มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                    อสย 35:1-6ก,10
     ถิ่นทุรกันดารและแผ่นดินแห้งแล้งจงยินดีเถิด ทุ่งเวิ้งว้างจงเปรมปรีดิ์และผลิดอกเหมือนต้นดอกดิน สถานที่นี้จงผลิดอกอย่างอุดม จงเปรมปรีดิ์และขับร้องด้วยความยินดี เพราะได้รับสิริรุ่งโรจน์แห่งเลบานอน ได้รับความรุ่งเรืองแห่งภูเขาคารเมลและที่ราบชาโรน ทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา จงทำให้มือที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น จงทำให้หัวเข่าที่ซวนเซมีความมั่นคง จงกล่าวกับคนที่ท้อแท้ว่า “จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย” ดูซิ พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น และจะทรงลงโทษศัตรูของท่านอย่างสาสม แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะมองเห็น หูของคนหูหนวกจะได้ยิน คนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และคนใบ้จะร้องตะโกนด้วยความยินดี
     ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ไว้แล้วจะกลับมายังศิโยน พลางโห่ร้องด้วยความชื่นชม ความยินดีจะอยู่บนศีรษะของเขาตลอดไป ความชื่นบานและความยินดีจะติดตามเขา ความโศกเศร้าและการถอนใจจะหนีไปจากเขา

 

เพลงสดุดี                                                                             สดด 146:7,8-9ก,9ข-10
     ก) ประทานความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกดขี่
ประทานอาหารแก่ผู้หิวโหย
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปล่อยบรรดาผู้ถูกจองจำให้เป็นอิสระ
     ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานสายตาแก่คนตาบอด
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพยุงผู้ที่ล้มให้ลุกขึ้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์คนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่
     ค) ทรงค้ำจุนเด็กกำพร้าและหญิงม่าย
แต่ทรงขัดขวางหนทางของคนชั่วร้าย
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงครองราชย์ตลอดไป
ศิโยนเอ๋ย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก                        ยก 5:7-10
     พี่น้องทั้งหลาย จงพากเพียรรอจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนาเถิด เขาย่อมรอผลมีค่าจากแผ่นดินด้วยความพากเพียร รอจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู ท่านก็เช่นเดียวกัน จงมีความพากเพียร ทำจิตใจให้เข้มแข็งเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว พี่น้องทั้งหลาย อย่าบ่นว่ากัน เพื่อจะได้ไม่ถูกพิพากษา พระผู้พิพากษาทรงยืนอยู่หน้าประตูแล้ว พี่น้องทั้งหลาย จงยึดบรรดาประกาศกซึ่งพูดในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นแบบฉบับในความพากเพียรอดทนต่อความยากลำบาก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                       มธ 11:2-11
     ขณะที่ยอห์นถูกจองจำอยู่ในคุก เขาได้ยินข่าวกิจการของพระเยซูเจ้า จึงใช้ศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”
     ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังจะจากไป พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปมาตามสายลมหรือ มิใช่เช่นนั้น แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามอยู่ในพระราชวัง ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว เราบอกท่าน และเหนือกว่าประกาศกเสียอีก ผู้นี้เองที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่าเราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
     เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในหมู่ผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้าง ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น”

 

ข้อคิด
    ท่านทั้งหลายจงรอคอยด้วยความเพียรทนเถิด พระเป็นเจ้าทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ต่อท่านอย่างแน่นอน ในการรอคอยท่านอาจจะเจอกับการประจญให้สิ้นหวัง และเลิกรอคอยไป เราจึงเตือนท่านทั้งหลายให้มั่นคงไม่หวั่นไหว แม้เวลาจะผ่านไป แต่พระเจ้าจะไม่มีวันลืมหรือกลับคำตามที่ทรงสัญญาไว้ พระองค์จะทรงกระทำตามนั้นอย่างราบเรียบ ท่านจึงต้องสังเกตด้วยความเชื่ออยู่เสมอ พระองค์ไม่ทรงกระทำตามแบบฮือฮาของมนุษย์ดอกนะ ท่านต้องหาดูให้ถูกที่ถูกทางตามแบบของพระเจ้า มิใช่แบบมนุษย์ แล้วท่านจึงจะเห็นความเป็นไปที่เดินอยู่ท่ามกลางเวลาที่ท่านต้องรอคอยนั้น

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                               กดว 24:2-7,15-17
     ในครั้งนั้น บาลาอัมเงยหน้าขึ้นเห็นอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ตามเผ่าของตน พระจิตของพระเจ้าเสด็จมาเหนือเขา เขาจึงกล่าวคำทำนายเป็นบทประพันธ์ดังนี้  “คำทำนายของบาลาอัม บุตรของเบโอร์ คำทำนายของบุรุษผู้มีตาเห็นไกล คำทำนายของผู้ได้ฟังพระวาจาพระเจ้า ผู้เห็นนิมิตของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เมื่อเขาเข้าฌาน ตาของเขาก็เปิดออก
     ยาโคบเอ๋ย กระโจมของท่านช่างงามจริง อิสราเอลเอ๋ย ที่อาศัยของท่านช่างงดงาม เหมือนลำธารที่แยกออกเป็นหลายสาย เหมือนสวนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เหมือนต้นหางจระเข้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูก เหมือนต้นสนสีดาร์ที่อยู่ริมน้ำ น้ำจะไหลออกจากถังของเขา และพืชพันธุ์ของเขาจะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ กษัตริย์ของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าอากัก อาณาจักรของเขาจะเป็นที่ยกย่อง”
     เขาจึงกล่าวคำทำนายเป็นบทประพันธ์ดังนี้ “คำทำนายของบาลาอัม บุตรของเบโอร์ คำทำนายของบุรุษผู้มีตาเห็นไกล คำทำนายของผู้ฟังพระวาจาของพระเจ้า ผู้รับความรู้จากพระผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เมื่อเขาเข้าฌาน ตาของเขาก็เปิดออก ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่บัดนี้ ข้าพเจ้ามองดูเขา แต่ไม่ใช่จากใกล้ๆ ดาวดวงหนึ่งกำลังขึ้นมาจากยาโคบ คทาอันหนึ่งกำลังขึ้นมาจากอิสราเอล จะทุบหน้าผากของโมอับ และทุบกะโหลกศีรษะบุตรทุกคนของเสท”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 21:23-27
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่ทรงสั่งสอนประชาชนอยู่นั้น บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนเข้ามาพบพระองค์แล้วทูลถามว่า “ท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครมอบอำนาจนี้ให้ท่าน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำเช่นนี้ด้วยอำนาจใด พิธีล้างของยอห์นมาจากไหน จากสวรรค์หรือจากมนุษย์” บรรดาสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ เราก็เกรงกลัวประชาชน เพราะทุกคนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก”
     เขาจึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระองค์จึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่า เราทำการเหล่านี้โดยอำนาจใด”

 

ข้อคิด
     อะไรที่เป็นอยู่แค่ชั่วคราว ย่อมฉาบหน้าไว้แต่เรื่องชั่วคราวที่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงตัวตนอันคับแคบของเขา เขาฉาบก็แปลว่ากั้นตัวเองเอาไว้จากสิ่งรอบข้าง เขาจะได้มีที่แอบซ่อน ปิดตัวเองจากความจริงรอบข้าง และมีรังแต่พอตัวให้ฟูมฟักตัวเองได้โดยไม่มีใครเห็น และจะได้พร้อมตอบแก่คนที่ตั้งคำถามถึงเขาว่า “เราไม่รู้”!! แต่อะไรที่เป็นอยู่อย่างมั่นคงยาวนาน ย่อมไม่รีบฉาบอะไรไว้เลย เพราะการฉาบเท่ากับเป็นการปิดกั้นเขาจากโลกรอบตัวที่เขาอยากเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย และยังปิดไม่ให้เขารับรู้ถึงความจริงที่เขาอยากจะรู้และอยากจะตอบเพื่อการเสวนาด้วยความรักที่ไม่ปิดกั้นต่อกัน

วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2016 ระลึกถึง น.ยอห์น แห่งไม้กางเขน นักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                    อสย 45:6ข-8,18,21ข-25
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เรานำความสุขและสร้างภัยพิบัติ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำทุกสิ่งเหล่านี้
     ท้องฟ้าเอ๋ย จงโปรยฝนลงมาจากเบื้องบน ขอให้ก้อนเมฆหลั่งความชอบธรรมลงมา แผ่นดินจงเปิดออก และจงผลิตผลเป็นความรอดพ้น ที่งอกขึ้นมาพร้อมกับความชอบธรรม เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราสร้างสิ่งเหล่านี้
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างท้องฟ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างแผ่นดิน พระองค์ทรงปั้นแผ่นดินและทำให้มั่นคง พระองค์มิได้ทรงสร้างแผ่นดินไว้ให้ว่างเปล่า แต่ทรงปั้นแผ่นดินไว้ให้มีคนอาศัย พระองค์ตรัสดังนี้ ‘เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลย นอกจากเราแล้ว ไม่มีพระเจ้าเที่ยงธรรมผู้ช่วยให้รอดพ้น มนุษย์ทั้งหลายจากสุดปลายแผ่นดิน จงหันมาหาเราเถิด ท่านจะได้รับความรอดพ้น เพราะเราคือพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก เราปฏิญาณในนามของเรา ความเที่ยงธรรมออกมาจากปากของเรา เราจะไม่กลับคำเลย เรายืนยันว่า ‘เข่าทุกเข่าจะย่อลงนมัสการเรา ลิ้นทุกลิ้นจะปฏิญาณความซื่อสัตย์ต่อเรา’ เขาทั้งหลายจะพูดว่า ‘เราพบความชอบธรรมและพละกำลังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น บรรดาผู้ที่โกรธเคืองพระองค์จะมาหาพระองค์ด้วยความอับอาย พงศ์พันธุ์ทั้งหลายแห่งอิสราเอลจะได้รับความชอบธรรม และสิริรุ่งโรจน์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                              ลก 7:19-23
     เวลานั้น ยอห์นจึงเรียกศิษย์มาสองคน แล้วส่งไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทูลถามว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก” เมื่อคนทั้งสองมาพบพระองค์แล้วจึงกล่าวว่า “ยอห์นผู้ทำพิธีล้างส่งเรามาถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก’” ขณะนั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค จากความทุกข์ทรมานและจากจิตชั่วร้าย ทั้งทรงทำให้คนตาบอดหลายคนกลับมองเห็นได้ พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองคนของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเรา ย่อมเป็นสุข”

 

ข้อคิด
     พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศความเป็นพระองค์อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยยิ่งนักผ่านทางประกาศกอิสยาห์ แต่มนุษย์มักสงสัย ไม่เว้นแม้กระทั่งท่านยอห์นผู้โปรดศีลล้าง แรงจูงใจที่ท่านส่งศิษย์ไปถามพระเยซูว่าพระองค์คือผู้ที่จะต้องเสด็จมาหรือจะต้องรอใครอีกไหม คนเราเมื่อสงสัย ก็พาไปสู่ความกลัว เมื่อกลัวก็แสวงหาความมั่นคงมารักษา การหาความมั่นคงส่งให้ต้องหาสิ่งที่สามารถยึดเหนี่ยวให้มั่นใจ ขอให้ทุกท่านอย่างยึดสิ่งที่ผิดเป็นอันขาด เพราะเสียงโหวกเหวกและท่าที่ชวนหลงใหลด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณภายนอกกับจำนวนอาจทำให้เราพบแต่ความว่างเปล่า เราจะพบพระเจ้าแท้ได้ก็แต่ในความเงียบและความเรียบง่าย เงียบและเรียบง่ายจนดูไม่น่าไว้ใจทีเดียวแหละ แต่พระเจ้าคืออย่างนั้นจริงๆ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2016 ระลึกถึง น.ลูเซีย พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศฟันยาห์                                  ศฟย 3:1-2,9-13
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่เป็นกบฏและมีมลทิน เมืองที่กดขี่ข่มเหง เมืองนี้ไม่ยอมฟังเสียง ไม่ยอมรับคำสั่งสอน ไม่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มาใกล้พระเจ้าของตน
     ใช่แล้ว เวลานั้น เราจะชำระปากของชนหลายชาติ ให้พ้นมลทิน เขาทุกคนจะได้เรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จากฟากโน้นของแม่น้ำเอธิโอเปีย ผู้นมัสการเราจะนำของถวายมาให้เรา
     ในวันนั้น เจ้าจะไม่ต้องอับอาย เพราะกิจการที่เจ้าเคยกบฏต่อเรา เพราะเวลานั้น เราจะทำให้ผู้โอ้อวดและหยิ่งผยองสูญหายไปจากเจ้า เจ้าจะไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะเราจะเหลือเพียงประชากรที่ถ่อมตนและต่ำต้อยไว้ในเจ้า คนที่เหลืออยู่ในอิสราเอล จะวางใจในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้รอดชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอลจะไม่ทำผิด จะไม่กล่าวคำมุสา จะไม่พบลิ้นที่ฉ้อโกงในปากของเขา เพราะเขาทั้งหลายจะหากินและพักผ่อน โดยไม่มีผู้ใดทำให้เขาต้องหวาดกลัว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 21:28-32
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกมหาปุโรหิตและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ บุตรตอบว่า ‘ลูกไม่อยากไป’ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า ‘ครับพ่อ’ แต่แล้วก็ไม่ได้ไป สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก”
พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรม ท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น”

 

ข้อคิด
     ผู้คนที่อยู่เสียห่างไกลกลับได้รับพระพรไปแทน! อย่างนี้มีสุภาษิตมากมายอธิบายไว้แล้ว เช่น ใกล้เกลือกินด่าง สุนัขในรางหญ้า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ล้วนแสดงให้เห็นถึงความโง่เขลาของคนที่เป็นไปตามสุภาษิตเหล่านี้ พวกเขาบูชาตัวเองยิ่งวันยิ่งโงหัวไม่ขึ้น เขาพากันสบายตัว เพลิดเพลินเจริญใจ หลงใหลอยู่ในโซนที่สะดวกสบายที่ตัวเองเริ่มเคยชิน ก็เลยปฏิเสธและเป็นปฏิปักษ์กับทุกประเด็นที่จะมารุกล้ำความสบายตัวนี้ อันนี้แหละ ทำให้พระมหาไถ่ต้องมาเกิดในเพิงเลี้ยงสัตว์นอกเมือง และต่อมาก็ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน ส่วนคนจากที่อื่นไกลกลับเดินทางมาแสวงหาพระองค์ เอาของมีค่ามาถวาย และคุกเข่าลงนมัสการ เรื่องเหล่านี้คงเตือนจิตใจของเราได้มากในระหว่างเทศกาลเตรียมต้อนรับการเสด็จมาของพระมหาไถ่ และเตือนใจได้ตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                   อสย 54:1-10
     กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเสมือนหญิงหมันผู้ไม่เคยคลอดบุตรเอ๋ยจงโห่ร้องเถิด เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ จงโห่ร้องด้วยความยินดีเถิด เพราะบุตรของหญิงที่ถูกทอดทิ้ง จะมีจำนวนมากกว่าบุตรของหญิงที่ยังมีสามี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส จงขยายสถานที่ให้กระโจมของเจ้า จงขึงม่านของที่อาศัยของเจ้าออกให้กว้าง อย่ารั้งสิ่งใดไว้ จงต่อเชือกให้ยาว จงทำให้หลักกระโจมมั่นคงขึ้นเถิด เพราะเจ้าจะขยายออกไปทั้งทางขวาและทางซ้าย พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะยึดครองนานาชาติ จะทำให้เมืองร้างมีคนอาศัยอยู่ อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าจะไม่ต้องอับอาย อย่าวุ่นวายใจ เพราะเจ้าจะไม่ต้องละอายอีก เจ้าจะลืมความอับอายในวัยสาวของเจ้า เจ้าจะไม่ระลึกอีกต่อไปถึงความอัปยศที่เจ้าเคยเป็นม่าย เพราะพระผู้สร้างเจ้าเป็นพระสวามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอลเป็นพระผู้ไถ่เจ้า พระองค์ทรงพระนามว่าพระเจ้าแห่งสากลโลก ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเรียกเจ้า เหมือนเรียกภรรยาซึ่งถูกทอดทิ้งและเป็นทุกข์ใจ
     พระเจ้าของเจ้าตรัสว่า ภรรยาที่แต่งงานในวัยเยาว์จะถูกทอดทิ้งได้หรือ เราได้ละทิ้งเจ้าอยู่ชั่วครู่เดียว แต่เราจะรับเจ้าคืนมาด้วยความสงสารอย่างยิ่ง เมื่อเราโกรธมาก เราไม่ให้เจ้าเห็นหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่เราสงสารเจ้าด้วยความรักมั่นคงนิรันดร องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่เจ้าตรัสดังนี้
     สำหรับเราจะเป็นเหมือนในสมัยของโนอาห์ เราปฏิญาณว่าน้ำของโนอาห์ จะไม่ท่วมแผ่นดินอีกเลยฉันใด เราก็ปฏิญาณว่าเราจะไม่โกรธเจ้า และจะไม่ตำหนิเจ้าอีกฉันนั้น แม้ภูเขาจะเคลื่อนย้าย และเนินเขาจะคลอนแคลน ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า และพันธสัญญาที่เราสัญญาจะประทานสันติภาพแก่เจ้า จะไม่คลอนแคลนเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสงสารเจ้าตรัสดังนี้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                         ลก 7:24-30
     เมื่อผู้ที่ยอห์นส่งมาจากไปแล้ว พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปตามลมหรือ ไม่ใช่ แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามและกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือยนั้นมีอยู่เฉพาะในพระราชวัง ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว เราบอกท่าน ไปดูยิ่งกว่าประกาศกอีก ผู้นี้แหละพระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
     เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากสตรี ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีกแล้ว กระนั้นก็ดี ผู้ต่ำต้อยที่สุดในพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น” ประชาชนทั้งหลายที่ได้ฟังและบรรดาคนเก็บภาษีได้รับพิธีล้างจากยอห์นและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรม แต่บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายไม่ยอมรับพิธีล้างจากยอห์น จึงต่อต้านแผนการของพระเจ้าสำหรับตน

 

ข้อคิด
     ความรู้กับความรัก หรือ ความรู้กับความเชื่อ เป็นสิ่งที่น่าไตร่ตรองเมื่อสวดภาวนาตามลำพัง ความรู้คือสิ่งที่เรียน ที่ประจักษ์แก่ผัสสะ แต่ความรักไม่ต้องอาศัยความรู้ก็ได้ อีกทั้งความเชื่อยิ่งอยู่เหนือความรู้มากมายนัก ความรู้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกวัตถุ แต่ความรักและความเชื่อเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร เรารอดตัวในโลกด้วยความรู้ก็ได้ แต่จะรอดตัวไปสวรรค์นั้นต้องอาศัยความรักและความเชื่อเท่านั้น ความรู้จะสิ้นหน้าที่ของมันเมื่อมิติทางโลกจบลงสำหรับคนนั้นๆ แต่ความรักและความเชื่อจะอยู่ต่อไปเพื่อเชื่อมชีวิตจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า เมื่อโลกหน้ามาเยี่ยมคนนั้นๆ ความเชื่อก็จะหมดหน้าที่เช่นกัน เหลือเพียงความรักที่จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ พระเจ้าคือองค์ความรัก

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown