มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2016 ระลึกถึง น.กลารา พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                                อสค 12:1-12
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะต้องออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งต่อหน้าเขา เขาอาจจะเข้าใจได้ว่าตนเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ จงนำข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย จงเจาะช่องในกำแพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่องนั้น จงยกข้าวของใส่บ่าต่อหน้าเขา แล้วแบกออกไปเมื่อมืดแล้ว ท่านจงคลุมใบหน้าเพื่อจะไม่เห็นพื้นดิน เพราะเราทำให้ท่านเป็นเครื่องหมายสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล”
ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาเวลากลางวัน เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าใช้มือเจาะช่องในกำแพง เมื่อมืดแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกไป แบกข้าวของออกไปต่อหน้าเขา
     เช้าวันรุ่งขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอล พงศ์พันธุ์กบฏได้ถามท่านหรือไม่ว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ จงตอบเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ คำพยากรณ์นี้มีไว้สำหรับเจ้านายที่กรุงเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น’ จงพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับท่าน ข้าพเจ้าได้ทำอย่างไร เขาทั้งหลายก็จะถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น เขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย’ เจ้านายซึ่งอยู่ในพวกเขาจะต้องยกข้าวของใส่บ่าเมื่อมืดแล้ว และจะออกไปทางกำแพงที่เขาทั้งหลายเจาะช่องให้ออกไปได้ เขาจะคลุมใบหน้าเพื่อจะมองไม่เห็นแผ่นดินอีก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 18:21-19:1
     เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้าถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้งถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้งแต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง
     อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้นมีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามาชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาทเขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขาบุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิดแล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ขณะที่ผู้รับใช้ออกไปก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่นพูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไรจงจ่ายให้หมด’
     เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิดแล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟังนำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดเพื่อนผู้รับใช้อื่นๆเห็นดังนั้นต่างสลดใจมากจึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมาตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลวข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้องเจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันเหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมากตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกันถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้วจึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดียอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน

 

ข้อคิด
     นักบุญกลารา เป็นนักบุญร่วมสมัยกับนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี ท่านผู้ก่อตั้งคณะนักพรตหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างยากจนในอาราม ท่านปฏิบัติ การไม่สวมรองเท้า ไม่ทานเนื้อสัตว์ นอนบนพื้น พูดเมื่อจำเป็น เป็นสิ่งที่ปฏิบัติโดยทั่วไป แต่ท่านเองก็ได้ทำในสิ่งที่มากไปกว่านั้น เช่น การจูบเท้าซิสเตอร์ที่กลับมาจากการขอทาน สิ่งเหล่านี้เป็นการใช้ชีวิตเป็นประจักษ์พยานในการร่วมพระทรมานและการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2016 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                               อสค 16:59-63
     องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าตรัส เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ทำ เจ้าได้ดูหมิ่นคำสาบานและละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายังเป็นสาว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความประพฤติของเจ้าและจะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขาให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้า เราจะรื้อฟื้นพันธสัญญาของเรากับเจ้าเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจำและมีความละอาย และจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำ” องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าตรัส

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 19:3-12
     เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม”
     พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิงและตรัสว่าดังนี้ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้อเดียวกันดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
     ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้าง แล้วหย่าร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้แต่เมื่อแรกเริ่มนั้นหาเป็นเช่นนี้ไม่
เราบอกท่านทั้งหลายว่าผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่งเขาก็ทำผิดประเวณีเว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
     บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้เพราะว่าบางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาบางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันทีและบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ก็จงเข้าใจเถิด”

 

ข้อคิด
     ดูเหมือนว่าในความเป็นมนุษย์เรานั้น การทำตามพันธสัญญาหรือขอผูกมัด เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย เพราะมนุษย์เองสนใจต่อความต้องการของตนเองมากกว่า สิ่งที่ต้องทำร่วมกันเพื่อให้บรรลุต่อคำสัญญานั้น นับตั้งแต่อดีตกาล พระเจ้าเองก็เป็นฝ่ายที่ตั้งพันธสัญญากับมนุษย์ พระองค์ทำในส่วนของพระองค์ มากกว่านั้นพระองค์ทรงสอน เตือน ดึงมนุษย์กลับมาเมื่อเริ่มออกนอกทางในส่วนของมนุษย์ เพื่อให้เราได้เติบโต และเรียนรู้ที่จะทำตามข้อผูกมัดแอละได้รับผลแห่งพันธสัญญานั้น

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2016 สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                                   ยรม 38:4-6,8-10
     บรรดาเจ้านายจึงทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระองค์ประหารชีวิตชายคนนี้ เพราะเขาทำให้ทหารซึ่งเหลืออยู่ในเมืองหมดกำลังใจ และทำให้ประชาชนที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้หมดกำลังใจด้วย ชายคนนี้ไม่ได้แสวงหาความเป็นอยู่อย่างดีของประชาชน แต่แสวงหาหายนะ” กษัตริย์เศเดคียาห์ตรัสตอบว่า “เขาอยู่ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว กษัตริย์ไม่อาจทำสิ่งใดขัดแย้งกับท่านได้” เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในบ่อเก็บน้ำของมัลคียาห์พระโอรส ซึ่งอยู่ในลานกองทหารองครักษ์ เขาใช้เชือกมัดหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในบ่อนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน เยเรมีย์จึงจมลงไปในโคลน
เอเบดเมเลคจึงออกจากพระราชวังไปทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่พระราชาของข้าพเจ้า คนเหล่านี้ทำสิ่งเลวร้ายกับประกาศกเยเรมีย์ โดยหย่อนเขาลงไปในบ่อ ประกาศกคงจะต้องตายที่นั่นเพราะขาดอาหาร เพราะไม่มีขนมปังเหลืออยู่ในเมืองอีกแล้ว” กษัตริย์จึงทรงสั่งเอเบดเมเลคชาวเอธิโอเปียว่า “จงนำคนจากที่นี่สามสิบคนไปกับท่าน แล้วฉุดประกาศกเยเรมีย์ขึ้นมาจากบ่อก่อนที่เขาจะตาย”

 

เพลงสดุดี                                                                           สดด 40:1,2,3,17
     ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง
แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า
และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า
     ข) พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นจากขุมลึกแห่งความพินาศ
จากโคลนตมในปลักเลน
ทรงให้ข้าพเจ้ายืนบนก้อนหิน
ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง
     ค) พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า
เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
หลายคนจะแลเห็นและมีความยำเกรง
จะวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ง) ข้าพเจ้ายากจนและขัดสน
องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังเอาพระทัยใส่ข้าพเจ้า
พระองค์ทรงช่วยเหลือและประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ขออย่าทรงรอช้าอยู่เลย

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                         ฮบ 12:1-4
     พี่น้อง พวกเราก็เช่นเดียวกันเมื่อมีพยานจำนวนมากห้อมล้อมอยู่เราจงละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่นเราจงมีมานะวิ่งต่อไปในการแข่งขันซึ่งกำหนดไว้สำหรับเราจงเพ่งมองไปยังพระเยซูเจ้าผู้ทรงบุกเบิกความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนไม่ทรงถือว่าเป็นความตายที่น่าอับอายเพราะทรงคำนึงถึงความยินดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้บัดนี้พระองค์ประทับณเบื้องขวาแห่งพระที่นั่งของพระเจ้าแล้วท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ที่ทรงอดทนต่อการคัดค้านเช่นนี้ของคนบาปท่านจะได้ไม่ท้อถอยหมดกำลังใจในการต่อสู้กับบาปท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                       ลก 12:49-53
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ  ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรานำความแตกแยกมาต่างหาก ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี”

 

ข้อคิด
     ถ้าเรามองดูการประจักษ์ของแม่พระในที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่มีจำนวนมากมายทั้งที่มีการรับรองพิสูจน์ และอีกมากมายที่ถูกปล่อยผ่านเลยไป ทำให้ต้องย้อนกลับมาการเฉลิมฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสู่สวรรค์เริ่มด้วยการฉลองแม่พระบรรทมหลับในยุคแรกๆ การที่พระวรกายของพระนางที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย เพียงความเชื่อของทุกคนที่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงรับพระนางขึ้นสู่สวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ พระแม่ผู้เสด็จกลับสู่บ้านแท้ก่อน พวกเรา พระแม่ยังคงเตือนย้ำในการประจักษ์ต่างหึงหนทางที่จะเดินทางสู่บ้านแท้ คือการทำแต่ความดี ทางที่ต้องหลีกเลี่ยง นั่นคือวิถีแห่งบาป การทำงานของปีศาจ ทรงให้อาวุธง่ายๆ คือสายประคำเพื่อให้เราสามารถรวมกันเป็นหนึ่งในเสียงภาวนา และเสียงที่เป็นหนึ่งเดียวนี้ที่พระแม่บอกว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับปัญหาต่างๆ ในโลก

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2016 น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์ มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                                อสค 18:1-10,13ข,30-32
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวคำพังเพยนี้ซ้ำซากในแผ่นดินอิสราเอลว่า
‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’
     เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้คำพังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวิตทั้งหลายเป็นของเรา ชีวิตของพ่อเป็นของเราฉันใด ชีวิตของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดทำบาป ผู้นั้นจะต้องตาย”
     “ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรมปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ถ้าเขาไม่กินของถวายตามสักการสถานบนที่สูงไม่เงยหน้าขึ้นคารวะรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ไม่เข้าหาหญิงที่มีประจำเดือน ไม่ข่มเหงผู้อื่น แต่คืนของประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยหรือหากำไร ยั้งมือไว้ไม่ทำความชั่ว ตัดสินคู่ความอย่างยุติธรรม ดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเราอย่างซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต”องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส
     “แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และทำความชั่วเหล่านี้ เขาจะต้องตายแน่ๆ เพราะเขาได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน”
     ดังนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้วความผิดของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ท่านพินาศ จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดที่ท่านได้ทำ จงทำตนให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจในความตายของผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้วท่านจะมีชีวิต”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 19:13-15
     ขณะนั้นมีผู้นำเด็กเล็กๆมาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพรแต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้นพระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิดอย่าห้ามเลยเพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้นแล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น

 

ข้อคิด
     มีความเชื่อว่าการที่เราปลูกฝังคุณธรรมบางประการให้กับสังคม บางครั้งต้องทุ่มเวลาเป็นหลายชั่วอายุคน จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นสิ่งดีในยุคคนยุคนี้ มันคือการอบรมบ่มสอนที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่บรรดาปู่ ย่า ตา ยายของเขา ต้นไม้แห่งความดีต้องใช้เวลาและยากที่จะปลูก แต่เมื่อมันเติบโตแล้วก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ผิดจากการหันเหไปสู่บาปที่ง่ายกว่ามากนัก การฟังคำสั่งสอนเป็นเสมือนการดูแลต้นไม้แห่งคุณธรรมที่อยู่ในตัวเราให้ค่อยๆ เติบโตและเราก็จะส่งต่อต้นไม้นี้สู่คนรุ่นหลังด้วยความคิดและการกระทำของเรา

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2016 สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                                อสค 24:15-24
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูซิ เราจะพรากผู้เป็นแก้วตาของท่านไปจากท่านโดยกะทันหัน แต่ท่านอย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้หรือหลั่งน้ำตาเลย จงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างเงียบๆ อย่าทำพิธีไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย จงสวมผ้าโพกศีรษะ จงสวมรองเท้า อย่าเอาผ้าปกปิดหนวด อย่ากินอาหารไว้ทุกข์” ข้าพเจ้าจึงบอกเรื่องนี้แก่ประชาชนในเวลาเช้า ในเวลาเย็นภรรยาของข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรม เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าทำตามที่ได้รับพระบัญชา ประชาชนบอกข้าพเจ้าว่า “จงอธิบายความหมายการกระทำของท่านให้เรารู้เถิด” ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะทำให้สักการสถานของเราเป็นมลทิน สักการสถานที่ท่านภาคภูมิใจว่าจะได้รับพลังความช่วยเหลือ เป็นเหมือนแก้วตาของท่าน และเป็นความยินดีในจิตใจของท่าน บุตรชายหญิงที่ท่านทิ้งไว้เบื้องหลังจะถูกฆ่าด้วยดาบ ท่านทั้งหลายจะทำเหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้ทำท่านจะไม่เอาผ้าปกปิดหนวด จะไม่กินอาหารไว้ทุกข์ จะสวมผ้าโพกศีรษะและจะสวมรองเท้า ท่านจะไม่คร่ำครวญหรือร้องไห้ แต่จะหมดเรี่ยวแรงเพราะความผิดของท่าน และจะร่ำไห้คร่ำครวญปรับทุกข์กัน เอเสเคียลจะเป็นเครื่องหมายสำหรับท่าน เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ท่านจะทำอย่างที่เขาทำ แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 19:16-22
     เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดีผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้นถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดรก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า“อย่าฆ่าคนอย่าล่วงประเวณีอย่าลักขโมยอย่าเป็นพยานเท็จจงนับถือบิดามารดาจงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง”ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้วยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์จงไปขายทุกสิ่งที่มีมอบเงินให้คนยากจนและท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงบอกให้ชายคนที่เข้ามาหาพระองค์ในวันนี้กลับไปขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี และติดตามพระองค์ไป พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกบรรดาศิษย์คนอื่นๆ เมื่อพระองค์บอกให้เขาติดตามพระองค์ นั่นทำให้ไม่มีข้อสงสัยว่าชายคนนี้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองอย่างมาก และความร่ำรวยที่เขามีก็เป็นเหมือนสิ่งที่เขายึดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ที่ทำให้เขาดำรงชีวิตในสังคมอย่างภาคภูมิใจ จนเขาไม่สามารถที่จะให้จิตใจของเขาคิดถึงพระเจ้าได้
     ทุกวันนี้ เรามีสิ่งที่เรายึดเหนี่ยวไว้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เพื่อที่เราจะได้อยู่ในสังคมอย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของการดำรงชีวิตที่จะสร้างให้เรามีฐานะและสร้างความร่ำรวย มองเห็นแต่เรื่องของตนเอง จนไม่สนใจผู้อื่น จนลืมที่จะเปิดใจคิดถึงคนอื่นๆ ไม่เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนให้เราแต่ละคนละทิ้งทัศนคติที่ไม่ดี และเปิดใจเปิดตาให้สามารถมองเห็นพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา โดยเฉพาะคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้ตัวเราแต่ละคนเป็นคนหนึ่งที่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือด้วยความจริงใจ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown