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระ คริสตเยซูก่อนกาลเวลา แต่บัดนี้ทรงเปิดเผยโดยการแสดงพระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตและความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 17:1-9
     ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลียาห์สำแดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์
     เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์” ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ เสียงหนึ่งดังจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น
ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำชับศิษย์ทั้งสามคนว่า “อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย”

 

ข้อคิด
     “ได้ยิน” มันต่างกับ “ฟัง” ก็ตรงที่อย่างหลังนั้น มีความตั้งใจมาเกี่ยวข้อง.. เปโตร ในฐานะศิษย์ ผู้ติดตาม ใกล้ชิดพระเยซูเจ้า เมื่อได้เห็นล่วงหน้า ถึงความสุข ความชื่นชมยินดี กับพระอาจารย์ ได้ยินเสียงสนทนาของประกาศก ทันทีเสนอให้ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ เพื่อที่จะได้อยู่ไปนาน ๆ แต่เสียงของพระเจ้าตอกย้ำ ในฐานะศิษย์ แทนที่จะเป็นผู้เสนอ จงรู้จักที่จะฟังก่อน เมื่ออับราฮัม ฟังเสียงของพระเจ้าแล้วทำตาม ท่านได้รับพระพรมากมายจากพระเจ้า ทั้งยังกลับเป็นพระพรสำหรับคนอื่น ๆ

วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 1:10,16-20
     ท่านทั้งหลายผู้มีอำนาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำสอนของพระเจ้าของเราเถิด
     จงล้าง จงชำระตนให้สะอาด จงนำกิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำพร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะ ถ้าท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟัง ท่านจะได้กินผลดีของแผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อของคมดาบ เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 23:1-12
     ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้น เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’
     ส่วนท่านทั้งหลายอย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด
     ถ้อยคำที่พูด..แนะนำสั่งสอนผู้อื่น...จะเพิ่มคุณค่า ถ้ามาจากการกระทำ...พระเยซูเจ้าเตือนศิษย์ และผู้ที่ติดตามว่าอย่าทำตัวให้ถูกเรียกว่า “รับบี” เพราะพวกนี้ ดีแต่พูด แต่ไม่ค่อยยอมทำ” พร้อมกันนี้ พระเยซูได้ให้แนวทาง เพื่อจะเป็นผู้ที่สมจะได้รับเกียรติแท้จริง คือ “จงถ่อมตน เป็นผู้รับใช้ผู้อื่น”ประกาศกอิสยาห์ ร้องเตือน เพื่อจะเป็นผู้พูด สอนผู้อื่นให้เร่ิมจากการสอนด้วยชีวิตตน โดยการเลิกทำสิ่งที่ชั่ว เรียนรู้ที่จะทำดี แสวงหาความยุติธรรม

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                              ดนล 9:4ข-10
     “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ทำผิด ประพฤติชั่วร้าย เป็นกบฏ หันเหไปจากบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังบรรดาประกาศก ผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งพูดในพระนามพระองค์ต่อบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านาย บรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของแผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความเที่ยงธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทั้งมวล ทั้งเป็นของผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยู่อย่างกระจัดกระจาย เพราะความทรยศซึ่งเขาได้ทำต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ ส่วนพระกรุณาและการอภัยโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ได้กบฏต่อพระองค์ มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ประทานให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 6:36-38
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”


ข้อคิด
     ก่อนที่จะ “ให้” จำเป็นต้องมี และเมื่อมีแล้ว..อย่าลืมเรียนรู้ที่จะเป็น “ผู้ให้ต่อ” เมื่อใดก็ตามที่สามารถ “ให้” ด้วยใจที่ไม่ยึดติด เมื่อนั้นจะสามารถให้อภัย ใครก็ตาม ที่ทำผิดต่อเรา พระเยซูให้แรงบันดาลใจ เพื่อจะทำดังนี้ คือ ตระหนักเสมอว่า ถ้าเราปฎิบัติแบบใดกับเพื่อนพี่น้อง พระเจ้าก็จะทรงปฎิบัติกับเราแบบนั้นเช่นเดียวกัน ดังที่ ประกาศกดาเนียลได้ป่าวประกาศว่าแม้ประชากรของพระเจ้า ได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ เมื่อพวกเขากลับใจ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระเจ้าทรงพระกรุณา เมตตา อภัยโทษเสมอเพราะพระองค์ทรงรักษาพันธสัญญา และความความรักมั่นคง
ต่อผู้ที่รัก และปฎิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์

วันพุธที่ 15 มีนาคม 2017 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                              ยรม 18:18-20
     ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า “มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะไม่สูญหายไปจากบรรดาสมณะ คำปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผู้มีปรีชา และการประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศก มาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไปสนใจฟังคำพูดของเขาเลย”
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคู่อริของข้าพเจ้าเถิด ความชั่วเป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำลังขุดหลุมไว้ดักข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพื่อทูลขอความดีให้เขา เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์ไปจากเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 20:17-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต และจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำไปตรึงกางเขน แต่ในวันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ”
     มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
     เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด
     เพื่อจะทำหน้าที่ “รับใช้” ด้วยใจอิสระพึงเร่ิมที่จิตตารมณ์ “ความรัก” ในทุกสิ่งที่ทำ กับทุกคนที่จะพบเจอ
ธรรมชาติของอำนาจฝ่ายโลก คือ ความเป็นนาย การได้รับการดูแล บริการรับใช้ จากบุคคลที่อยู่รอบข้าง
พระเยซูเจ้า ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ถึงท่าทีที่ถูกต้องของการเป็นผู้นำ คือ การเป็นผู้รับใช้ทุกคน ในหน้าที่ของการรับใช้ แม้ประกาศกเยเรมีย์ จะถูกปฎิเสธ กลั่นแกล้ง ด้วยการพูด นินทา ให้ร้าย ท่านยังคงซื่อสัตย์ในหน้าที่ของการรับใช้ พร้อมกับ ภาวนา เพื่อแสวงหาพละกำลังจากพระเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตของท่านนักบุญกาสิมีร์ อยู่บบพื้นฐานชีวิตของการเป็นผู้นำ ที่ตระหนักว่า การมีอำนาจ ก็คือการรับใช้ มิใช่การบังคับหรือมีอำนาจเหนือผู้อื่น

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown